Homeไดอารีท่องเที่ยวเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวฟุกุโอกะ 2019 หน้าหนาว 5 วัน 4 คืน 3 เมือง (ตอนที่ 2)

เที่ยวฟุกุโอกะ 2019 หน้าหนาว 5 วัน 4 คืน 3 เมือง (ตอนที่ 2)

ความเดิมจากตอนที่แล้ว… เราอยู่ที่เมืองแห่งเรียวกัง Yufuin ครับ และกำลังจะมุ่งหน้าสู่เมืองบ่อน้ำพุเดือดอย่าง Beppu

เดินทางจากยูฟุอิน Yufuin ไปเบปปุ Beppu

ใช้เวลาเดินทางประมาณ​ 1 ชั่วโมงครับ และเราก็สามารถเดินทางได้หลายวิธีเช่นกัน จะนั่งรถบัสจาก Yufuin Bus Station ไปลงที่ Beppu station ก็ได้ (900 เยน) หรือจะนั่งรถไฟไปก็ได้ สำหรับคนที่จองพาสก็แน่นอนว่าควรเดินทางไปกับรถไฟเพื่อความคุ้มค่า โดยรถไฟขบวนที่ผมเลือกนั่งเป็น ขบวน Limited Express Yufu 1 เที่ยว 10.03 น. ถึง Beppu 11.04 น. (การจองตั๋วรถไฟผมทำมาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดการจองได้จากบล็อกในตอนแรกนะครับ มีเขียนอธิบายเอาไว้)

ก็นั่งยาวไปเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ถึง Beppu ก็จะมีวิวทุ่งหญ้า ทุ่งนา และทะเล เต็มอิ่มเลยก่อนถึงสถานี

ก่อนจะถึงก็แบกความหิวมาไว้ด้วยตลอดทาง ระหว่างทางไป Beppu ก็ได้ค้นหาร้านอร่อยไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็มาเจอกับร้านซูชิราคาประหยัดที่ชื่อ Kame-cho หลายคนรีวิวว่ารสชาติเยี่ยมและไม่แพง ก็อยากจะลองไปซะหน่อย ทำการบ้าน หาเส้นทางอย่างดี เพิ่งมารู้ว่าวันที่เดินทาง (วันพุธ) ร้านปิด !! fail จนต้องขอไปแก้มือที่ร้านอื่น (ใครที่ติดตามบล็อกของผม ฝากไปกินแทนด้วยนะครับ คลิกที่ชื่อร้านมีลิงก์อยู่) แต่ตอนนั้นก็ไม่หมดความพยายามหาร้านกินร้านอื่นต่อไป ก็มาเจอกับสารพัดร้านอาหาร ที่อยู่ใกล้กับป้ายรถบัสไปเมือง Kannawa

ถึงสถานี Beppu

ต้องบอกก่อนว่าบริเวณรอบ ๆ สถานี Beppu สถานที่ท่องเที่ยวอาจจะน้อย เมื่อเทียบกับบริเวณ Kannawa ซึ่งเป็นจุดที่คนไทยหรือนักท่องเที่ยวเดินทางไปดูบ่อน้ำพุร้อนกันครับ ตามรีวิวต่าง ๆ ที่ไปชมบ่อน้ำพุเดือด น้ำพุนรกนี่ เขาจะหมายถึงโซน “คันนาวะ (Kannawa)” กันครับ ถ้าให้ดูแผนที่ความใกล้-ไกลระหว่างสองโซน ก็จะพอเห็นได้จากภาพนี้

Beppu Kannawa City map
แผนที่ระหว่างสถานี Beppu และบ่อน้ำพุเดือด ดูเหมือนไกลแต่จริง ๆ ห่างกันไม่มาก

แต่การเริ่มต้นจากสถานี Beppu ก็จะได้ความสะดวกในเรื่องฝากกระเป๋า, เป็นสถานที่ตั้งของสถานี JR ที่เราสามารถมาจองตั๋วรถไฟขากลับล่วงหน้าได้ (เผื่อว่าใครยังไม่ได้จอง), มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ เผื่อว่าหิวจัดก็มีร้านอาหารอยู่ที่สถานี

Locker storage at Beppu station
ล็อคเกอร์สำหรับฝากกระเป๋า ที่สถานี Beppu ราคาตั้งแต่ 600 เยน – 900 เยน ไม่มีเหรียญก็สามารถไปแลกได้ที่เคาน์เตอร์ JR

รวมไปถึงการซื้อพาสสำหรับนั่งรถบัสเที่ยวชมบ่อน้ำพุแต่ละบ่อ เราสามารถมาซื้อพาสสำหรับนั่งรถบัสไม่จำกัดได้ในราคา 900 เยน พร้อมกับขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเส้นทางการเดินชมได้จุดประชาสัมพันธ์ของสถานี Beppu

ด้วยความที่เวลามีจำกัดและไม่ได้ต้องการเข้าไปชมบ่อน้ำพุครบทุกบ่อ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 8 บ่อ และแต่ละบ่อมีค่าเข้าชม 400 เยน เลยตัดสินใจ ขอเลือกบ่อไฮไลท์ ๆ สักหนึ่งบ่อ พอให้ได้รู้ว่าเป็นยังไงครับ (ใครอยากดูครบทุกบ่อ เห็นว่ามีพาสราคา 2,000 เยนจำหน่ายด้วย)

เดินทางจากสถานี Beppu ไปบ่อน้ำพุเดือด

การเดินทางจากสถานี Beppu ไปยัง Kannawa ก็ให้มารอที่ป้ายรถบัสหมายเลข 3 ฝั่งทิศตะวันตก (West) ก็จะเห็นนักท่องเที่ยวต่อแถวรอขึ้นรถเต็มไปหมด

รถบัสไปชมบ่อน้ำพุเดือด จุดขึ้น ฟุกุโอกะ

การนั่งรถบัสของที่นี่ก็จะเหมือน ๆ กับการนั่งรถบัสในญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไป คือการขึ้นจากทางประตูด้านหลังและออกประตูด้านหน้า สำหรับใครที่ไม่มีบัตร IC Card หรือบัตรเดินทางก็จะต้องดึงแผ่นกระดาษ​ ที่ประทับหมายเลขป้ายที่ขึ้น โดยเราจะต้องเอากระดาษนี้ไปแสดงให้กับคนขับและชำระเงินตามจำนวนที่ขึ้นอยู่บนป้ายไฟ โดยจะต้องเตรียมเหรียญชำระให้เพียงพอ เพราะเครื่องจะไม่ทอนเงินหากชำระด้วยธนบัตรตั้งแต่ 2,000 เยนขึ้นไป สำหรับใครที่มีพาสสำหรับนั่งรถบัสเข้าใจว่าแค่แสดงให้คนขับตอนลงจากรถก็น่าจะเพียงพอ และใครที่มีบัตรเดินทาง IC Card ให้แตะบัตรก่อนขึ้นรถ และแตะบัตรอีกครั้งตอนลงจากรถครับ

ป้ายแสดงค่าโดยสาร รถบัส ญี่ปุ่น
หน้าจอแสดงค่าโดยสาร คิดตามระยะทาง โดยจะเพิ่มมูลค่าเรื่อย ๆ เมื่อระยะทางไกลขึ้น (ใครที่มีบัตร IC Card ไม่ต้องดูป้ายนี้ก็ได้ แตะตอนขึ้นและลงอย่างเดียว)

เดินทางมาถึง ป้าย Kannawa ซึ่งนั่งไปประมาณ​ 20 นาที ในรถมีเสียงประกาศชัดเจนก็ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ ให้อาศัยดูแผนที่ตามไปด้วย หรือลองมอง ๆ เดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่น

มาถึงแล้วก็เดินย้อนไปทางซอยที่หน้าปากซอยเป็นป้ายฝั่งขากลับไปสถานี Beppu

ขากลับไปสถานี Beppu ให้สังเกตป้ายรถอันนี้ (แต่ผมขากลับไปสถานีไปนั่งที่หน้าบ่อน้ำพุเดือดครับ)

ตรงนี้จะเป็นเส้นทางไปร้านอาหารที่หาเอาไว้ เป็นร้านยอดนิยมที่คนชอบมาเพราะว่าเป็นเมนูนึ่ง ๆ เห็นไอน้ำเต็มไปหมด เข้ากับคอนเซ็ปต์ของเมืองนี้ที่ไปตรงไหนก็มีแต่ไอน้ำลอยออกมาตามท่อต่าง ๆ

Kannawa
รูปนี้ไม่ใช่ป้ายบัส Kannawa แต่เดินออกมานิดหน่อย ต้องการโชว์ให้เห็นว่า ถนนเส้นนี้เดินไปทางไหนก็เห็นแต่ไอลอยมาตามท่อ

ร้านรวมมิตรนึ่ง Jigo Kumu Shikobo

ร้านสังเกตไม่ยากครับ เพราะมีน้ำตก และบรรดานักท่องเที่ยวที่ต่อคิวเพื่อมารอทานอาหารเที่ยง ให้เข้าไปเขียนชื่อและบอกจำนวนคนกับพนักงานครับ และเขาจะให้หมายเลขคิวกับเรา และบอกให้เราไปเลือกออเดอร์อาหารได้จากตู้กด ข้างหน้าก็จะมีเมนูภาษาอังกฤษให้เราไปดูก่อน อยากกินเมนูไหนก็ใส่เงินเข้าไปในตู้ และเลือกได้ตามใจชอบ เมื่อกดแล้วตั๋วอาหารก็จะออกมา

เมนู

รอจนเรียกคิวครับ จากนั้นก็แสดงคูปองให้กับที่ครัว เขาก็จะเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ให้ลงในถาด พร้อมกับนาฬิกาจับเวลา ยกถาดเข้าไปในครัว ตามหมายเลขของหม้อนึ่ง ก็จะมีพนักงานคอยดูแล และบอกว่าถาดไหน ใช้เวลาต้มเท่าไหร่ ในนั้นก็จะมีถุงไม้ถุงมือให้เราได้มีกิจกรรมถ่ายรูปกับอาหาร หย่อนลงไปในหม้อต้มเสร็จก็กลับมาเตรียมอุปกรณ์การกิน ตะเกียบ น้ำจิ้มไว้รอ

หน้าตาก่อนเอาไปลงในหม้อต้ม

เมนูที่สั่งมาเป็นเมนูสแตนดาร์ดของร้าน เห็นเขียนว่าได้รับความนิยม ขอตั้งชื่อภาษาไทยว่า รวมมิตรนึ่งนรก (Treasure Box Steamed from Hell) ราคาอยู่ที่ 2,000 เยน เป็นเมนูสารพัดผัก หมูนิดหน่อย และซาลาเปา  ส่วนอีกถาดหนึ่งที่สั่งเป็น เซ็ตหมูชาบู​ 1,500 เยน อันนี้ก็เป็นหมูแผ่นมากับผัก และเติมข้าวสวยอีกนิดหน่อยเพื่อความอิ่ม ยังไม่รวมค่านึ่งอีก 340 เยน ซึ่งต้องกดจากตู้เพิ่ม

เมนูมื้อเที่ยง ฟุกุโอกะ

ได้ชิมรสชาติก็อร่อย เป็นเมนูนึ่งที่อาจจะรู้สึกว่าหากินได้ทั่ว ๆ ไปในบ้านเรา และเทียบกับราคาผมก็รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ เทียบกับปริมาณและความอร่อย แต่ด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยวแบบนี้ การหาอะไรกินก็อาจจะยาก เว้นแต่เป็นเมนูง่าย ๆ ข้างทาง อันนี้อาจจะพอหาได้ตลอดเส้นทาง แนะนำให้กินกันมาเรียบร้อยจากในเมือง (ไปเจอหนังสือท่องเที่ยว เขาก็คอนเฟิร์มอีกเสียงว่าโซนนี้หาของกินยาก เทียบกับแถว ๆ สถานี Beppu)

บ่อทะเลเดือด Sea Hell (Umi Jigoku)

เดินออกมาฝั่งตรงข้าม ตามเส้นทางใน Google Maps มาเรื่อยๆ ก็จะเป็นทางเดินไปยังบ่อน้ำพุเดือดทั้งหลาย เริ่มต้นก็เจอกับบ่อจระเข้ ที่ก็มีจระเข้ให้ดูจริง ๆ อันนี้แอบไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าไหร่ เดินไปเดินมา ก็ไม่รู้จะเข้าไปตรงไหน เลยสุ่มไปดู บ่อทะเลเดือด (Sea Hell – Umi Jigoku) โดยการเดินตรงไปตามแผนที่เรื่อย ๆ และซื้อตั๋วเข้าไปเข้าชม 400 เยน

From Umi Jigoku to Beppu station
ทางเข้าชมบ่อน้ำพุ Umi Jigoku เลี้ยวขวาก็คือประตูทางเข้า แต่อยากให้สังเกตดี ๆ ว่ามีคนกำลังต่อแถวขึ้นบัสอยู่ จุดตรงนี้แหละเป็นจุดที่นั่งรถบัสขากลับไปสถานี !

เข้ามาแบบไม่มีข้อมูลอะไรทั้งนั้น ข้างในก็มีขนาดไม่ได้ใหญ่มาก มีจุดขายของที่ระลึก แกลอรี่ที่รวมประวัติและสินค้าที่สามารถหาซื้อได้จากบ่อน้ำพุแห่งนี้ ..​

บ่อน้ำพุก็เรียกว่าเป็นไฮไลท์หน่อย เพราะขนาดก็ใหญ่และมีควันพุ่งออกมาตลอดเวลา กลิ่นก็อาจจะเหม็น ๆ หน่อย ๆ ของโคบอลต์แนะนำว่าไม่ควรเอาหน้าไปสัมผัสหรืออยู่เป็นเวลานาน เพราะกลิ่นจะตลบอบอวลและรู้สึกวิงเวียนกันได้

เข้ามานั่งพักขาข้างในร้านขายของที่ระลึก ก็มาเจอกับ “พุดดิ้ง” ของที่นี่ ด้วยความที่เป็นคนชอบกินพุดดิ้ง เลยลองสั่งมากินดู มันอร่อยมาก ราคา 300 เยน เป็นพุดดิ้งที่ค่อนข้างเน้นไปทางไข่ จะให้ความรู้สึกเหมือนกินไข่ตุ๋นหน่อย ๆ แต่ส่วนใต้สุดที่ออกหวาน ๆ (เข้าใจว่าเป็นน้ำตาล) อันนี้ออกขมปนหวาน เข้มข้น รู้สึกชอบเป็นการส่วนตัวจัดการไปหมดอย่างรวดเร็ว

เดินเล่นอยู่ในนี้ไปสักพักและเทียบกับเวลารถบัสที่วิ่งกลับไปยังสถานี Beppu อยู่เรื่อย ๆ ด้วยความขี้เกียจเดินย้อนกลับไปที่ป้าย Kannawa ก่อนเข้ามาที่บ่อน้ำพุแห่งนี้ก็ได้สังเกตว่ามีป้ายรถบัสอยู่หน้าบ่อ ป้ายนี้จะชื่อว่า “Umi Jigoku Mae” ก็ให้มารอรถจากตรงนี้ได้เลย มีวิ่งผ่านอยู่หลายสาย (สามารถนั่งสาย 5 หรือ 7 ได้)​ รอบรถให้ไปเช็คจากแผนที่รถบัส ที่สามารถขอได้จากศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว สถานี Beppu

ใช้เวลาประมาณ​ 15 นาที ก็กลับมาที่สถานี Beppu ก็ได้ใช้เวลาระหว่างรอรถไฟ Sonic 48 กลับ Hakata รอบ 17.18 น. นี้ นั่งพักผ่อนอยู่ในร้านคาเฟ่ชื่อว่า Italian Tomato อยู่ในสถานีเลย มีจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม เลยมาเติมน้ำตาลให้กับร่างกาย กลัวว่าความหิวจะทำให้หมดพลังไปเสียก่อน

Cafe Italian Tomato Beppu station

นั่งรถไฟ Sonic กลับ Hakata ก็สัมผัสได้ว่ารถขากลับนี้เร็วมากครับ เรียกว่าโยกแยกกันตลอดทั้งทาง ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 2 ชั่วโมง 12 นาทีครับ

โดยเมื่อรถไฟผ่านถึงสถานี Kokura จะมีการเปลี่ยนผังที่นั่งใหม่ เปลี่ยนทิศของรถไฟ จึงมีการประกาศผ่านเสียงตามสายให้เราหันทิศของเก้าอี้ไปอีกทิศหนึ่งด้วย เราสามารถเหยียบด้านล่างของเบาะเพื่อปรับเก้าอี้ไปอีกทิศ (เริ่มเห็นคนเขาปรับ ๆ ก็สามารถปรับตามเขาได้ครับ ไม่งั้นเราจะได้หันหน้าไปเจอกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ )

กลับมายัง Hakata

เมื่อถึง Hakata แล้ว ด้วยความรู้สึกติด ๆที่วันนี้ไม่ได้กินซูชิเมือง Beppu เลยคิดว่าจะมาหาร้านกินที่ Hakata ค้นไปค้นมาก็พบว่ามีร้านซูชิราคาเด็ด เริ่มต้นที่ 100 เยน (ไม่รวม VAT)  ที่ชื่อว่า “Uobei Sushi” เป็นเฟรนไชส์ซูชิสายพาน ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของตึก Yodabashi ที่เป็นร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตึก  Yodobashi จะอยู่หลังสถานี Hakata ครับ ลองถามเส้นทางจากประชาสัมพันธ์ก็ได้ (เพราะตอนแรกก็งงเส้นทางเหมือนกัน เดินวนประมาณ 3 รอบจนสุดท้ายยอมแพ้ขอไปถามให้ชัวร์เลยดีกว่า)

ขึ้นมาชั้น 4 ของอาคารนี้ Yodobashi เข้าไปกดบัตรคิว แล้วลงมาเดินเล่นดูของใช้ Gadget อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่ชั้นล่าง ประมาณครึ่งชม. ก่อนจะกลับขึ้นมารอต่ออีก 10 นาที ใช้เวลารอคิวไปทั้งหมด 40 นาที สำหรับการบอกลำดับคิว เขาจะมีหน้าจอบอกเลขคิวปัจจุบันอยู่หน้าร้าน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องฟังเสียงประกาศ เมื่อเขาเรียกแล้ว เราก็จะไปนั่งตามหมายเลขที่เขากำหนดเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มสั่งกันได้เลย

ไปถึงก็จะเป็นมุมใครมุมมัน มีหน้าจอสำหรับสั่งอาหารแยกชัดเจน ไปกับเพื่อน ๆ ก็จอใครจอมันเลย

ลักษณะก็คือให้เลือกจากหน้าจอ มีเมนูภาษาอังกฤษให้ เลือกโดยการจิ้ม โดยสามารถสั่งได้มากสุดครั้งละ 4 จาน เมื่อคอนเฟิร์มรายการสั่งซื้อ ไม่นานก็จะมีรถไฟขนซูชิมาเสิร์ฟถึงหน้าเราเลย เมื่อเอาจานออกเสร็จเรียบร้อย ก็ให้กดยืนยันจากหน้าจอ

เมนูมีญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลี ก็ตามสะดวกเลยครับ จิ้ม ๆ ยืนยันออเดอร์
ซูชิที่สั่งได้แล้ว มาตามสายพาน
เพอร์เฟ็กต์​!!

ไปนั่งกินจนอิ่มสุดๆ เช็คบิล กินไป 10 กว่าถาดหมดไปราวๆ 2,000 เยน ถือเป็นมื้อเย็นที่อร่อยคุ้มค่าครับ ที่นี่ถ้าจำไม่ผิดรับบัตรเครดิตเหมือนกัน แต่ใช้บัตร IC Card จ่ายไม่ได้ 

จากนั้นก็เดินทางกลับไปที่พักที่จองไว้ ซึ่งเลือกเอาไว้ใกล้ ๆ กับสถานีเพื่อความสะดวกในการเดินทางครับ

เช้าวันใหม่ เที่ยวตัวเมืองฟุกุโอกะ

เริ่มต้นเช้านี้ด้วยการลองขึ้นรถบัสดูครับ !! มาดูกันว่า Google Maps กับเมืองฟุกุโอกะนี้จะไปด้วยกันได้แค่ไหน เช้านี้มีแผนไปชมอาคาร Acros, กินไข่ปลาคอด และช็อปปิ้งในย่าน Tenjin ซึ่งบริเวณนี้จริง ๆ ไม่ค่อยไกลจากที่พักมาก เลยมาลองนั่งรถบัสดู และค้นหาเส้นทางผ่าน Google Maps

ป้ายรถบัสที่นี่ก็ค่อนข้างชัดเจนดีครับ บอกรถที่กำลังใกล้จะถึง มีตารางรถบัสที่เป็นภาษาญี่ปุ่นที่อ่านไม่ออก สังเกตว่าใน Google Maps มีบอกเวลารถมาถึงด้วย แต่จากการใช้จริงพบว่าเวลาอาจจะคาดเคลื่อนหน่อย และรถบัสหลายสายที่ไม่มีข้อมูลอยู่บนแอพ

นั่งมา 2-3 ป้าย ลงที่ ป้าย Tenjin Minami ซึ่งอยู่หน้าอาคาร LOFT เลย แต่ห้างร้านแถวนี้ส่วนใหญ่เปิดตั้งแต่ 10 โมงเป็นต้นไป

Loft Tenjin Branch
LOFT สาขา Tenjin

เลยตามเส้นทาง Google Maps เดินตรงไปที่อาคาร Acros ก่อน จากตรงนี้มาถึง Acros ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จุดเด่นของ Acros คือสถาปัตยกรรมที่ใหญ่และร่มรื่น ด้านหน้าที่มีสนามหญ้าสีเขียวโล่ง ๆ นี้ เป็นมุมที่เหมาะกับการไปถ่ายรูปเล่นมาก

ภายในอาคารมีห้างร้าน มีโซนนิทรรศการ ห้องสำหรับจัดแสดงงานต่าง ๆ ด้วย และตกใจนิดนึงที่เห็นว่ามี MK สุกี้ อยู่ชั้นใต้ดินของอาคารแห่งนี้

แม้ว่ามื้อเที่ยงจะอยากกินสุกี้แค่ไหน แต่ก็ต้องมาทานของดีของเมืองนี้ให้ได้ก่อน นั่นก็คือ “ไข่ปลาพอลแลค” หรือ “ปลาคอด” ภาษาญี่ปุ่นคือ “เมนไทโกะ” (Mentaiko, 明太子)

ได้โพยร้านอร่อยมาจากเพื่อนญี่ปุ่น ว่าต้องมาลองให้ได้ครับ ร้านนี้มีชื่อว่า “Gamnso Hakata Mentaiju” จากอาคาร Acros เมื่อสักครู่ เดินออกมาอีกไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงร้านนี้ครับ เดินมาก็เห็นคิวต่อแถว รอหน้าร้านประมาณ 3-4 คิวได้ เข้าไปบอกชื่อและจำนวนในร้านแล้วก็ออกมารอข้างนอก ดูเมนูไปก่อนพลาง ๆ

ด้วยความที่เมนูไข่ปลาพ็อลแลคกับข้าวนี้ นับว่าเป็นครั้งแรก เพื่อนบอกมาว่ามันจะเผ็ด ๆ หน่อย แต่เราสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ โดยที่ร้านเขาจะมีป้ายเป็นไม้ให้เราเลือกระดับความเผ็ด แล้วตอนสั่งพนักงานก็จะอ้างอิงและเสิร์ฟตามลำดับความเผ็ดที่เลือกไว้

เมนูหลัก ๆ จะเป็นข้าวหน้าไข่ปลาพ็อลแลค ถ้าสั่งเป็นเซ็ตจะมีเป็นราเม็ง Tsukemen ที่ให้เส้นแยกมากับน้ำซุป เพื่อให้เรานำเส้นไปจิ้มทาน ทั้งเซ็ตราคา 2,880 เยน ได้มาเป็นไข่ปลาโรยสาหร่าย เสิร์ฟพร้อมข้าว ส่วนเส้นก็มาพร้อมกับน้ำซุปที่เป็นซุปไข่ปลา

Tsukemen มาในน้ำซุปข้นเต็มไปด้วยไข่ปลา

รสชาติของข้าวหน้าไข่ปลานี้ ตัวไข่ปลาจะเค็ม ใครที่ไม่ชอบทานเค็มจะรู้สึกว่ามื้อนี้เค็มเป็นพิเศษได้ และด้วยความที่น้ำซุปราเม็ง ก็รสชาติเค็มเหมือนกัน พนักงานจึงให้กระติกน้ำซุปมา และอธิบายกับเราว่าเราสามารถเทน้ำเพิ่ม เพื่อให้เจือจางลงได้

ด้วยความที่กินทั้งข้าวและเส้นพร้อม ๆ กัน อิ่มเร็วโดยไม่ต้องสงสัย ข้าวคำแรก หอมอร่อยมาก แต่ทานไปเรื่อย ๆ มันจะเค็มพอสมควรเลย แนะนำว่าเซ็ตไม่ค่อยเวิร์ค แนะนำให้สั่งแยก หรือหาอะไรมาทานเพื่อให้ตัดรสชาติเค็ม แต่อร่อยนะ ชอบหอมดี ข้าวร้อน ๆ ทานกับกับข้าวที่รสชาติเค็ม ๆ หน่อย เป็นอะไรที่ฟินมากอยากให้มาลองกัน

ออกมาฝนเริ่มตกปรอย ๆ จะควักร่มออกมาจากกระเป๋า ก็พบว่าเพิ่งย้ายร่มไปไว้อีกกระเป๋า เลยต้องหาร้านนั่ง หลบฝนไปก่อน เลยมานั่งที่ร้านกาแฟหน้าตึก Acros

บรรยากาศในร้านดูเก่า ๆ แต่ให้อารมณ์คลาสิก มีคุณลุง คุณป้า มารับออเดอร์ และเหมือนจะมีแต่ผมทั้งร้าน ลักษณะของร้านนี้คือให้เราไปหาที่นั่ง แล้วจะมีคนมารับออเดอร์ถีงที่โต๊ะปกติเป็นคนชอบกินลาเต้ เลยจะสั่งลาเต้ มาส่องเมนูเลยเห็นว่าคนญี่ปุ่นเรียกกาแฟใส่นมว่า Au lait (โอ เล่)

ร้านมีความสงบ เหมาะกับการหยุดพักตั้งหลัก ดูคนวิ่งหลบฝนกันไป

สำหรับรสชาติอาหาร วาฟเฟิล​ (ที่รุ่นน้องเป็นคนกิน) บอกว่าอร่อยใช้ได้อยู่ครับ กาแฟผมให้กลาง ๆ

เสร็จสิ้นจากการหลบฝนแล้วเดินมาเดินเล่นต่อที่ LOFT , Donquixote, Biccamera พวกนี้อยู่ไม่ไกลกันเลย ตรงข้าม Donquixote ก็มี Apple Store สาขา Tenjin ด้วย

Apple Store Tenjin Branch

Apple store Genius Bar
Apple Store สาขา Tenjin ที่…ของน้อยมาก เสียดาย แต่มีทุกอย่างเหมือนที่ Apple store สาขาอื่นควรมี หนึ่งในนั้นคือ Session สอนใช้งานอุปกรณ์อย่าง Today at Apple

ถัดจาก Donquixote ก็เป็นศูนย์ SONY ครับ ตรงนี้ก็มีตั้งแต่กล้องถ่ายรูป, หูฟัง, ทีวี, หุ่นยนต์สุนัขที่พัฒนาโดย Sony “Aibo” ลองไปเล่นกันได้ว่าหุ่นยนต์สุนัขราคาร่วมแสนบาทนี้ ทำอะไรได้บ้าง

ความเจ๋งของมันคือ ยื่นกล้องมาถ่ายรูปเซลฟี่ด้วย มันก็หันหน้าไปทางกล้องด้วย ฉลาดมาก
เดินเล่นร้านขายยาแถวนี้ ช่วงนั้นบ้านเราหน้ากากขาดตลาด เลยมีป้ายภาษาไทยกำกับเต็มไปหมดว่าเป็นหน้ากากที่ป้องกันฝุ่น PM 2.5

ย่าน Tenjin ก็เป็นอีกหนึ่งย่านช็อปปิ้ง เต็มไปด้วยตึก อาคาร นักท่องเที่ยวมาช็อปปิ้งสินค้าต่างมากมาย มีร้านอาหารอยู่แถวนี้ก็หลายร้าน อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ชอบมุมมองแบบ City view น่าจะตื่นตาตื่นใจอยู่ครับ

ความหิวถามหาอีกครั้ง เลยกลับมาเพิ่งร้านข้าวหน้าเนื้อแถว ๆ นี้ กินเติมพลังก่อน

ฝากท้องไว้กับ Yoshinoya (ร้านพวกนี้ใช้ IC Card จ่ายได้)

แล้วก็ตัดสินใจว่าจะไปดูแสง สี ที่ Canal City ซึ่งเป็นห้างที่อยู่ติดกับแม่น้ำครับ สังเกต Guidebook หลาย ๆ เล่มมักจะพูดถึงที่นี่ก็เลยตามมาดู เปิด Google Maps แล้วนั่งรถบัสมา เดินต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงแล้วครับ Canal City

ห้าง Canal City Hakata

ห้างค่อนข้างใหญ่ มีช็อป ร้านอาหาร อะไรเต็มไปหมดเลยครับ โซน ๆ นี้ ไฮไลท์ก็จะมีตรงการแสดงน้ำพุที่คนมายืนรอดู สามารถชมได้ฟรีตามเวลา

ช็อปสตูดิโอจิบลิก็มีให้เลือกซื้อที่ Canal City Hakata เช่นกัน

เดินไปเดินมาเห็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ร้านค้าบอกว่าชั้น 5 ของอาคารนี้ มี Pop-up store Harry Potter พอดี เลยลองเดินขึ้นมา เป็นช็อปเล็ก ๆ แต่น่าจะถูกใจสาวก Harry Potter ไม่น้อยเลย

เดินเล่นอยู่จนถึงเกือบสามทุ่ม แถวนี้ก็ทยอย ๆ ปิดหมดแล้วครับ ก็เลยมาแวะร้านสะดวกซื้อหามื้อดึกไปกินที่ที่พัก ส่วนตัวมาญี่ปุ่นทีไรจะได้พุดดิ้งติดไม้ติดมือไปเป็นของหวานครับ มีแซลมอนสำเร็จรูปไปทานกับยากิราเม็ง จะให้เขาเวฟให้เลยก็มีบริการให้ครับ

นอกจากราเม็งแล้ว ก็มาเจอไข่ปลาอีก !! ผมเป็นคนที่เวลารู้ว่าอะไรเป็นของขึ้นชื่อเมืองนั้น จะชอบซื้อติดไม้ติดมื้อมาเยอะมาก ด้วยความสงสัยว่าไข่ปลาที่อยู่ในร้านอาหาร กับร้านสะดวกซื้อ รสชาติจะแตกต่างกันขนาดไหน

สรุป ไข่ปลาเมนไทโกะ ออกแบบมาให้เค็มเลยครับ เอาไปทานกับยากิราเม็งที่ซื้อมาด้วย ตัดรสชาติจืด ๆ ของเส้นไปได้เลย กับคิดว่ามันคือกับแกล้มชั้นเยี่ยม จำได้ว่าราคาไม่ค่อยแพงมาก ที่น่าสนใจคือพอมันเป็นของขึ้นเมืองนี้ เซเว่นก็มีมาขายด้วยนี่ล่ะ !

เดินทางกลับ

ก่อนกลับเดินมาแวะเที่ยว Tokyu Hands กันในชั่วโมงสุดท้ายที่สถานี Hakata แอบคิดผิดที่ไม่ได้เผื่อเวลากับร้านพวกนี้เยอะ ๆ เพราะเป็นร้านที่ได้เดินทีไรก็จะติดลม เดินเพลินมาก สุดท้ายได้ใช้เวลาประมาณครึ่งชม.

สถานี Hakata ฮากะตะ
สถานี Hakata

ด้วยความที่ไฟลท์บ่ายแล้วกลัวจะมีปัญหาไปเช็คอินช้า (เนื่องจากอาคาร Terminal 2 จะต้องนั่งรถชัตเติลบัสต่อเข้าไปอีก) เลยรีบเดินทางไปแต่เนิ่น ๆ

และเท่าที่ได้ลองจับเวลาดู หากเดินทางจากสถานี Hakata ไปจนถึง Terminal 2 ของสนามบิน Fukuoka เลย จะใช้ประมาณ 30 นาที

สนามบินฟุกุโอกะ อาคารผู้โดยสารขาออก Departure building
สนามบินฟุกุโอกะ อาคารผู้โดยสารขาออก

เมื่อมาถึงที่ Terminal 2 ก็ต้องมาต่อแถวเพื่อสแกนสัมภาระรอบแรกก่อน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะให้แยกย้ายไปตามเคาน์เตอร์เช็คอินของแต่ละสายการบิน

Jeju Airline counter at Fukuoka Airport
เคาน์เตอร์สายการบินเจจูแอร์ สนามบินฟุกุโอกะ

แล้วก็เข้ามาต่อแถวในจุดตรวจสอบสัมภาระ (Security Check) ซึ่งไม่ได้ใหญ่มาก ใครที่ซื้อของแล้วขอ Tax refund มา เมื่อพ้นจากจุดตรวจสัมภาระไปแล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่เก็บใบเสร็จจากเราไปอีกที

Security check line at Fukuoka airport
แถวสำหรับจุดตรวจสัมภาระ (Security check) ที่วันนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คนเดินทางเยอะมาก อาจจะเป็นช่วงวันหยุดยาวของคนเกาหลีด้วย

สำรวจพื้นที่แถว ๆ เกท ก็พบว่ามีร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ดิวตี้ฟรีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เยอะ ใหญ่เทียบกับสนามบินอื่น ๆ

ร้านดิวตี้ฟรี สนามบินฟุกุโอกะ Duty free shop Fukuoka airport

มาได้อาหารมื้อเช้า และของฝากให้ตัวเองติดไม้ติดมือกลับเกาหลีไป ก็คือ “ไข่ปลาเมนไทโกะหลอด”

Souvenir shop at Fukuoka airport

มาในรูปแบบแช่แข็งแบบนี้ เขามีบริการแพ็คและใส่น้ำแข็งแห้งให้เรา ไข่ปลามีขายที่นี่หลายรูปแบบ และแต่ละแบบก็แตกต่างกันเรื่องของความยาวในการจัดเก็บ แบบหลอดรู้สึกอยู่ได้หลายสัปดาห์ในตู้เย็นแบบปกติ และหากแช่ช่องฟรีซก็อยู่ได้เป็นเดือน

Frozen Mentaiko pollock
ไข่ปลาเมนไทโกะแบบหลอด

หากคุณชอบรสชาติเค็ม ๆ ของไข่ปลานี้ แนะนำให้ซื้อติดไปเพิ่มเติมรสชาติอาหารครับ หลอดละ 600 เยน เอามาเติมกับข้าว ให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำจิ้มเพิ่ม เขาบอกว่ามันเผ็ด แต่ลองเอามาทานจริง ๆ ไม่ค่อยเผ็ดเลย และอร่อยมากถ้าเอามาเติมความเค็มให้กับเมนูอาหารจานอื่น ๆ

ส่วนใครที่อยากได้โตเกียวบานาน่า, ช็อคโกแลต Royce ก็สามารถมาหาซื้อตอนท้าย ได้จากที่นี่เช่นกัน

สายการบิน Jeju Air

จบแล้วสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่น เมืองฟุกุโอกะ ของผมครับ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เล็ก ๆ ไม่ค่อยแออัด แถมยังมีอาหารอร่อย ๆ รออยู่อีกมากมาย เหมาะกับการออกมาพักผ่อนดีครับ ใครที่อยากจะเที่ยวเกาหลีไปปูซาน แล้วนั่งเรือ หรือเครื่องบินมาต่อที่เมืองนี้ เป็นตัวเลือกที่ดีมาก เพราะได้เที่ยวทั้งสองเมืองในราคาประหยัดอีกด้วย

หากมีทริปไหนน่าสนใจ ก็จะเก็บมาฝากคุณผู้อ่านให้ได้ติดตามกันอีกเรื่อย ๆ ครับ ติดตามบทความใหม่ ๆ จากทางเพจ Facebook : Framekung.com กันนะครับ

ติดตามเนื้อหาในตอนที่แล้ว

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ติดตามเรื่องอื่นๆ