สักครั้งกับประสบการณ์ชมโอลิมปิก PyeongChang Olympic

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปชมหนึ่งในงานกีฬาที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ที่ปีนี้มาจัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ครับ สำหรับการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว PyeongChang Olympic 2018 ซึ่งจัดที่เมือง พยองชัง (PyeongChang)

0
3037

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปชมหนึ่งในงานกีฬาที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ที่ปีนี้มาจัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ครับ สำหรับการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว PyeongChang Olympic 2018 ซึ่งจัดที่เมือง พยองชัง (PyeongChang) อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาหลีใต้ จังหวัดคังวอน (Gangwon-do) จังหวัดที่เต็มไปด้วยสกีรีสอร์ท เรียกว่าไม่จัดที่นี่ก็ไม่รู้จะไปจัดที่ไหนจริงๆ

โอลิมปิกฤดูหนาว ชื่อนี้อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูพวกเราสักเท่าไหร่ครับ แต่นอกจากโอลิมปิกฤดูหนาว ก็มีฤดูร้อนด้วยเช่นกัน โดยกีฬานี้จะจัดโดยโอลิมปิกสากลเหมือนกับโอลิมปิกใหญ่เลยโดยจะจัดทุกๆ 4 ปีครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว กีฬาที่จัดแข่งขันนั้นก็จะเป็นกีฬาที่เกี่ยวข้องกับน้ำแข็ง หิมะ เป็นธรรมดา หลายอย่างที่แปลกหูแปลกตา และไม่เคยได้ดูมาก่อน

เดินทางสู่สนามกีฬาโอลิมปิก

แต่ก่อนการเดินทางไปยังบริเวณที่จัดการแข่งกีฬาโอลิมปิก อย่างในเมืองพยองชัง (PyeongChang) หรือ เมืองคังนึง (Gangneung) นั้นจะต้องไปด้วยรถบัสหรือรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้นครับ เพราะเส้นทางรถไฟจากโซลตรงไปยังจังหวัดคังวอนโด หรือโซนที่จัดแข่งกีฬาโอลิมปิกนั้นยังไม่มี แต่ก็เพราะกีฬาโอลิมปิกนี้ล่ะครับ ที่เนรมิตเส้นทางตรงจากโซลสู่จังหวัดคังวอนโดขึ้นมา ทำให้การเดินทางสามารถทำได้อย่างสะดวกมากๆ และอย่างที่บอกว่า แม้กระทั่งกีฬาโอลิมปิกจบลง ทุกคนก็สามารถไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในจังหวัดคังวอนโด อย่าง เขาซอรัคซาน หรือทะเลตะวันออกของเกาหลีได้อย่างสบายๆ ผ่านรถไฟความเร็วสูง KTX ซึ่งเพิ่งจะเปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการก่อนโอลิมปิกเริ่ม 2 เดือน (ปลายปี 2560)

รถไฟความเร็วสูงสายพย็องชัง

เส้นทางการเดินรถไฟความเร็วสูง KTX สายพยองชังนี้ เริ่มตั้งแต่จากสนามบินอินชอนกันเลยทีเดียว หมายความว่าลงจากเครื่องปุ๊บ ใครที่อยากจะมาดูกีฬาโอลิมปิกก็สามารถลากกระเป๋านั่งรถไฟตรงมาได้เลย ผมอาศัยอยู่ที่โซลก็สามารถขึ้นรถไฟได้จากสถานี Seoul แต่ในช่วงกีฬาก็ต้องขอบอกว่าใครที่ไม่รีบจอง รถไฟก็อาจจะเต็มและอาจจะต้องได้นั่งรถไฟออกไปไกลจากตัวเมืองหน่อยครับ

และอย่างที่เกริ่น เนื่องจากว่ารถไฟที่นั่งตรงจากโซลไปยังสถานี Jinbu ซึ่งเป็นสถานีจัดการแข่งขันกีฬากลางแจ้งทั้งหลายนี้ เต็มเสียก่อน ผมเลยต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานี Sangbong เพื่อรอรถไฟอีกขบวนตรงไปที่สถานี Jinbu ครับ

บรรยากาศภายในสถานี Sangbong ป้ายตรงนี้จะบอกทางไปขึ้นรถไฟ KTX ครับ

ส่วนใหญ่เวลารถไฟของที่นี่ค่อนข้างเป๊ะครับ แนะนำว่าให้ไปที่บริเวณชานชาลาก่อนถึงเวลารถไฟออก 10-15 นาที เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ตรวจสอบหมายเลขขบวนและหมายเลขที่นั่งของเราให้ถูกต้องครับ โดยผมสรุปรายละเอียดที่ต้องสังเกตดังนี้ครับ

ผมซื้อตั๋วผ่านแอพของรถไฟเลยจะได้เป็นตั๋วอิเล็กทรอนิกส์เหมือนรูปด้านซ้าย แต่ตั๋วจริงก็จะแสดงข้อมูลคล้ายๆกัน คือต้องมีหมายเลขขบวนรถ ซึ่งจะสังเกตได้จากป้าย LED ข้างขบวน และสามารถสังเกตอีกทีเมื่อเข้ามาในขบวนแล้ว โดยจะเป็นตัวเลขอยู่ข้างจอมอนิเตอร์ เข้ามาก็หาที่นั่งได้เลยครับ

บรรยากาศในห้องผู้โดยสารแบบ Economy ครับ ราคาตั๋วจาก Sangbong ไป Jinbu อยู่ที่ 19,900 วอน

ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงนิดๆครับ ความเร็ว 2-3 ร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ถึงที่หมายอย่างสะดวกและรวดเร็ว เมื่อถึงแล้วก็จะเป็นทางลงไปยังอาคารโดยสารเลยครับ ซึ่งก็ค่อนข้างใหม่ (ก็แหงล่ะ เพิ่งจะสร้างเสร็จ) ตรงนี้ก็มีศูนย์ประชาสัมพันธ์ให้บริการนักท่องเที่ยวครับ ผมเองได้ศึกษาเส้นทางมาล่วงหน้าก็เลยเดินออกจากอาคาร และไปยังบริเวณจุดขึ้นรถชัตเติลบัสที่ให้บริการฟรีตลอดช่วงเทศกาล

หน้าสถานี Jinbu ก็จะได้เจอมาสคอตของกีฬาโอลิมปิกปีนี้

ข้างหน้าจะเป็นจุดจอดรถบัส ซึ่งเขาใช้ตัวย่อว่า “TS” ครับ มาจาก Transport Spectators โดยจะมีตัวเลขกำกับประจำป้ายเอาไว้ จะไปชมสนามกีฬาไหน เขาจะมีตัวเลขระบุไว้ครับ เช่น จะเดินทางจากสถานี Jinbu ไปยังสนามกีฬา Gangneung Olympic Park จะต้องนั่งสาย TS30 เป็นต้น

รถเป็นเหมือนรถทัวร์บ้านเราเลยครับ รถจะออกทุกๆ 10-15 นาที แล้วแต่คัน ก็จะเป็นบรรยากาศคนมาเดินรอต่อคิวนั่ง มีอาสาสมัครมาคอยให้บริการแบบไม่กลัวหนาวกันเลย อดทนจริงๆ เพราะวันที่ไปอากาศติดลบ 10 กว่าๆได้ ท่ามกลางลมที่แรง แต่ก็ไม่มีใครแสดงสีหน้าเสียให้เห็นเลย

คนที่มาชมก็ต้องรอต่อแถวกันตามระเบียบ รถเต็มไม่มีใครได้ไปต่อ ต้องรอคันต่อไป ก็ถือเป็นระเบียบที่เขาดูแลและรักษามาตรฐานความปลอดภัยเป็นอย่างดี

สนามกีฬา Gangneung Olympic Park

เดินทางจากสถานี Jinbu มาถึงบริเวณสนามใช้เวลาประมาณ 20 นาทีครับ รถพามาจอดในจุดจอดรถบัส ซึ่งห่างจากตัวสนามประมาณ 500 เมตร ต้องเดินเข้าไปนิดหน่อย ผมเดินทางมาที่สนามคังนึงโอลิมปิกปาร์คก็เพราะว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่จัดพิธีเปิดและพิธีปิดนั่นเอง และเท่าที่ศึกษาข้อมูลมา ที่นี่มีบูธจากผู้สนับสนุนกีฬาในครั้งนี้มาเปิด คิดว่าน่าจะไปเดินดูได้เพลินๆ

ตั๋วเข้าชมบริเวณสนามกีฬา 2,000 วอน (ประมาณ 60 บาท)

มาที่นี่ไม่ได้กะดูกีฬาอะไรเป็นพิเศษครับ เพราะเท่าที่สำรวจราคาบัตรเข้าชมกีฬาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว สำหรับช่วงเสาร์อาทิตย์ เลยตั้งใจมาดูแต่บริเวณรอบๆสนามกีฬา ซึ่งบัตรที่เข้าชมสนามกีฬาก็อยู่ที่ 2,000 วอนเท่านั้นครับ สามารถไปซื้อหน้า Ticket Box ได้เลย แต่ว่า!! เนื่องจากผู้สนับสนุนของกีฬาโอลิมปิกนี้เป็น VISA ในการชำระเงินนั้น จะต้องใช้บัตร VISA หรือเงินสดเท่านั้น! คนเกาหลีเองที่ไม่ได้เตรียมตัวไปดีๆ ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ทำให้เสียเวลา ต้องไล่หาเงินสดกันวุ่นวาย แม้สังคมที่นี่จะเป็นสังคมไร้เงินสด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบัตรจะเป็น VISA กันทุกคนนี่นา 🙁

ได้บัตรเข้ามาแล้วก็ต้องมาสแกนหาวัตถุต้องสงสัยกันล่ะครับ ขั้นตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากที่ทุกท่านอาจจะเคยเห็นในสนามบิน เรียกว่าวุ่นวายพอสมควร เครื่องดื่มและอาหารไม่สามารถนำเข้าได้ ต้องทิ้งอย่างเดียว ดังนั้นใครที่ตั้งใจจะไปชมกีฬาอะไร หรือสวนสนุกต่างๆ บางทีมันจะมีกฏระเบียบเล็กๆพวกนี้ ก็อยากให้ทุกคนเตรียมตัวไปกันให้ดีๆครับ

เข้ามาแล้วก็จะเห็นธงชาติเรียงราย.. ด้านหลังจะเป็นเวทีสำหรับมอบเหรียญประจำวันครับ ซึ่งเขาจะมีพิธีกันทุกๆเย็น

เดินเข้ามาก็จะเห็นบูทต่างๆมากมาย เรามาเริ่มจากบูทของ Samsung กันครับ ซึ่ง Samsung เป็นพาร์ทเนอร์ด้านไอทีของงานนี้ หลักๆก็เป็นการจัดแสดงนวัตกรรมของ Samsung มีทั้งบ้านอัจฉริยะ (Smart home), Smartphone ของ Samsung เรียกว่ามาจัดแสดงเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ของ Samsung กันเลย

ที่ชอบคือเขามีคบเพลิงให้ได้ถ่ายรูปเล่นๆด้วย ~

ไฮไลท์เด็ดของปีนี้คงหนีไม่พ้น Samsung Galaxy Note 8 : Olympic Edition เป็นสี Shiny white วิ้งวับ สวยงาม รุ่นพิเศษที่ทำออกมา 4,000+ เครื่องแจกให้กับนักกีฬาทุกคนเลยทีเดียว มาดูตัวเครื่องซะก่อน เรียกว่าสวยงาม ถ้าทำขายก็คงขายดีจริงๆ แต่ทว่า งานนี้ไม่มีทำขาย มีแต่เป็นเคสโทรศัพท์ขายแยกเฉยๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เดินออกมาก็มีเป็น Official Store ครับ รวมสินค้าอย่างเป็นทางการของการจัดกีฬาครั้งนี้ หลายๆอันก็น่าหิ้วกลับบ้านเหมือนกัน ตั้งแต่ตุ๊กตา นาฬิกา เสื้อผ้า … แต่เขาก็เปิดขายออนไลน์ด้วยนะ มี Online Store อยู่

มาถึงนี่แล้ว ต้องเดินขึ้นมาบริเวณอัฒจันทร์จะเห็นแท่นคบเพลิงครับ ก็ถ้ามาแล้วก็มาดูกันให้สุด..

หนาวได้ใจครับ วินาทีนั้นลมแรงมากๆ อยากจะเปลี่ยนสถานที่ ไปที่ที่อุ่นให้เร็วที่สุด … ผมเลยตั้งเป้าหมายว่า วันนี้ขอไปสำรวจสนามที่ใช้ในการแข่งขันอีกสักสนามครับ

ก่อนหน้าที่ที่เล่าให้ฟังว่าการหาตั๋วชมกีฬาช่วงใกล้เทศกาลนั้นหายากและราคาแพง เผอิญว่าโชคดีไปเจอกีฬานึงที่ตั๋วราคาไม่แพงครับ ตอนแรกบอกว่าเต็ม หลังๆมาเปิดให้ซื้อเพิ่ม เข้าใจว่าการจำหน่ายตั๋วตัวเลขมีการอัพเดตตลอดเวลา แม้ว่าจะใกล้เวลาแข่งเต็มทีก็เถอะ ยังพอสามารถหาตั๋วถูกๆไปชมกีฬาได้ ซึ่งตั๋วก็มีตั้งแต่ราคาหลักร้อย ไปจนถึงหลักพันเลยทีเดียว เสร็จจากนี้ผมเลยมุ่งหน้าไปต่อที่สนาม Alpensia Ski Resort ครับ

การเดินทางสามารถนั่งรถชัตเติลบัส (TS) เชื่อมจากสนาม Gangneung Olympic Park ได้เลย โดยจุดขึ้นรถจะอยู่ทางออกประตู 3 ของสนาม เดินตรงไปเรื่อยๆ + ถามเส้นทางจากอาสาสมัคร ก็จะพาเราไปขึ้นรถสาย TS7 เพื่อเดินทางไปยังสนามสกี Alpensia Ski Resort ครับ

ชม Cross Country ski ที่ Alpensia Ski Resort

เดินทางมาถึงที่ป้าย TS7 ครับ ก็พบว่าจุดจอดรถส่วนใหญ่ ไม่ได้ไปจอดใกล้สนามเลย ยังคงต้องเดินเข้าไปอีกหลายร้อยเมตร อาศัยเดินตามเขาไปครับ ตอนนั้นใครมีบัตรก็ต่อแถวเข้าได้เลย ผมก็อาศัยช่วงต่อแถวจองบัตรอย่างว่องไว ผ่านหน้าเว็บของผู้จัดงาน (และต้องชำระด้วยบัตร VISA ตามระเบียบ) ก่อนที่จะต้องเอาไปแลกตั๋วที่จุดขายตั๋ว จริงๆก็สามารถซื้อตั๋วได้จากจุดจำหน่ายตั๋วได้เช่นกัน แต่ก็ไม่ชัวร์ว่าจะได้ตั๋วหรือเปล่า แถมยังต้องเสียเวลาสนทนากันอีก แต่ถึงซื้อตั๋วออนไลน์มากันแล้ว ก็ยังต้องรอกันอีกอยู่ดีนั่นแหละครับ เพราะว่าคนเยอะมากๆ !

ฝูงชนกำลังเข้าแถวเพื่อเข้าชมกีฬา

ได้ตั๋วยืนมาในราคา 20,000 วอน หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 600 บาทครับ เป็นกีฬา Cross-Country Skiing ซึ่งไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับกีฬานี้เลยครับ 555  วินาทีนี้เน้นถูกและความแปลกใหม่อย่างเดียว

ได้ตั๋วมาแล้วก็ต้องไปสแกนวัตถุต้องสงสัยกันตามระเบียบครับ พร้อมกับเดินไปหลายร้อยเมตรเพื่อเข้าไปจุดจัดแข่งขัน ซึ่งอยู่ในตัวสกีรีสอร์ท

แถวเรียงยาวกันเป็นระเบียบมาก

เดินมาจนถึงจุดตั๋วยืนกันแล้วครับ เป็นลานกว้างๆหลายชั้น เรียกว่าเดินง่าย คล่องตัว กันเลยทีเดียวครับ

ก่อนเกมเริ่มประมาณหนึ่งชั่วโมงครับ ที่นั่งฝั่งตรงข้ามยังคงโล่งๆอยู่

ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นตั๋วนั่งครับ ความแตกต่างไม่ค่อยมีอะไร ยังคงต้องกลางแจ้งท้าลมหนาวเช่นกัน ตั๋วนั่งนี่อยู่ประมาณ 70,000 วอน (ประมาณ 2,100 บาท)

ตั้งใจมาดูบรรยากาศอย่างเดียว และอากาศที่เย็นยะเยือก ลมแรงมากขนาดอุณหภูมิ feel like ของวันนั้นคือ -20 องศา !! ผมอยู่ตรงนั้นได้ประมาณชั่วโมงก็ต้องขอบาย และออกมากลับมาที่จุดขึ้นรถบัสครับ ขอกลับไปตั้งหลักที่สถานี.. และถ้าคุณผู้อ่านสังเกตดีๆ ผมยังไม่ได้พูดถึงของกินที่เมืองนี้กันเลยยย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า “ผมยังไม่ได้กินอะไรทั้งวันเลยครับ” ก็เลยต้องขอกลับไปตั้งหลักที่สถานี Jinbu แบบด่วนๆ

เดินออกมาบริเวณจุดที่เขาเอาเรามาปล่อยนั่นล่ะครับ รอบนี้นั่งรถบัสสาย TS4 กลับไปที่สถานี

จากสนามถึงสถานีประมาณ 20 นาทีครับ

เลยกลับมาเดินสำรวจสถานีแบบละเอียด… ทุกอย่างดูประณีตหมดครับตั้งแต่

พิพิธภัณฑ์กีฬาโอลิมปิกแบบย่อมๆ สรุปการจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในเกาหลี
มาสคอตกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ ก็มีจุดให้ถ่ายรูปด้วยเต็มไปหมด

มีจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ เอาคนมาแต่งชุดฮันบกพร้อมถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวทั่วสถานีครับ

ห้องน้ำที่นี่เขาก็ทันสมัยนะครับ มีจอมอนิเตอร์บอกตั้งแต่ทางเข้าด้วยว่าห้องว่างหรือเปล่า! เดี๋ยวนะ!?!

แต่ทว่าสิ่งที่พอจะคาดเดาได้จากการที่สถานีเป็นอีกหนึ่งสถานีที่วุ่นวายเพราะรองรับนักกีฬาและผู้เข้าชมตลอดทั้งวัน สิ่งที่พอจะคาดเดาได้ไม่ยากก็คือ… “ของกินหมด” ครับ !! 

 

 

 

 

 

 

ก็ได้ไส้กรอกไมโครเวฟกับขนมกินเล่น พอให้หายหิว ประทังชีวิตไปชั่วคราว … พูดถึงร้านอาหารที่นี่ก็มีค่อนข้างเยอะนะครับ แต่ด้วยช่วงเทศกาลทุกอย่างก็ดูอัพราคา บวกกับได้ยินข่าวเกี่ยวกับไวรัสโนโรที่มาระบาดแถวๆนี้ ก็เลยทำให้ไม่กล้ากินอะไรที่นี่เลย U_U .. ไม่เป็นไรครับของกินอร่อยๆที่โซลยังรออยู่ เลยอดใจไว้รอกลับโซลแล้วค่อยว่ากันอีกที

บรรยากาศสถานี Jinbu ยามค่ำคืน ชานชาลาฝั่งขากลับโซล

กลับมาถึงโซลก็จัดไปเลยครับ ซุปข้าวต้มถั่วงอก… (콩나물국밥) ร้อนๆ ต้านภัยหนาวสุดๆของวันนี้ครับ

ความรู้สึกกับกีฬาโอลิมปิกในเกาหลี

ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ในกีฬาระดับโลกซึ่งมาจัดกันถึงที่เลย ก็ได้เห็นถึงความลงทุนของเกาหลีใต้สำหรับการจัดงานนี้ ตั้งแต่การลงเม็ดเงินสำหรับสิ่งก่อสร้าง ตั้งแต่สนามกีฬาใหม่, รถไฟความเร็วสูงเส้นทางใหม่ ตรงจากสนามบินอินชอนไปถึงสนามกีฬาจากสุดทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันตก ซึ่งถือเป็นการลงทุนใหญ่พอสมควร! ก็ถือว่าเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับกีฬานี้พอสมควร อีกเรื่องหนึ่งคงเป็นการที่เกาหลีใต้พยายามนำกีฬานี้เชื่อมความสัมพันธ์เกาหลีใต้-เกาหลีเหนือด้วย อันนี้จริงๆเป็นการเมืองที่ซ่อนอยู่เบาๆครับ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับบรรยากาศที่ไปเห็นมาเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นสีสันโดยภาพรวมของการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวรอบนี้ล่ะครับ

ก็เรียกว่าพอหอมปากหอมคอสำหรับบรรยากาศของกีฬาโอลิมปิกในเกาหลีใต้ ในตอนหน้าจะมีเรื่องอะไรมานำเสนอก็อย่าลืมติดตามบล็อกของเฟรมคุงตอนต่อๆไปกันด้วยนะครับ 🙂

 

ตอบ

Please enter your comment!
Please enter your name here

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.