Homeไดอารีท่องเที่ยวเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวฟุกุโอกะ 2019 หน้าหนาว 5 วัน 4 คืน 3 เมือง (ตอนที่ 1)

เที่ยวฟุกุโอกะ 2019 หน้าหนาว 5 วัน 4 คืน 3 เมือง (ตอนที่ 1)

ประเดิมทริปเที่ยวญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี มีกิจกรรมอย่างหนึ่งครับที่เฟรมอยากลองทำในช่วงหน้าหนาว นั่นก็คือการแช่น้ำพุร้อนที่ประเทศญี่ปุ่น ก็หวังว่าจะได้ผ่อนคลายร่างกายหลังจากที่ต้องแบกรับความหนาวมากันตลอดช่วงต้นหนาว หนาวนี้เลยมาที่เมือง “ฟุกุโอกะ (Fukuoka)” ซึ่งอยู่บนเกาะคิวชู (Kyushu) ตอนใต้ของญี่ปุ่นครับ

แผนที่ ฟุกุโอกะ

จากประสบการณ์ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ผมมองว่าฟุกุโอกะก็ไม่ได้ท่องเที่ยวยากหรือง่ายเกินไปสำหรับการท่องเที่ยวด้วยตนเอง อาจจะเป็นเพราะมีสายรถไฟใหญ่ ๆ เชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ความซับซ้อนอาจจะมีตรงเรื่องพาสที่อาจจะต้องทำการบ้านไปล่วงหน้า และเรื่องรถบัสที่บางช่วงจำเป็นต้องนั่ง

วันที่เดินทาง : 4-8 กุมภาพันธ์ 2562
สภาพอากาศ :
เย็นระดับสิบองศา มีฝนปรอย ๆ (เดินทาง 5 วัน มีฝนตก 1 วัน)
เมืองที่เดินทาง : ฮากาตะ (Hakata), ยูฟุอิน (Yufuin), เบปปุ (Beppu)
อินเทอร์เน็ต : ใช้ Pocket Wifi ที่จองผ่านเว็บไซต์ของเกาหลีและ Sim2Fly ของ AIS พบว่าการใช้งานทั้งสองไม่มีปัญหา แต่ Pocket Wifi รู้สึกว่าจะเร็วกว่าและสะดวกเมื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างพร้อมกัน

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

พอรู้ว่าทริปนี้จะไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวแค่ในตัวเมืองอย่างเดียว แต่มีเดินทางออกมาเที่ยวในต่างจังหวัดด้วย เลยจำเป็นต้องวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่การคำนวณค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประเมินความคุ้มค่าว่าเหมาะกับการจองตั๋วรถไฟแบบพาส (Pass) ล่วงหน้าหรือเปล่า เพราะ Pass หรือตั๋วรถไฟที่เราสามารถนั่งได้หลาย ๆ รอบนี้ ก็มีราคาสูงขึ้นมาหน่อยหากเราเดินทางด้วยรถไฟไม่เยอะ​ การซื้อตั๋วโดยสารแยกอาจจะถูกกว่า วางแผนไปวางแผนมาพบว่าพาสคุ้มกว่าเมื่อคำนวณจากค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ทั้งหมด 3 วัน 

เดินทางจากฟุกุโอกะไปยูฟุอิน

การเดินทางระหว่าง Fukuoka (Hakata) ไปยังเมืองน้ำพุร้อนอย่าง Yufuin ก็ดี หรือ Beppu ก็ดี หากนั่งรถไฟไปก็จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 4,560 เยน (ตั๋วแบบจองที่นั่ง) คิดเล่น ๆ ถ้าต้องไปกลับ ก็จะตกอยู่รวม ๆ 10,000 เยน, แต่บัสก็จะราคาถูกลงมาอยู่ที่เที่ยวละประมาณ​ 2,000 เยน ประเมินสภาพร่างกายที่เป็นคนเมารถง่าย เลยขอเลือกเดินทางไปกับรถไฟ และซื้อ JR Kyushu Rail Pass (North) หรือพาสรถไฟสำหรับท่องเที่ยวในเมืองคิวชู (Kyushu) ตอนบน ในราคา 8,500 เยน โดยจองจากเว็บ KLOOK ก่อนล่วงหน้า

จองพาส JR Kyushu Northใช้เวลาในการจองประมาณเกือบ ๆ วันได้ ก็จะได้รับเอกสารยืนยันการจองส่งมาทางอีเมล โดยเราสามารถพิมพ์เอกสารชุดนี้ ไปขึ้นสมุดพาสเล่มจริงได้ที่สถานี JR เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่นแล้ว รวมไปถึงการจองที่นั่งล่วงหน้าที่ญี่ปุ่นได้ นอกจากนี้ยังสามารถเอาหมายเลขการจอง มาจองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้าก่อนได้ (ในกรณีที่กลัวว่าที่นั่งจะเต็มก่อน) ซึ่งการจองที่นั่งล่วงหน้าออนไลน์จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1,000 เยน/ที่นั่ง 

Booking JR North Kyushu Pass
สามารถนำเลข KRP Reservation No. ไปสมัครสมาชิกในเว็บ JR KYUSHU RAIL PASS และจองล่วงหน้าได้ทันที

ด้วยความที่ช่วงเดินทางจะไปตรงกับตรุษจีน-ตรุษเกาหลี ปีใหม่ของสองประเทศพอดี บวกกับฟุกุโอกะก็ค่อนข้างเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับชาวเกาหลี กลัวว่าตั๋วรถไฟจะเต็มก่อนเลยใช้เลขรหัสที่ได้รับจากการจองพาส ไปสมัครสมาชิกและตรวจสอบที่นั่งผ่านเว็บของ JR KYUSHU RAIL PASS

มีรถไฟหลายขบวนที่ตรงจาก Hakata ไปยัง Yufuin แต่ละขบวนก็จะมีหน้าตา จุดเด่นแตกต่างกัน ซึ่งผมเองก็สนใจที่จะเดินทางด้วย Yufuin No Mori ที่สามารถนั่งรถไฟชมวิวข้างทางสวย ๆ และสามารถนั่งยาวไปเรื่อย ๆ จนถึงสถานี Yufuin โดยไม่ต้องเปลี่ยนสาย แต่รู้สึกว่าจะมีเพียงแค่ 3 เที่ยวต่อวัน คือออกจาก Hakata เวลา 9.24 / 10.24 / 14.35 น. และจะไปถึงที่ Yufuin เวลา 11.36 / 12.34 / 16.44 ตามลำดับ

ตารางเดินรถสามารถไปเช็คได้จากเว็บไซต์ของ JR Kyushu Railway ในส่วนของ Timetable

หลังจากเอารหัสของไปล็อกอินในเว็บพบว่าเหลือที่นั่งไม่เยอะสำหรับรถไฟไป Beppu เลยตัดสินใจจองตั๋วล่วงหน้าก่อนเดินทาง เป็นเส้นทางระหว่าง Hakata ↔ Beppu ซึ่งมีค่าธรรมเนียม 1,000 เยน/ที่นั่ง โดยเว็บจะหักเงินจากบัตรเดบิต/เครดิตของเราทันที และเมื่อนำตั๋วไปขึ้นที่สถานี JR (ที่ญี่ปุ่น) เราจะต้องนำบัตรที่ใช้จองไปเป็นหลักฐานในการจองตั๋วล่วงหน้าของเราด้วย

ผมเลือกจองไปล่วงหน้าเฉพาะบางเส้นทางที่คิดว่าจะแน่นครับ ส่วนเส้นทางอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นระหว่าง Yufuin ไป Beppu, หรือ Beppu กลับไป Hakata พบว่ามีรถไฟค่อนข้างหลายสาย และไม่ค่อยหนาแน่นมาก จึงสามารถไปจองที่สถานี JR ได้ เมื่อเดินทางไปถึงญี่ปุ่นแล้ว

สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport)

เมื่อผ่านขั้นตอนตม.เสร็จเรียบร้อย ออกมาก็จะมาโผล่ที่ชั้น 1 ของอาคาร Terminal 2 ซึ่งเป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขาเข้า ออกมาเพื่อมานั่งรถชัตเติลบัสฟรี ไปยังอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าสาย Airport (Kuko Line) เพื่อไปยังสถานี Hakata หรือสถานีอื่น ๆ เข้าเมืองต่อไป

หน้าตาของรถชัตเติลบัสระหว่างอาคารต่างประเทศไปยังอาคารในประเทศ

รถชัตเติลบัสจะออกทุก ๆ 4-6 นาที ให้เรานั่งไปสุดสายเลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย ระยะเวลาในการเดินทางระหว่าง 2 อาคารนี้จะใช้เวลาประมาณ 10 นาที

สิ่งแรกที่ทำเมื่อถึงฟุกุโอกะ

1. ซื้อบัตรโดยสาร IC Card

สำหรับใครที่มีแผนเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินภายในเมือง แนะนำให้ซื้อบัตรโดยสาร IC Card ไว้เลยเพื่อความสะดวก แต่ก่อนก็ไม่คิดจะซื้อเพราะเข้าใจว่าเราไม่สามารถใช้บัตรนี้เดินทางได้ทั่วญี่ปุ่น แต่!! ตอนนี้บัตรเดินทางไม่ว่าจะใช้ของค่ายไหน เป็น Suica, ICOCA หรือที่เคยไปซื้อมาจากเมืองอื่น ตอนนี้สามารถใช้ร่วมกันได้หมดแล้วครับ ที่สำคัญคือไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วทุก ๆ สถานี หรือคอยเช็คราคาค่าโดยสาร ไม่จำเป็นต้องพกเหรียญไปไหนมาไหนตลอดเวลา ที่สำคัญคือหลายร้านค้าที่รับบัตร IC Card เช่นตามร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็น 7-11, Family Mart, Lawson ฯลฯ สามารถใช้บัตร IC Card ชำระเงินได้เลย

Hayakaken Fukuoka IC Card
หน้าตาของตู้สำหรับซื้อตั๋วโดยสาร และบัตรโดยสารแบบ IC Card (บัตรชื่อ Hayakaken)

สามารถซื้อตั๋วได้จากตู้เติมเงิน โดยมีค่าธรรมเนียม 2,000 เยน (แบ่งเป็นค่าบัตร 500 เยน และค่าเดินทาง 1,500 เยน)

2. แลกพาส, จองที่นั่งล่วงหน้า

เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Hakata แล้ว สำหรับคนที่จองพาสทั้งหลายมาจากอินเทอร์เน็ต ให้มาแลกตั๋วโดยสารสำหรับเดินทางไว้แต่เนิ่น ๆ โดยจุดแลกบัตรโดยสารจะอยู่ที่สถานี JR ของสถานีใหญ่ ๆ อย่างในฟุกุโอกะ ก็จะมีที่สถานี Hakata เมื่อเข้ามาถึง จะมีพนักงานมาช่วยสกรีน ตรวจสอบเอกสารการจองที่พิมพ์จากอินเทอร์เน็ต พาสปอร์ต และกำหนดการเดินทางของเรา คอยอำนวยความสะดวกในการจองให้ ใครที่เช็คเส้นทางการเดินทางจากเว็บไซต์จาก Hyperdia.com มาแล้ว ก็สามารถกรอกเวลาเดินทางลงในใบได้เลย เมื่อทุกอย่างพร้อมเรียบร้อย เราก็สามารถไปต่อแถวที่เคาน์เตอร์ 1 หรือ 2 เพื่อแลกตั๋วเดินทางได้

พนักงานคอยอำนวยความสะดวกให้ข้อมูลเรื่องเส้นทาง เราสามารถกรอกตารางเวลาที่ต้องการใน Application Form ได้ โดยต้องระบุวันที่เริ่มต้นใช้บัตร จำนวนผู้โดยสาร ประเภทของ Pass และวันที่ รอบรถ สถานีต้นทาง-ปลายทาง ที่ต้องการ เมื่อเอกสารครบหมดแล้ว สามารถไปยื่นที่เคาน์เตอร์ 1-2

   ข้อจำกัดของพาส JR North Kyushu   คือ เราไม่สามารถนั่งรถไฟขบวน Sanyo Shinkansen จากช่วง Kokura ↔ Hakata ได้ เวลาที่เราเข้าไปเว็บ Hyperdia แล้วลองสร้างเส้นทางจาก Hakata ไป Beppu ก็ดี หรือจาก Beppu มา Hakata ก็ดี ระบบจะสร้างเส้นทางให้เราไปเปลี่ยนสาย Shinkansen ที่สถานี Kokura ครับ ซึ่งเส้นทางนี้ ไม่รวมอยู่ในพาส ดังนั้นเมื่อวางแผนการเดินทางต้องเลี่ยงเส้นทางนี้ สำหรับเส้นทางที่สามารถนั่งได้จาก Beppu ↔ Hakata จะเป็นขบวนที่เขียนว่า Sonic 

3. มุ่งหน้าสู่ที่พัก

ที่พักในฟุกุโอกะครั้งนี้จอง AirBNB ครับ ในญี่ปุ่นยังคงเปิดให้ใช้อย่างถูกกฎหมายแต่จะต้องให้ผู้เข้าพักสแกนหน้าพาสปอร์ตแจ้งข้อมูลส่วนตัวให้กับผู้ให้เช่า (มีเว็บเป็นฟอร์มให้กรอก) หรือบางที่จะมีเคาน์เตอร์เช็คอินเหมือนกับโรงแรมให้ ซึ่งจองที่พักครั้งนี้ ได้เจอทั้งสองรูปแบบเลยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของ AirBNB ญี่ปุ่นเกี่ยวกับกฎหมายให้บริการห้องเช่า

AirBNB in Fukuoka
ห้องพักตกคืนละประมาณ 600 บาท มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไว้ค่อนข้างครบครัน

เอาของไปฝากไว้ที่พักก่อนจะเดินไปหาของกินมื้อค่ำ ประเดิมคืนแรกที่ ย่าน Yatai ตรงนี้เป็นเหมือนซุ้มอาหารข้างทางริมแม่น้ำ เป็นซุ้มที่สามารถนั่งกินได้ประมาณ 7-8 คน แต่ละร้านก็จะมีเมนูที่คล้าย ๆ กันคือ ราเม็ง หรือไม่ก็ยากิโซบะ สารพัดเมนูอาหารที่ส่วนใหญ่จะมีเมนูภาษาอังกฤษไว้รับลูกค้าต่างชาติ

Yatai food stalls in Fukuoka

เดินไปจนสุดทาง ก็ไม่รู้จะเลือกร้านไหน มาเลือกร้านที่คนเรียกใส่แว่นเห็นว่าหน้าคล้ายเราดี (มีคอมฟอร์ตโซนเล็กๆคือไม่ชอบไปนั่งรวมกินกับคนอื่น แต่ถ้าไม่เลือกก็ไม่ได้นั่งกินสักที เลยหาตรรกะอะไรง่าย ๆ 😀 ) ก็ไปนั่งกินกับกลุ่มคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว สั่งเมนูเป็นยากิโซบะ ซึ่งเป็นเมนูที่คุ้นเคยและทำการบ้านมาว่าน่าจะอร่อย 

Food at Yatai Food Stalls, Fukuoka
ยากิโซบะ และไข่ปลาเมนไทโกะ

รสชาติก็โอเคดี 900 เยน (รู้สึกว่าตอนทำการบ้านมาจะแค่ 600 เยน)​ กับอีกเมนูคือไข่ปลา เป็นไข่ปลาคอด “เมนไทโกะ” ของดีขึ้นชื่อเมืองฟุกุโอกะที่เพื่อนญี่ปุ่นสั่งมาว่าควรจะต้องกิน ตั้งใจไปกินในร้านอาหารใหญ่วันอื่น แต่พอถึงญี่ปุ่นคืนแรกก็นึกอยากลอง เลยสั่งมากินกับผัดหมี่ด้วย จานนี้ก็ 900 เยนเหมือนกัน รสชาติก็จะมัน ๆ ออกไปทางเค็มถึงเค็มมาก ใครไม่ชอบทานเค็มจะไม่ชอบเมนูนี้เลย แต่เอามาทานกับบะหมี่ผัดก็รู้สึกว่ารสชาติตัดกันได้อย่างลงตัว

ทานเสร็จแล้วคิดเงินก็พบว่าอาหารนั่นยังไม่รวม VAT อีก สองจานนี้จึงหมดไปเกือบ 2,000 เยน T_T อาหารที่เสิร์ฟมาในจานเล็กๆ กับบรรยากาศในร้านที่ต้องนั่งรวมทานกับคนอื่น เลยคิดว่าถ้าจะต้องจ่ายราคาขนาดนี้ แนะนำให้ไปหาทานในร้านอาหารน่าจะดีกว่าครับ

จบการเดินทางในวันแรก…

Day 2 : นั่งรถไฟไปยูฟุอิน

ลากกระเป๋าเช็คเอาท์จากที่พักแต่เช้า เดินทางไปยังสถานี Hakata เพื่อนั่งรถไฟขบวน Yufu No.1 เที่ยว 7.45 น. ที่จะไปถึงยูฟุอินเวลา 10.01 น. (รถได้รอบเช้ามาก เพราะรอบอื่นเต็ม แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มดีเพราะว่าจะได้เที่ยวเยอะๆ)

จุดที่ขึ้นรถไฟไปยุฟุอิน หรือเมืองอื่น ๆ จะอยู่ที่ Central Gate ซึ่งหน้าตาเป็นแบบในรูปด้านล่างนี้ครับ ให้ใช้เล่มพาส JR Kyushu ที่ได้มา แสดงให้กับเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าก็จะสามารถเข้าไปได้ ส่วนตั๋วโดยสาร เดี๋ยวเขาจะมีเจ้าหน้าที่มาเช็คอีกรอบในรถไฟ

JR Central Gate Fukukoka (Hakata) stationเราสามารถเช็คได้จากหน้าจอ​ โดยเอาเวลาไปเทียบดูว่าจะต้องไปขึ้นที่ชานชาลา (Track) ไหน ซึ่งของผมจะเป็น Track ที่ 5 ก็ขึ้นไปรอครับ โดยปกติแล้วรถไฟจะมาก่อนเวลาประมาณ 3-5 นาที คำนวณเวลาไปมาก็พบว่ายังพอมีเวลาอยู่ เห็นคนเดิน ๆไปเข้าร้านขายข้าวกล่องในสถานี หรือ “Ekibento” (Eki – สถานี, Bento – ข้าวกล่อง) อยู่เยื้องกับทางเข้าเลยเดินไปดูสักหน่อย

Station Bento What to eat Hakata station
ร้านขายข้าวกล่องตามสถานีรถไฟในญี่ปุ่น

มีตัวเลือกเยอะแยะเลยครับสำหรับข้าวกล่อง ข้าวปั้น คิดว่าเหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางไกล ๆ และมองหาข้าวเช้า

ข้าวกล่องบนรถไฟ
ข้าวปั้นหน้าปลาซาบะ

ได้มาเป็นข้าวปั้นหน้าปลาซาบะ ราคา 980 เยน​ ยอมจ่ายแพงเพื่อขอชิมรสชาติปลาเต็ม ๆ หน่อย​ อร่อยเหมือนกันและเนื้อปลาใหญ่เต็มคำจริง ๆ อาจจะมีความคาวบ้าง แต่เป็นคาวปลาที่สำหรับผมรับได้ ประทับใจยิ่งกว่านั้นคือ ความพิถีพิถันที่อยู่ในแพ็คเกจ มีตะเกียบ โชยุ และผ้าเช็ดมือ อยู่ในแพ็คเกจที่เป็นใบไม้ห่อแบบนี้ มีครบทุกอย่าง

ส่วนตัวแนะนำเลยว่าไม่อยากให้พลาด ต่อให้ไม่เป็นมื้อหนัก ๆ อย่างเบนโตะก็ควรจะหาอะไรติดไม้ติดมือไปกินบนรถไฟเพราะต่อให้เราไม่หิว เมื่อเห็นคนอื่นกินก็อาจจะพลอยทำให้เราหิวตามได้

วิวระหว่างข้างทางก็เห็นเป็นพื้นที่แปลงเกษตรสีเขียวตลอดทาง ให้ความรู้สึกผ่อนคลายดีครับ รถไฟ Yufu No. 1 ไม่ใช่เป็นรถไฟที่มีออพชั่นอะไรมากเหมือนกับขบวนอื่น ๆ อย่าง Yufuin No Mori (พยายามจองแล้วแต่ไม่ทัน) ด้วยความที่อยู่ตู้แรกสุดเลยสามารถเข้าไปดูหน้าสุดของรถไฟได้ รถไฟเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ พาเราไปถึงสถานี Yufuin

ถึงสถานี Yufuin ออกมาก็ตกใจเพราะภาพแรกที่เห็นคือ…

สถานี Yufuin

วิวหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ข้างหลังเป็นภูเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชอบภูเขาก็เลยว้าวมากเป็นพิเศษหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่นี่ดูเป็นเมืองที่น่าสนใจ ดูน่าอบอุ่น เหมือนอยู่ในนิทาน นักท่องเที่ยวรายล้อมถ่ายรูปเต็มไปหมด ตอนนั้นอยากจะเดินสำรวจเต็มที่ แต่ขอจัดการกับสัมภาระให้เรียบร้อยก่อน เลยเดินตรงไปที่เรียวกังที่จองไว้อยู่ห่างจากสถานีประมาณ​ 10 นาที

Store in Yufuin
ร้านค้าเล็ก ๆ น่ารักเรียงเต็มไปหมด

เรียวกังที่จองผ่าน Agoda ไว้มีชื่อว่า  “Enokiya Ryokan” เป็นห้องพักแบบสไตล์ญี่ปุ่นที่มีห้องอาบน้ำให้เราไปแช่ได้ ตอนจองมาก็เน้นราคาประหยัดและสะดวกกับการเดินทาง เมื่อเดินมาถึงก็มีพนักงานให้การดูแลในการเช็คอินอย่างดี

อธิบายการใช้งานห้องอาบน้ำต่าง ๆ ซึ่งมีแยกชาย-หญิง และสำหรับครอบครัว โดยห้องอาบน้ำเปิดตั้งแต่ 15.00 – 09.00 น.​ (โต้รุ่งกันก็ได้) โดยเรียกเก็บค่าบริการสำหรับห้องอาบน้ำแยกต่างหาก 300 เยน

เอาสัมภาระไปฝากไว้ที่ที่พักก่อนจะเดินออกมาสำรวจ สถานที่แรกที่ไปคือ ทะเลสาบคินริน (Kinrinko) ซึ่งอยู่ห่างจากที่พัก ใช้เวลาเดินประมาณ​ 15 นาที

วิวจากหน้าที่พัก
Kinrinko Lake
ทะเลสาบคินริน (Kinrinko)

เดินตามแผนที่มาก็จะเห็นทะเลสาบที่ไม่ได้ใหญ่สุดลูกหูลูกตาอะไรมาก แต่มีความร่มรื่น และน้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลา เป็นอีกหนึ่งจุดที่มาถึงที่ยูฟุอินนี้ก็ควรมาถ่ายรูปกันครับ

ริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยร้านคาเฟ่ ร้านค้าเรียงรายเป็นแถว จุดสังเกตอย่างหนึ่งของร้านค้าบริเวณนี้ คือ ร้านค้าค่อนข้างจะเหมือน ๆ กันหมด ร้านอาหารลักษณะทานง่าย ๆ อาหารจานด่วน ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ เป็นแต่ชุดใหญ่ จัดเต็มไปเลย หรือไม่ก็เป็นร้านขายของทานเล่นเสียมากกว่า

เดินมาจนสุดทาง มาเจอกับร้านกาแฟที่ดูเก่าแก่ แต่บรรยากาศน่านั่งร้านหนึ่งครับ ร้านนี้ชื่อ Caravan Coffee เห็นเขียนว่า Since 1970 ก็เลยอยากเข้าไปชิมบรรยากาศ รสชาติที่เก่าแก่สักหน่อย เข้าไปก็เห็นร้านกาแฟในบรรยากาศเก่า ๆ ในร้านตกแต่งไปด้วยพรอพเต็มไปหมด มีคุณลุงคุณป้าช่วยกันบริหารร้าน

ที่นั่งในร้านจะมีเป็นโต๊ะใหญ่ ๆ อยู่สองโต๊ะครับ ช่วงคนเยอะก็อาจจะต้องไปนั่งรวมกับคนอื่นหน่อย แต่เวลาที่ไปจำได้ว่าเป็นช่วงเที่ยง ๆ คนคงกำลังไปหาร้านทานข้าวกันแต่ผมขอเริ่มจากกาแฟก่อน ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษครับ และส่วนใหญ่เมนูจะเป็นเมนูกาแฟดริป ราคาก็แอบแพงหน่อย ๆ แก้วถูกสุดน่าจะประมาณ 700 เยน~ (เทียบกับ Starbucks ที่นี่เริ่มต้นประมาณ​ 400 เยน)

Cafe au lait (กาแฟใส่นม) (750 เยน)

เข้ามาในตัวย่านท่องเที่ยวก็เต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่จะเป็นคนเกาหลี, จีน มีคนญี่ปุ่นบ้างประปราย

มีร้านค้าแยกออกไปตามตรอกซอกซอย จำหน่ายสินค้าที่ระลึกและร้านอาหาร

พยายามเดินตามหาร้านข้าว แต่ยังไม่เจอที่ถูกใจเท่าไหร่ เลยหาอะไรกินข้างทาง มาเจอร้านขาย ทาโกะยากิยักษ์ มีหลายหน้าให้เลือกครับไม่ว่าจะเป็นออริจินอล รสเผ็ด รสชีสเผ็ด และอีกสารพัดหน้า ราคาเริ่มต้นที่ 450 เยน กินรองท้อง อร่อย ชอบมากครับ

Totoro shop
ร้าน Donguri No Mori สำหรับแฟนคลับโทโทโร่

เดินหาร้านกินจนทั่วก็เข้าใจเลยว่า หาร้านกินข้าวที่นี่ยากเหมือนกัน ร้านค้ามีเยอะเต็มไปหมดแต่อย่างที่เกริ่นไว้คือ-ของหวานเสียส่วนใหญ่ ก็มาเจอกับร้าน Utano (うた乃) ซึ่งเป็นร้านที่มาจากการเดินสุ่มมั่วๆ ซึ่งอยู่ใกล้กับทางเดินกลับไปสถานี Yufuin ครับ ด้วยความหิวเลยตัดสินใจเดินเข้าไปก่อน

มีเมนูภาษาอังกฤษ ค่อนข้างเฟรนด์ลี่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภายในร้านบรรยากาศดี สะอาดสะอ้าน มาถึงฟุกุโอกะแต่ก็ยังคงอยากกินอะไรที่คุ้นเคย เลยมาทานโอโคโนมิยากิ (1,200 เยน) ที่ร้านนี้

ถ้าไม่อยากทานโอโคโนมิยากิอย่างเดียว ในร้านมีเมนูกึ่งๆระหว่างโอโคโนมิยากิและยากิโซบะ เรียกว่า Usuyaki (920 เยน) เป็นแผ่นแป้งบางกว่าโอโคโนมิยากิหน่อย ๆ แต่มีเส้นผัดอยู่ด้วย ขนาดใหญ่ใช้ได้ ถ้าเน้นอิ่มและประหยัดอาจจะแนะนำเมนูนี้ ยังมีขนมหวานที่เขาว่าเป็นขนมโลคอลของเขต Oita เรียกว่า Yaseuma (500 เยน) เป็นแป้งที่ไปคลุกกับคินาโกะซึ่งให้รสชาติคล้าย ๆ กับถั่ว หอม หวาน มัน คลุกเคล้ากันเป็นของหวานที่อร่อยใช้ได้ กินไปกินมาจะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกินมะพร้าวที่มันให้รสชาติมัน ๆ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ชอบ

Okonomiyaki, Usuyaki และ Yaseuma

ร้านนี้โอเคในเรื่องบรรยากาศ แต่ราคาอาจจะสูงไปนิด แต่เทียบกับปริมาณร้านอาหารที่ไม่ได้เยอะมากแถว ๆ นี้ ก็อยากให้ทำใจกันไว้หน่อย ..​ แต่ก็ไม่ต้องห่วงอีกอยู่ดี เพราะจะแนะนำว่ามันมีอีกหนึ่งตัวเลือกที่อยากเสนอ (ซึ่งก็มาค้นพบหลังจากกินอิ่มเสร็จเรียบร้อย) นั่นก็คือซุปเปอร์ Max valu ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีเลย

เป็นมาร์ทที่มีทุกอย่างตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงอาหาร มีข้าวกล่องให้สามารถไปอุ่นกินที่ที่พักได้ ซึ่งก็ได้แซลมอนและซาชิมิมาเป็นมื้อดึก กับขนมและของทานเล่นเต็มไปหมด หยิบติดกลับมาบ้าง

ของกินค่อนข้างหลากหลาย และดูจากเวลาที่ให้ทำการแล้วเปิดตั้งแต่ 08.00 ไปจนถึง 23.00 น. ดึกก็ยังพอมาหาอะไรทานได้อยู่

เนื้อหน้าตาน่ากินมาก แต่เสียดายที่ที่พักไม่สามารถทำอาหารได้
ซาชิมิรวมที่ตกกล่องละประมาณ​ 630 เยน

รอบนี้ด้วยความที่ค่าเงินบาทไทยแข็ง เคยแลกเงินเยนเก็บใส่ไว้ใน Travel Card เลยเอามาลองใช้ดู ก็พบว่าสามารถเอามาใช้ที่มาร์ทที่นี่ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร (แม้ว่าบัตรยังคงเป็นบัตรแบบไม่ได้สลักชื่อ) สะดวกดีเหมือนกันเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีเหรียญเยอะ

เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ท้องถิ่นที่มีขายในย่าน Oita
KTB Travel Card in Japan shop
ผลการทดสอบใช้ KTB Travel Card ในญี่ปุ่น สามารถใช้ได้ไม่มีปัญหา หักตามสกุลเงินท้องถิ่นและเช็คย้อนหลังผ่านแอพได้

สำรวจที่พักในยุฟุอิน “Enokiya Ryokan”

ในเว็บจริง ๆ เขียนเอาไว้ว่าเช็คอินได้ตั้งแต่ 15.00 น. แต่พนักงานบอกว่าห้องพร้อมตั้งแต่ 13.00 น. แล้ว กลับมาก็พบว่าพนักงานหิ้วกระเป๋าขึ้นไปวางไว้ในห้องเรียบร้อยอย่างดี โซนห้องพักจะอยู่ชั้น 2 และชั้น 3 บรรยากาศภายนอกดูเก่า ๆ แต่ข้างในไม่ใช่เลย ดูสะอาดแต่ยังคงความคลาสสิค อบอุ่นไปอีก อุปกรณ์ภายในห้องมีเตรียมไว้ครบครัน พิถีพิถันไปกว่านั้นคือมีกาน้ำชา ขนมเซมเบ้สำหรับทานกับชา และกระติกน้ำเย็นที่ใส่น้ำไว้ให้เต็มเหมือนรู้ว่ากระหายน้ำมา

ชุดน้ำชาที่ที่พักเตรียมไว้ให้

ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ครบ ไม่ว่าจะเป็นทีวี เครื่องทำความอุ่น เซ็ตแปรงสีฟัน ตู้เซฟ กาต้มน้ำร้อน และที่สำคัญคือ มีชุดยูกาตะ สำหรับเปลี่ยนให้ได้ถ่ายรูปเล่นหรือจะใส่เดินเล่นในอาคารได้ (ใส่ไปข้างนอกไม่ได้นะ) และหากเดินทางในช่วงหน้าหนาวจะมีชุดคลุมด้านนอกอีกตัวเรียกว่า Tanzen ให้เพิ่มอีกตัว

Enokiya Ryokan room review

Yukata ryokan
ชุดยูกาตะที่เตรียมไว้ให้อย่างเรียบร้อย ผ้าเช็ดตัว ถุงเท้า

ในห้องยังมีคู่มือวิธีการสวมยูกาตะอธิบายไว้คร่าว ๆ อีกด้วย ถ้าจะสรุปสั้น ๆ คือ “ซ้ายทับขวา” สำหรับผู้ชายจะมัดผ้าแล้วหมุนโบว์ไปทางด้านหลัง ส่วนผู้หญิงจะหมุนไว้ข้างใดข้างหนึ่ง

สรุปว่าคุ้มค่าคุ้มราคา ตอนจองจะมีตัวเลือกให้เลือกเพิ่มเติมว่าต้องการอาหารสไตล์โลคอลหรือเปล่า แต่ด้วยความที่ทริปนี้เป็นทริป “คุมงบ” เลยไม่ได้เลือกอาหารเช้าเพิ่ม อ้อ !! อีกอย่างคือ ที่พักไม่มีห้องอาบน้ำ จะอาบน้ำก็จะต้องลงไปอาบที่บริเวณแช่น้ำซึ่งเป็นตามสไตล์เรียวกัง ที่ต้องเปลื้องผ้าไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ ในห้องพักจะมีเพียงห้องส้วมและอ่างสำหรับล้างหน้าง่าย ๆ ไว้สำหรับล้างหน้า-แปรงฟัน แต่จากประสบการณ์ในการพักที่นี่ก็พบว่าต่อให้ไม่มีห้องอาบน้ำก็ยังสะดวกสบายอยู่ดี

และแล้วก็ถึงเวลาพักผ่อน ลงไปแช่น้ำร้อน ก่อนจะลงบ่อก็อย่าลืมไปล้างตัวกันก่อน บ่อสำหรับแช่ตัวก็จะมีทั้งด้านในและด้านนอก ด้านนอกบอกเลยว่าฟินสุดเพราะครึ่งบน คุณจะรู้สึกเย็นหายใจโล่ง ๆ ส่วนครึ่งล่างก็จะอุ่น ๆ หน่อย ฟินอย่างบอกไม่ถูก ใช้เวลานี้ผ่อนคลายแบบเต็มที่ เตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางในวันต่อไปครับ

Enokiya Ryokan Bath
บ่อน้ำร้อนข้างนอก (สำหรับผู้ชาย)

ที่พักค่อนข้างถูกใจเพราะได้ในเรื่องของโลเคชั่น ความสะอาดสะอ้านของห้องพักถือว่าโอเคเลย เช็คเอาท์ได้ไม่เกิน 10 โมง ผมก็เตรียมออกมาตั้งแต่เนิ่น ๆ อาหารเช้าไม่ได้ทานอะไรมาก เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปิด และขอรวบไปเป็นมื้อเที่ยงที่เมืองเบปปุแทน เอาเป็นว่ารายละเอียดการเดินทางไปยังเมือง Beppu รวมไปถึงบรรยากาศของบ่อน้ำพุในเมือง Beppu จะรวมไปเล่าไว้ในบล็อกตอนหน้า อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ !!

สำหรับวันนี้สวัสดีครับ ~

ติดตามเนื้อหาในตอนที่แล้ว

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ติดตามเรื่องอื่นๆ