หลังจากในตอนที่ 1 เฟรมได้พาทุกคนทำการบ้านเรื่องการเตรียมตัวการเดินทางมาพอสมควร ตอนที่ 2 เป็นต้นไป จะพาทุกคนแบกเป้มาเที่ยวไปด้วยกันครับ
Day 1 – วัด Jing’an Temple / Yuyuan Garden / Nanjing Road/ The Bund
สรุปทริป Day 1
* เข้าสวน Yuyuan Garden ต้องใช้ Passport! ให้พกไปด้วย
10:30 – วัด Jing’an Temple
11:40 – สวน Jing’an Park (ตรงข้ามวัด Jing’an Temple)
12:20 – ห้าง / ร้านกาแฟ SeeSaw
13:30 – สวน Yuyuan Garden/ ตลาดรอบๆ สวน
16:00 – Nanjing Road
16:40 – The Bund, นั่งพักที่คาเฟ่ Costa Cafe
19:30 – ร้านเสี่ยวหลงเซีย Huxiaopang Shanghai Crayfish
เป้าหมายของเช้าวันที่ 2 นี้จริงๆ จะเป็นการไปเดินสวน Yuyuan Garden (豫园 – yùyuán) สวนสวยใจกลางเซี่ยงไฮ้ที่อายุกว่า 400 ปี แล้วไปเดินที่ถนนช็อปปิ้ง Nanjing Road แล้วจบด้วยการชมวิวกลางคืนที่ The Bund หรือภาษาจีนเรียก “ไว่ทัน” (外滩 – wàitān) ในขณะที่วัด Jing’an Temple จะเป็นแพลนสำหรับวันถัดไป
ซึ่งในขณะที่กำลังนั่งรถไฟฟ้าสาย 14 เพื่อเดินทางไปสถานี Yuyuan Garden อยู่ ก็นั่งสังเกตเส้นทางของสาย 14 แล้วก็พบว่า เราจะถึงสถานี Jing’an Temple ก่อน ก็เลยปิ๊งไอเดียตรงนั้นเลยว่าเราจะแวะวัดก่อน (ซึ่งก็ควรจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก 555)
เลยมาถึง วัดจิ้งอาน (Jing’an Temple) ทันทีที่ออกจากประตูทางออก 1 ซ้ายมือก็จะเป็นวัดเลยครับ จะมีแถวที่มีคนมามุงสแกน QR Code เพื่อจ่ายค่าเข้าชมวัด ซึ่งเฟรมพยายามจะเริ่มใช้ “สกิล” ในการ “สแกน” เพราะทราบว่าเมืองเซี่ยงไฮ้ไปไหนก็ต้องสแกน แต่ก็พบว่าไม่ประสบความสำเร็จตรงที่จะต้องใช้เบอร์โทรศัพท์ที่จีนครับ (บางแอปก็ไม่ต้องใช้ สามารถใช้เบอร์ไทยยืนยันตัวบุคคลได้เลย) แต่เหมือนกับการชำระค่าเข้าวัดนี้จะต้องใช้ OTP ที่ส่งมาที่เบอร์จีน และพยายามจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ เขาก็ชี้ให้เราเข้าไปชำระเงินสดเลยครับ ก็จะมีทางเข้าให้เราใช้เงินสด ค่าเข้าอยู่ที่ 50 หยวน (เงินสดเพิ่งจะได้เริ่มใช้ก็ตอนนี้)
เข้ามาแล้วก็จะเห็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดจิ้งอานอยู่เต็มวัดไปหมดเลยครับ แต่ช่วงที่ไปก็ถือว่าไม่หนาแน่น มีเต๊นท์ขายธูปที่ต้องสแกนเช่นกัน จะมี QR Code ให้สแกนส่งเงินให้ ค่าธูป 10 หยวน จะต้องกรอกเลขเอง และนำรายการที่โอนชำระสำเร็จไปให้เจ้าหน้าที่แล้วก็รับธูปครับ (อันนี้เฟรมจ่ายด้วย WeChat ได้ สแกนแล้วกรอกเลข 10 หยวน เมื่อกดชำระแล้วแล้วจะมีหลักฐานว่าชำระเสร็จแล้วเด้งขึ้นมา)
ก่อนเดินทางมาก็ทราบมาว่าที่นี่เป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิมพันมือขนาดใหญ่ครับ บริเวณวิหารต่างๆ มีไม้แกะสลักที่ประณีต สวยงามมากๆ บริเวณรอบๆ จะเป็นอาคารที่เข้าใจว่าเป็นสถานปฏิบัติธรรมทั่วไป หรือจุดที่ให้ญาติของผู้วายชนม์มาทำความเคารพ ก็จะมีแยกโซนที่นักท่องเที่ยวเข้าไปได้ไม่ได้อย่างชัดเจน
ใช้เวลาเดินชมในจุดตรงนี้อย่างสงบ พุทธศาสนิกชนอย่างเราๆ ที่นานๆ ทีจะมีโอกาสเข้าวัดก็ต้องใช้โอกาสนี้ขอพรให้การเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวนี้ปลอดภัยด้วยครับ
ตรงทางออกก็จะมีเครื่องราง ซึ่งไม่ได้ทำการบ้านมาเลยขอผ่านไป ก่อนที่จะออกมาหากาแฟบ่ายกิน ในโพยของผมจะมีร้านกาแฟแฟรนไชส์ที่ชื่อ SeeSaw อยู่ใกล้ๆ แต่ก่อนจะไปตามทางแผนที่ ก็มาเจอสวนที่อยู่ตรงข้ามกับวัด ชื่อก็ตามชื่อวัดเลยครับ Jing’an Park ตรงนี้บรรยากาศก็ร่มรื่นๆ เหมาะที่จะมาพักผ่อนได้ดีเลย
Jing’an Park
ตรงทางเข้าสวนมีร้านกาแฟ อยากจะอุดหนุนกาแฟแบรนด์ท้องถิ่นซะหน่อย (เรื่องจริงๆ คือทนความหอมกาแฟร้านนี้ก่อนไปถึงอีกร้านไม่ได้ – -) เลยได้มาลองสั่งกาแฟเซี่ยงไฮ้แก้วแรกที่ร้าน BE STAR Coffee (比星咖啡 – bǐxīng kāfēi) ครับ
เมนูก็มีแต่ภาษาจีนครับ เรียนภาษาจีนมาก็จำแต่ประโยคเมนูกาแฟของตัวเอง “หนาเถี่ย (nátiě)” ที่แปลว่าลาเต้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในลายแทงตั้งแต่แรก แต่ก็พบว่ากาแฟที่นี่ ไม่เข้มจัดๆ เหมือนที่ไทย แล้วก็ไม่ได้จางเหมือนกับที่เกาหลี เป็นจุดบาลานซ์กันที่ดีเลย องค์ประกอบที่สำคัญของกาแฟลาเต้สำหรับเฟรมคือเรื่องนมด้วยครับ ดื่มแก้วเดียวก็พอจะเข้าใจว่านมที่แต่ละประเทศมีกลิ่น และรสชาติแตกต่างกัน อร่อยแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งสำหรับเฟรมกาแฟที่เซี่ยงไฮ้ให้ผ่านเลยครับ กาแฟจะไม่หวานเป็น base เหมือนกับของที่ไทยดังนั้นใครชอบหวานอาจจะต้องบอกขอเติมไซรัปเพิ่มเข้าไป แก้วนี้อยู่ที่ 24 หยวน หรือประมาณ 72 บาท
เดินต่อมาก็จะเป็นทางเข้าห้างที่ชื่อว่า Réel (ชื่อจีน 芮欧百货 – ruìōubǎihuò) ครับ ตรงนี้ชั้นบนก็จะเป็นช็อปปิ้งมอลล์ที่มีแบรนด์ต่างๆ มากมายเลย ส่วนชั้นล่างก็จะเป็นโซนฟู้ดคอร์ทที่มีร้านอาหารเยอะมาก และเหมาะมากที่จะมาฝากท้องที่นี่ แต่เฟรมกาแฟมาก่อนจริงๆ เมื่อสักครู่ที่ได้ลาเต้ไปแล้วหนึ่งแก้ว ก็จะมาต่อที่ร้านกาแฟของร้าน SeeSaw ที่อยู่ในห้างนี้ตามแพลน
เวลาเลือกกาแฟที่สั่ง เฟรมจะพยายามหาเมนูที่เป็น Signature ของร้าน ไม่ก็หาดื่มได้เฉพาะฤดูกาลครับ เลยมาเจอกับ Osmanthus Dirty (金桂Dirty) ที่ตอนสั่งก็ยังไม่รู้ว่า “Osmanthus” นี่มันคืออะไร (แต่ดูท่าจะเป็นของดี 555) เลยเลือกเมนูนี้มา แก้วละ 32 หยวน ซึ่งระหว่างดื่มไป ก็ได้มาทำการค้นหาและพบว่า Osmanthus หรือ 桂花 – guìhuā ก็คือ “ดอกหอมหมื่นลี้” ที่คนไทยรู้จักกัน และเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ ก็ว่าได้เลยครับ เพราะจากที่สังเกตเฟรมเห็นหลายเมนูเครื่องดื่มที่เป็นชา-กาแฟ จะมีส่วนผสมของดอกกุ้ยฮวา หรือหอมหมื่นลี้เป็นกิมมิคของร้าน จากการสืบค้นข้อมูลก็พบว่า ดอกหอมหมื่นลี้ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของฤดูกาลใบไม้ร่วงของที่จีนครับ แบรนด์ต่างๆ ที่จีนก็จะชอบใช้ดอกหอมหมื่นลี้มาเป็นไอเทมทางการตลาดเต็มไปหมด อารมณ์เหมือนฤดูใบไม้ผลิก็ต้องมีดอกซากุระ
เสร็จจากตรงนี้แล้วก็เดินทางต่อไปเลยครับ ตัวห้างมีจุดเชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าสาย 10 ไปลงที่สถานี Yuyuan Garden ได้เลย
สวน Yuyuan Garden
เมื่อมาถึงสถานี Yuyuan Garden ก็ให้เดินตามหาประตูทางออก 1 ครับ จุดตรงนี้เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และมีตลาดขนาดใหญ่ ไม่แปลกใจที่จะเห็นนักท่องเที่ยวมาที่ตรงนี้เยอะมากๆ ครับ เดินออกมาจะยังไม่ถึงสวนเลย และก็มาพบทีหลังว่าทางเข้าสวนมีหลากหลายทางมาก ต้องเกริ่นอย่างนี้ครับว่า สวนจะถูกล้อมไปด้วยตลาดที่ใหญ่กว่าสวนมากๆ ครับ
ใช้เวลาในการหาทางเข้าสวนอยู่นานพอสมควรเลย เนื่องจากไม่มีป้ายบอกเป็นภาษาอังกฤษ สุดท้ายก็มาเจอทางเข้าสวน ส่วนตรงนี้เรียกว่าเป็นสะพาน Jiuqu Bridge (九曲桥 – jiuqǔqiáo) ครับ
ก่อนจะเข้าไปที่สวน รอบๆ สวน เราจะเห็นสระน้ำประมาณนี้ก่อนครับ คนก็เยอะจริงๆ ในช่วงที่ไป อาจจะตรงกับวันหยุดยาวของที่นี่ด้วยครับ แต่ก็ไม่ได้เบียดอะไรมาก ไม่ถึงขั้นต้องจัดแถว เมื่อข้ามสะพานเข้าไปแล้ว จะมีจุดที่คนเริ่มต่อแถว และเห็นจุดจำหน่ายตั๋ว ตรงนี้ถึงจะเป็นบริเวณสวนที่เป็นไฮไลท์ของจริง
ในการเข้าไปส่วนตรงนี้จะต้องนำ ID Card หรือชาวต่างชาติใช้ Passport เพื่อลงทะเบียนเข้าไปด้วยครับ โดยจะมีค่าเข้าอยู่ที่ 40 หยวน
พอเข้ามาแล้วเราก็จะเห็นเป็นลักษณะเรือนหลายหลัง ที่ล้อมไปด้วยสวนต่างๆ ครับ อารมณ์เหมือนพรอพถ่ายหนังจีน ก็จะเห็นคนเข้ามานั่งพักบ้าง เดินดูชมจุดต่างๆ บ้าง จากรีวิวก็พบว่าเสียงแตกครับ มันอาจจะไม่ได้มีขนาดพื้นที่ใหญ่มาก หรือจุดสนใจใหญ่เทียบเท่ากับจุดอื่น ส่วนตัวเฟรมคิดว่าถ้ามีเวลาเยอะหน่อย เข้ามาด้านในก็ดีครับ แต่ถ้าเกิดเวลาไม่เยอะ รอบๆ ของสวน และตลาดที่อยู่ด้านนอกก็อาจจะกินเวลาช็อปปิ้งไปพอสมควร
จะว่าไปทั้งวันก็ไม่ได้กินอะไรเป็นกิจลักษณะเลย เดินมาจนสุดซอยของตลาด ก็มาเจอกับร้านขายเนื้อเสียบไม้ที่คนขายดูเสียงดังเรียกลูกค้า ลองเอากล้องเปิด Google Translate ดูก็พบว่าเป็นเนื้อเสียบไม้มีตั้งแต่ไก่ แกะ วัว และหมู ส่วนราคาก็จะต่างกันที่ไซส์ครับ วิธีการสั่งดูไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เราสแกน QR Code ที่แปะอยู่หน้าร้านด้วย WeChat กรอกเลขของราคาไม้ที่เราจะกิน และโชว์ให้เจ้าของร้าน เขาก็จะเอาไปอุ่นและคลุกกับผงซอสให้ รสชาติโอเคเลยครับ พอรองท้องได้ ก็ยืนกินตรงนั้น เผลอทำตกไปชิ้นนึงด้วย แต่ก็เห็นคนพาหมาตัวนึงมาเดินเล่นแถวนั้น รอจังหวะคนทำอาหารหกแล้วก็ให้น้องหมาจัดการต่อ
จากนั้นก็เดินย้อนกลับไปที่สถานี Yuyuan Garden จากนี้ก็ไกลเลยครับ เตรียมเดินทางไปต่อที่ Nanjing Road
Nanjing Road
ถนนช็อปปิ้งสุดใหญ่ตระการตาของเซี่ยงไฮ้อย่าง “Nanjing Road” หรือ “Nanjing Lu” นี้ ใครที่ตามหลายๆ รีวิวมา เขาจะบอกให้เรามาออกประตูทางออก 2 ของสถานี East Nanjing Road (南京东路) ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ในวันที่เดินทางมีประกาศแจ้งปิดประตูทางออก ซึ่งเขาก็มีประกาศเป็นภาษาจีนในแอป Amap ตอนเดินทางเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ จนสุดท้ายต้องวิ่งตามคนจีนออกมาก่อนที่จะถูกปิดประตู และมาโผล่ที่ประตูทางออก 4
เดินออกมาทางออก 4 ก็ยังเป็นถนนช็อปปิ้งใหญ่เช่นกัน แต่ก็ไม่รู้จะต้องไปทางไหน เพราะมันใหญ่สุดลูกหูลูกตามาก ผมเองที่ไม่ได้มีแผนมาช็อปปิ้ง หรือต้องแวะเข้าร้านใดร้านหนึ่งเป็นพิเศษ เลยเลือกเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าสู่ The Bund ที่เป็นสัญลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้อีกแห่ง
เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวของที่นี่ ไม่แปลกใจเลยว่าคนหลั่งไหลเข้ามาเยอะมากๆ เป็นเยอะระดับที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในชีวิตเลยก็ว่าได้ฮะ แต่มันเป็นเยอะที่ไม่แน่น ไม่เบียดเสียด การจัดการเขาดีมาก เขามีทหารมาคอยจัดแถว ไม่ยอมให้นักท่องเที่ยวข้ามไปอีกฝั่งเลย ถนนจะต้องเดินตามแนวไม่ย้ายเลน ก็เป็นภาพที่ไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตาเท่าไหร่ ตอนแรกก็นึกว่ามีพิธีสำคัญอะไรหรือเปล่า แต่ดูๆ แล้วจะเป็นวิธีการจัดระเบียบของคนที่นี่ล่ะครับ
มีแวะตามช็อปต่างๆ บ้าง ผมเองสนใจเรื่องเทคโนโลยีของจีนอยู่แล้ว Apple, Sumsung Shop เราไม่เข้า เราไปเข้า Huawei ซึ่งช่วงนี้ก็มีรุ่นใหม่ออกมาพอดี ก็พบว่าคนจีนให้ความสนใจไม่ต่างอะไรกับคนต่างชาติรุมเข้า Apple Store ด้านในมีอบรมให้ความรู้การถ่ายภาพ และได้เห็นสารพัดอุปกรณ์ไอทีจากค่ายนี้ที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างอุปกรณ์เล่นเกม, e-Book reader ฯลฯ
เดินเล่นไปสักพักและในที่สุดก็มาถึง The Bund หรือ Waitan ครับ ตรงนี้แม้ว่าจะเป็นมุมมหาชน แต่ก็มีหลากหลายโซนให้ถ่ายรูปได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้รูปสวยๆ สิ่งที่คิดว่าอยากให้ทุกคนพิจารณามาโซนนี้ในช่วงเวลาเย็นๆ สัก 4-5 โมงนั่นก็เพราะว่า เราจะได้เห็นทั้งช่วงสว่างและช่วงที่เป็นแสงสีของโซนตรงนี้ครับ ให้อารมณ์ยุโรปอย่างที่เขาล่ำลือมากันจริงๆ เราก็ได้แต่เสพบรรยากาศในโซนตรงนี้ไปสักพัก
เฟรมเข้ามานั่งพักผ่อนและรอให้ถึงเวลาให้แสงน้อยหน่อย เพื่อรอเวลาถ่ายภาพวิวกลางคืนที่ร้านกาแฟ Costa Coffee ก็เป็นแฟรนไชส์ของที่นี่อีกแบรนด์ แต่เนื่องจากปริมาณกาแฟที่จัดไป 2 แก้วในช่วงเช้า เลยตัดสินใจมาสั่งชาแทน เฟรมสั่งเป็นเมนู Fresh Coconut Oolong Tea เพื่อจะมาทดแทนสักหน่อย แต่ Coconut ที่นี่ แทบจะเป็นกะทิบ้านเราเลย แอบผิดหวังเล็กน้อยฮะ
มานั่งพักขาทีนี่แล้วก็ชาร์จแบตด้วยครับ เจอคุณป้าโต๊ะข้างๆ เห็นสายชาร์จเราเยอะ (ชาร์จได้หลายเครื่อง) ก็มาขอเราชาร์จไปด้วยสักพักหนึ่ง นั่งเพลินจนถึงตอนนั้นก็ประมาณ 6 โมงนิดๆ แล้วครับ พอฟ้าเริ่มมืดเราก็จะได้เห็นการตกแต่งไฟตามอาคาร รวมถึงแสงไฟจากฝั่งตรงข้ามจาก The Bund ทำให้เราสามารถได้เก็บมุมมองภาพยามค่ำคืนของโซนตรงนี้ได้สวยงามเลย
นั่งพักจนไปเก็บภาพอีกสักเล็กน้อย ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารมื้อค่ำ ที่เฟรมได้ลายแทงจากรุ่นน้องที่เคยมาเซี่ยงไฮ้ก่อนหน้า ที่บอกว่าต้องมาตำให้ได้กับเมนูกุ้งมินิอย่าง “เสี่ยวหลงเซีย” (小龙虾 – xiǎo lóngxiā)
ลองดูพิกัดก็พบว่าเป็นแฟรนไชส์ครับ เลยใช้ Amap ค้นหาชื่อร้าน “ฮู่เฉี่ยวผางหลงเซีย” (沪小胖龙虾 – hùxiǎopànglóngxiā) เพื่อหาสาขาที่ใกล้ๆ ก็มาเจอสาขาที่สถานี Jiangning Road Station (江宁路) สาย 13 ซึ่งเป็นสายเดียวกับทางกลับโรงแรมด้วย สบายเลย!
ระหว่างเดินทางไปสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้กับ The Bund เพื่อไปร้านอาหาร ก็ต้องเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี “Tiantong Road Station (天潼路)” ซึ่งใช้เวลาเดินไปประมาณ 20 นาทีน่าจะได้ แต่ระหว่างเส้นทางเดินทางมาสถานีรถไฟ ก็ทำให้เราได้พบกับมุมนี้โดยบังเอิญ มุมที่สวยมาก มุมที่มารู้ทีหลังจะเสียดายมากกกกก ขอให้ทุกท่านที่ทำการบ้านมาเที่ยวที่นี่ ได้โปรดมาผ่านสถานที่นี้ด้วยเถิด… ที่นี่คือ “อาคารที่ทำการไปรษณีย์ General Post Office Building” ครับ วิวกลางคืนสวยมากๆ แถมยังสามารถมอง The Bund จากไกลๆ ได้อีกด้วย
นั่งรถไฟจากสถานี Jiangning Road มาลงที่ Tiantong Road Station ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีครับ เดินออกประตู 3 ตามแผนที่มาก็ถึงร้านอาหาร
เข้ามาในร้าน ร้านดูมีที่นั่งเยอะเลยครับ เราบอกเขามาคนเดียว พนักงานก็ไม่ได้ดูสับสนหรือตกใจอะไร (ไม่เหมือนเกาหลี กินข้าวคนเดียวลำบากมาก) เข้าไปในร้านก็มีลูกค้าอยู่ 2-3 โต๊ะทานเสี่ยวหลงเซียกันเป็นหมู่คณะ เราที่ตั้งแต่เดินทางมาถึงจีนนี้ ก็เพิ่งจะมีโอกาสได้ลองสั่งอาหารผ่าน QR Code ในร้านอาหารแบบนี้ครั้งแรก มีความประหม่าระดับหนึ่งก็เข้าไปนั่งและพยายามจะถามหาเมนูภาษาอังกฤษ พนักงานทำหน้างงหนักกกว่าที่เราเห็นมากินคนเดียวอีก เริ่มพยายามใช้ภาษาจีนง่อยๆ พูดว่า “ช่ายตาน (เมนู)” พร้อมทำท่าประกอบ พนักงานก็พูดรัวกลับมาเลยพร้อมกับผายมือไปที่ QR Code บนโต๊ะ และมี Keyword สำคัญคือ “เว่ยชิน” หรือ WeChat … เท่านั้นแหละ ก็อ๋อ แล้วก็ลงมือสแกนอย่างตั้งใจ
เราเองที่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีปัญหาอะไรกับตอนสั่งหรือเปล่า เพราะตอนเช้าเข้าวัดยังไม่สามารถสแกนด้วย QR Code ได้ ก็กลัวจะมาติดปัญหาตรงนี้ แต่ไม่เลย เหมือนระบบจะพร้อมให้เราสั่ง รู้สึกดีตรงที่พอสั่งผ่านมือถือจะมีรูป และเราสามารถแคปหน้าจอและเปิด Google Translate โดยเฉพาะมือถือ Android ที่อาจจะใช้ Feature พวก Google Lens แปลข้อความดูว่าอะไรเป็นอะไร สุดท้ายแล้วก็ไม่พ้นเมนูที่รุ่นน้องแนะนำให้สั่ง “招牌香辣龙虾” ที่ภาษาอังกฤษใน Google แปลไว้ให้อย่างสวยงามว่า “Signature Spicy Lobster” ในราคา 118 หยวน ประเมินจากราคาก็คิดว่าน่าจะหมด (ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน) แต่เอาเป็นว่ามาลองลุ้นดูกันว่าจะมาในปริมาณไหน
ผมสั่งเมนู หอยเชลล์ย่าง (烤扇贝 – kǎoshànbèi) มาทานด้วย ตามคำแนะนำอีกเช่นกัน คู่ละ 36 หยวน อาหารรอไม่นานมากครับ
ทีนี้ก็เป็นเวลาที่รอมานาน บอกเลยว่ารสชาติอร่อยและเป็นหนึ่งในเมนูที่รู้สึกถูกใจมากเมนูในการเดินทางมาเที่ยวเลยก็ว่าได้ครับ อาจจะเป็นเพราะเป็นคนชอบกินหมาล่าเป็นทุนเดิม การทาน “เสี่ยวหลงเซีย” นี้ ก็เป็นการทานครั้งแรกด้วยครับ ไม่รู้วิธีกินเลย รู้แต่ว่าจะเลอะ แต่ก็ยอมเลอะ (ยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์…) มันก็เหมือนกุ้งที่แกะยากๆ แต่สุดท้ายเราจะเริ่มหาวิธีกินเป็นแบบของเราเอง เนื้อไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ผมว่ามันสนุกตอนกินนี่แหละ มีเปลือกหุ้มมันบ้าง กินไปกินมาปากชา ลิ้นชาเลย (แต่มันก็ไม่เผ็ดนะ)
ทานเสร็จหมดไป 187 หยวนครับ เฟรมใช้ AliPay จ่ายสแกนจ่ายกับร้านไม่มีปัญหา แต่จำได้ว่าตอนจ่ายเหมือนจะต้องรอรับเลข OTP จากธนาคารที่ไทย ทำให้มีจังหวะช็อตฟีลนิดๆ กับพนักงานร้าน แต่ก็ไม่มีปัญหาและออกมาจากร้านได้อย่างภาคภูมิใจ (ว่าในที่สุดก็สามารถทำภารกิจกินอาหารจีนในร้านอาหารคนเดียวได้แล้วโว้ยยยยย…)
ก็เป็นอันจบสิ้นการเดินทางในวันที่สองที่เซี่ยงไฮ้ของเฟรมครับ ในวันนี้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง และสร้างความคุ้นเคยกับการเดินทางไว้พอประมาณ ทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยครับ วันพรุ่งนี้จะมีอะไรอยู่ในทริปนี้ มารอติดตามไปพร้อมกันนะครับ ^^