สวัสดีครับ ห่างหายไปจากการเขียนอะไรลงบล็อกไปนานพอสมควร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมานี้ชีวิตไม่มีอะไรอัปเดตเลยฮะ เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวประเทศจีนครั้งแรก และด้วยความที่เป็นครั้งแรกนี่แหละ ก็ย่อมมีอะไรที่ไม่รู้มาก่อนเกี่ยวกับประเทศนี้เยอะ บวกกับเป็นการเดินทางคนเดียวด้วย จึงต้องมีการเตรียมพร้อมที่เยอะเป็นพิเศษ จึงคิดว่ามีข้อมูลอะไรหลายๆ ส่วนที่อยากจะมาแบ่งปันให้กับนักเดินทางที่เตรียมหาแพลนเที่ยวประเทศจีน โดยเฉพาะ ‘เซี่ยงไฮ้’ ที่เฟรมได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวในครั้งนี้ครับ
ประเทศจีน First time
การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นจากรัฐบาลเกาหลีประกาศวันหยุดเพิ่มขึ้นอีก 1 วันในช่วงเทศกาลชูซอก ซึ่งเป็นหนึ่งในช่วงเวลาวันหยุดยาวของที่นี่ และทุกๆ ปี ในช่วงเวลาหยุดยาวแบบนี้จะค้นพบว่าตัวเองไม่ค่อยได้ออกไปไหน นอนเล่น อยู่บ้าน ปุ๊บๆ ปั๊บๆ วันหยุดหายไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความรู้สึกเสียดายก็เลยวางแผนจะไปเที่ยวที่ไหนสักที่ เปิด Google Flight หาส่องตั๋วเครื่องบินราคาถูก ก็พบว่าจีนจริงๆ ก็ใกล้ แล้วก็ไม่แพง ผนวกกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีโอกาสได้นัดคุยกับรุ่นน้องคนไทยที่เกาหลีหลายคน ที่มีโอกาสได้เดินทางไปจีนมาก่อนหน้า ก็มาเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวให้ฟัง บอกว่านี่คือ “ยุโรปแห่งเอเชีย” เลย จากคำบอกเล่าเอย จากหน้าฟีดที่ตอนนั้นเต็มไปด้วย YouTuber ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเซี่ยงไฮ้เอย ก็เลยตัดสินใจจะไปเที่ยวจีนดูสักครั้ง จึงเป็นที่มาของ “ประเทศจีน First time” ของเฟรมครับ
ขึ้นชื่อว่าเดินทางท่องเที่ยวในประเทศจีน ก็มีอุปสรรคด่านแรกเลยคือเรื่องการทำวีซ่า สำหรับเฟรมยิ่งที่อยู่อาศัยในต่างแดน ก็ไม่รู้ว่าการทำวีซ่าเข้าประเทศจีนในเกาหลีจะยากแค่ไหน ก็ได้แต่กังวลจนมีรุ่นน้องมาบอกโพยให้ได้เตรียมตัว ก็พบว่าใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 1 สัปดาห์ และขั้นตอนเฟรมเชื่อว่าก็ไม่น่าจะต่างจากการดำเนินการจากที่ไทย
การเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางเที่ยวประเทศจีน
วีซ่าประเทศจีน
การดำเนินการวีซ่าเพื่อเข้าประเทศจีนสามารถดำเนินการด้วยตัวเองได้ครับ หลักๆ จะเป็นการเข้าไปกรอกรายละเอียดแบบฟอร์มในเว็บไซต์วีซ่าของประเทศจีน → จองคิวผ่านเว็บไซต์ → เข้าไปยื่นเอกสารที่ศูนย์วีซ่า ในเคสของเฟรมใช้เวลาประมาณ 3 วันทำการในการขอวีซ่าครับ เฟรมขอแยกเรื่อง [การขอวีซ่าประเทศจีนในประเทศเกาหลีใต้] ไว้ให้เป็นอีกหัวข้อหนึ่งเลย
อินเทอร์เน็ตประเทศจีน – ซิมโรมมิ่ง VS Pocket WiFi VS VPN แบบไหนดีกว่ากัน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สงสัยมาก และเลือกทำการบ้านเป็นต้นๆ ก่อนเดินทางไปเที่ยวเลยครับ เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศจีนจำกัด (บล็อค) การเข้าเว็บไซต์ต่างประเทศหลายเว็บ ซึ่งจะส่งผลให้สายโซเชียลที่ต้องอัปเดตชีวิตผ่าน Facebook, IG หรือรายงานสถานการณ์ทางบ้านผ่าน LINE หรือแม้แต่กระทั่งการหาข้อมูลเส้นทาง-หาข้อมูลแปลภาษาผ่านบริการของ Google Maps, Google Translate ก็จะถูกบล็อกหมด หากเชื่อมต่อสัญญานอินเทอร์เน็ตจากประเทศจีน แต่หากเราเปิดการใช้งานโรมมิ่ง หรือซื้อแพ็กเพจโรมมิ่งเฉพาะมา ก็จะสามารถใช้งานบริการต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ได้ตามปกติ โดยความเร็วในการเชื่อมต่อก็ถือว่าไม่แย่เลยครับ
ตลอดทั้งทริปของเฟรม ถ้าเป็นการใช้งานอุปกรณ์มือถือ ส่วนใหญ่ใช้โรมมิ่งจากซิม, อุปกรณ์ Tablet และ Laptop จะใช้ Pocket WiFi, ในส่วนโรงแรมมี WiFi ให้บริการ พยายามลองใช้ VPN ในการเชื่อมต่อ จะพบว่าต่อได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และพอใช้แก้ขัดประหยัด Data อินเทอร์เน็ตได้บ้างครับ แต่จังหวะที่หลุดบ่อยๆ ก็จะเสียอารมณ์เลยทำให้สุดท้ายต้องกลับมาใช้ Pocket WiFi แชร์อินเทอร์เน็ตให้ Laptop อีกที จึงจะทำให้การใช้งานไม่ว่าจะทำงาน หรือติดต่อสื่อสาร วิดีโอคอลผ่าน LINE กลับบ้านสามารถทำได้ไม่สะดุดหน่อย
เลยลองสรุปการใช้งานมาตามรายละเอียดในตารางนี้ จากประสบการณ์ที่ได้ลองใช้หลากหลายรูปแบบครับ อินเทอร์เน็ตมีความจำเป็นในการเที่ยวของเฟรมที่เซี่ยงไฮ้มาก เพราะจำเป็นต้องใช้ในการใช้จ่ายผ่าน Alipay, WeChat รวมถึงหาข้อมูลเดินทางด้วย
ประเภท | ราคา | ข้อดี-ข้อเสีย |
1. Roaming Sim (ซิมโรมมิ่งเล่นอินเทอร์เน็ตต่างประเทศ) ทดลองใช้ของ GOMO |
427 บาท – แพ็กเกจ Asia Australia 7GB |
ข้อดี: เร็วที่สุด, ใช้งานสะดวก เล่นโซเชียลเปิดแผนที่ไม่ติดปัญหาอะไร ข้อเสีย: แพ็กเกจอาจจะแพง ถ้า Backup รูปเยอะ หรือใช้งาน Data หนักไม่คุ้ม |
2. Pocket Wifi ทดลองใช้ของ 와이파이 도시락 (บริษัทให้เช่าอินเทอร์เน็ตพกพาในเกาหลีใต้) |
40,000 วอน (1,080 บาท/ 5 วัน) – แพ็กเกจ 3GB/วัน x เช่า 5 วัน |
ข้อดี: ราคาถูก, สะดวก-แชร์เน็ตให้อุปกรณ์อื่นได้, มีแพ็กเกจแบบเน็ตไม่อั้น (ราคาประมาณ 12,900 วอน/วัน (350 บาท), ใช้โซเชียลปกติได้ ข้อเสีย: ใช้หลายเครื่องแบตอาจจะหมดเร็ว, เน็ตเร็วระดับ 4G (ใช้หลายอุปกรณ์อาจช้าได้) |
3. VPN ทดลองใช้ของ BullVPN |
179 บาท/เดือน | ข้อดี: กรณีที่พักมีอินเทอร์เน็ต ใช้เน็ตโรงแรมอาจเป็นตัวเลือกที่ดี ข้อเสีย: หลุดบ่อย ช้า ไม่ค่อยเสถียร (ขี้นอยู่กับสภาพอินเทอร์เน็ตโรงแรมด้วย) |
แอปที่ควรมีติดเครื่องสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจีน
- แอปสามัญประจำทริป
WeChat (บังคับโหลด) – ต้องวงเล็บเลยว่า บังคับโหลด เพราะคุณจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่มีแอปนี้ขณะอยู่ในประเทศจีน (เว้นแต่ว่าซื้อทัวร์ไปแล้วเที่ยวตามทัวร์อย่างเดียว) เพราะเป็นซูเปอร์แอปที่มีฟังก์ชั่นตั้งแต่การเป็นแอปแชท, ชำระเงิน, สแกน QR Code เพื่อเชื่อมไปยังเพจ (หรือในนี้จะชอบเรียกว่าเป็นมินิโปรแกรม) เฉพาะสำหรับการสั่งอาหาร เลยจะต้องยกให้แอปนี้เป็นแอปจำเป็นอันดับ 1 เลยครับ คนจีนจะเรียกว่า “เว่ยซิ่น (微信 – wēixìn)”, การสมัครเฟรมพบว่ามีความท้าทายประมาณหนึ่ง จะต้องลงทะเบียนโดยใช้เบอร์โทร และมีขั้นตอนในส่วนการยืนยันตัวบุคคลเพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นการชำระเงิน (Payment) เพื่อเชื่อมต่อกับบัตรเครดิต ในส่วนขั้นตอนการสมัครดูไม่มีขั้นตอนอะไรมาก แต่การเปิดใช้บัญชี อาจจะต้องให้คนที่เคยลงทะเบียนสำเร็จแล้วยืนยันการเปิดบัญชีให้ ค่อนข้างยุ่งยากประมาณหนึ่งเลยครับตัวอย่างตำแหน่งของ QR Code ที่เรามักจะพบเห็นตามจุดต่างๆ เช่น บนโต๊ะอาหาร (กรณีที่ร้านให้ดูรายการอาหารและสั่งผ่าน QR Code), ป้ายเมนู (อันนี้อารมณ์เหมือนพร้อมเพย์บ้านเราที่ผู้ใช้งานต้องกรอกจำนวนเงินเอง), ป้ายหน้าร้าน (ร้านไหนที่คนเยอะๆ อาจจะมีป้ายให้สั่งอาหารแต่ไกลๆ เช่น ร้านขายชา, อาหารเสียบไม้) ซึ่งเราก็จะใช้แอปอย่าง WeChat หรือ Alipay สแกนเพื่อดำเนินการต่อได้ครับ (ใช้โหมดกล้องของเครื่องเปิด QR Code ไม่ได้)Alipay – เป็นแอปที่มีฟังก์ชั่นหลักๆ 2 อย่าง 1. ชำระเงิน 2. ระบบบัตรโดยสาร (ขึ้นรถบัส/รถไฟใต้ดิน) Alipay คนจีนจะเรียก “จือฟู่เป่า” (支付宝 – zhīfùbǎo) หรือประสบการณ์ส่วนตัวแค่แสดงสัญลักษณ์แล้วพูดว่า อาลีเพย์ ก็จะพอเข้าใจแล้วครับ
True Money Wallet – เอาไปเป็นช่องทางสำรองในการชำระเงินจริงๆ ครับ เพราะเฟรมจะใช้ของบริการที่คล้ายกันของฝั่งเกาหลี คือ Kakao Pay เป็นหลัก แต่ทั้งนี้ด้วยความสงสัยก็มีลองจ่ายด้วย True Money Wallet ด้วยเช่นกัน และพบว่าแทบจะทำหน้าที่เดียวกับ Alipay เลยครับ เพราะเข้าเป็น Partner กัน ซึ่งเฟรมลองเอาไปใช้ในตอนไปจ่ายเงินที่ Starbucks ได้เรทอยู่ที่ (1 CNY = 5.096) ซึ่งเทียบกับบัตรเครดิตที่ใช้อยู่เรท ณ วันนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 5.15 บาทประสบการณ์การชำะระเงินของที่นี่ หลังจากที่เฟรมได้เชื่อมบัตรเครดิตของไทยไว้ทั้ง 2 แอป การใช้งานก็จะพบว่ามีบางครั้งที่จ่ายด้วย WeChat ไม่ได้บ้าง ก็จะเปลี่ยนมาจ่ายด้วย Alipay สลับกันไปมาครับ เข้าใจว่าขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละร้านค้า จะมีขึ้นหน้ามาให้ยืนยัน OTP จากธนาคารตอนชำระเงินบ้างเป็นบางช่วง ก็ต้องให้มั่นใจว่าโทรศัพท์สามารถรับ OTP จากเมืองไทยได้ด้วยเพื่อไม่ให้ติดขัดในการชำระเงินครับ
เวลาที่ใช้แอปอื่นๆ ชำระเงินที่ไม่ใช่ WeChat หรือ Alipay พนักงานร้านค้าจะทำหน้างงๆ มีเกาหัวกันนิดหน่อยล่ะครับ ว่ามันคือแอปอะไร เพราะถ้าครั้งแรกเราสแกนไม่ติด ไม่ผ่าน เขาจะพยายามบอกให้เราไปเข้าแอป Alipay แทน
- แอปนำทาง
Amap – เป็นแอปแผนที่ ที่ส่วนตัวใช้บ่อยกว่าอีกค่าย Beidu Map อาจจะด้วย Interface ที่เข้าใจง่ายกว่า จะมีข้อมูลรีวิวร้านค้า มีรูปภาพประกอบ แต่ทั้งหมดก็อยู่ในพื้นฐานว่าเป็นภาษาจีนทั้งหมด ซึ่งเฟรมไม่ได้ภาษาจีนก็จะต้องอาศัยแคปรูปภาพแล้วเอาไปเปิดในแอปแปลภาษาอย่าง Google Translate ต่อไป แต่โดยพื้นฐานจะช่วยวางแผนเส้นทางการเดินทางว่าจะต้องไปขึ้นรถไฟสายไหน ลงที่ไหนแบบคร่าวๆ ได้ครับExplore Shanghai – เป็นแอปแสดงเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินเซี่ยงไฮ้เป็นภาษาอังกฤษ เอาไว้วางแผนเส้นทางอีกที พอเป็นภาษาอังกฤษก็ดูง่าย มีทั้งเป็นแอปและดูผ่านเว็บไซต์ได้
- แอปหาข้อมูลท่องเที่ยว
Dianping – “ต้าจ้งเตี่ยนผิง” หรือสั้นๆ “เตี่ยนผิง” (大众点评 – dàzhòng diǎnpíng) แอปนี้จะเป็นกึ่งๆ เหมือน Social Network ของจีน แนวๆ Lemon8 ที่มีข้อมูลอาหารและแหล่งท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ไว้เป็นแนวทางในการสแกนหาอาหารหน้าตาหน้ากิน หรือกิจกรรมพิเศษๆ ที่จัดขึ้นเฉพาะช่วง ความดีงามอีกอย่างก็คือ ในโพสต์จะมีแปะพิกัดของร้านไว้ด้วย ทำให้เราสามารถเอาชื่อ-สาขาของร้าน มาค้นต่อในแอปอื่นๆ ได้
การลงทะเบียนสุขภาพก่อนเข้าประเทศจีน
ในช่วงที่เดินทางยังเป็นช่วงที่มีการคัดกรองสุขภาพล่วงหน้า แต่ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป ทราบว่าในขั้นตอนส่วนนี้ไม่จำเป็นต้องทำแล้วครับ (ยกเว้นผู้ที่มีปัญหาสุขภาพก่อนเดินทาง) QR Code สามารถกรอกผ่านทางเว็บไซต์นี้ได้
การทำลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวไว้ก่อนล่วงหน้า
เรื่องนี้จะช่วยให้การเดินทางง่ายขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่สันทัดภาษาจีนครับ ให้คิดเล่นๆ ก็ได้ครับว่าเราไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในแอปแผนที่ได้เลย ดังนั้นก็ชัดเจนแล้วครับว่าควรจะต้องมีคลังภาษาจีนไว้ติดตัว เฟรมใช้วิธีการทำการบ้านชื่อสถานที่สำคัญต่างๆ โดยเฉพาะพิกัดสถานที่ท่องเที่ยวที่จะไปไว้เป็นภาษาจีน อาจจะจดใส่แอป Notes ไว้ แล้วถึงเวลาเมื่อต้องการไป ก็คัดลอกแล้วนำไปวางให้สร้างเส้นทางการเดินทางจากจุดที่อยู่ เป็นต้น
การแลกเงิน
ช่วงที่ศึกษาหาข้อมูลมาพบว่าส่วนใหญ่ร้านค้ารับชำระผ่าน QR Code เยอะมากครับ และประสบการณ์ส่วนตัวหลังจากไปเที่ยวมาตลอด 5 วัน 4 คืนนั้น การชำระเงินจะเป็น QR Code ผ่านแอป Alipay, WeChat, Kakao Pay, TrueMoney ไม่พ้นทั้งหมดที่พูดถึงขึ้นก่อนหน้า เงินสดจำไม่ได้เลยว่าได้ใช้ตอนไหนแต่ก็คิดว่าควรมีต้องแลกไว้กรณีที่ฉุกเฉิน มือถือไม่ทำงาน เชื่อมต่ออะไรไม่ได้ก็ควรที่จะมีเงินสดไว้ครับ ซึ่งเฟรมได้ทำการแลกติดตัวไว้เล็กน้อยผ่านตู้แลกเงินก่อนเดินทาง
Day 1 – ออกเดินทางจากสนามบิน Gimpo International Airport → Hongqiao International Airport
สนามบินที่เซี่ยงไฮ้จะมี 2 แห่งใหญ่ๆ ครับ ให้ความรู้สึกเหมือนสุวรรณภูมิกับดอนเมืองบ้านเราเลย เฟรมนั่งจากสนามบินคิมโพ (Gimpo) ซึ่งก็เหมือนสนามบินดอนเมืองเกาหลี ไปลงดอนเมืองเซี่ยงไฮ้ (พยายามจะเปรียบเทียบ 555) ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ได้ลองนั่งเที่ยวบินต่างประเทศจากสนามบินที่นี่เช่นกัน
Gimpo Internatioal Airport สำหรับเฟรมคิมโพเป็นเหมือนสนามบินที่ได้รับความนิยมสำหรับเที่ยวบินในประเทศ เวลาไปเมืองปูซาน เจจู อะไรเสียมากกว่า แต่ถ้าเป็นไฟลท์ต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นใกล้ๆ อย่างญี่ปุ่น ไต้หวัน และมีไม่กี่สายการบินครับ ความสะดวกในการเดินทางจากคิมโพ และการไปลงที่ หงเฉียว เซี่ยงไฮ้ นี้ เฟรมคิดว่ามีความสะดวกในเรื่องการเดินทาง เนื่องจากใกล้เมืองทั้งคู่เลย
เฟรมนั่งสายการบิน China Eastern ที่เขาโคกับ Shanghai Airline ครับ ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชม. 20 นาที เที่ยวบินเป็นที่นั่งแบบ 3-3-3 แถว มีสื่อ Entertainment บนเครื่อง มีอาหารบนที่เป็นเหมือนกับข้าวอย่างละนิดหน่อย รสชาติพอทานได้ครับ แต่จำได้ว่าไก่จะเป็นไก่ผัดพริกได้กลิ่นหมาล่าด้วย เรียกว่าเปิดเมนูเผ็ดให้ทานกันตั้งแต่บนเครื่องเลย
จุดตรวจคนเข้าเมืองสนามบินหงเฉียว เซี่ยงไฮ้
พอมาถึงแล้ว จะมีจุดคัดกรองสุขภาพก่อนเลยครับ จะเห็นชัดเจนเลยคนที่ไม่ได้กรอกมาล่วงหน้าจะต้องมาวิ่งหากรอกข้อมูล ส่วนคนที่กรอกมาแล้วสแกน QR Code แล้วมองกล้องเดินผ่านไปได้เลย พอผ่านจุดนี้มาแล้ว สิ่งที่ไม่รู้มาก่อนล่วงหน้าคือจะต้องกรอกใบเข้าเมือง (Arrival Card) ด้วย เลยต้องรีบไปหาใบกรอกแถวนั้น (ไม่ได้แจกตั้งแต่อยู่บนเครื่อง) และกรอกข้อมูลซึ่งจะประกอบด้วยข้อมูลส่วนตัวสำคัญ, เที่ยวบินที่เดินทางมา, วันที่เดินทางกลับ, วัตถุประสงค์ของการเดินทาง และที่อยู่ที่พำนักในประเทศจีนไม่ต่างจากฟอร์มเข้าเมืองของประเทศอื่นๆ
ตม.ที่นี่ค่อนข้างเข้มงวดประมาณหนึ่งครับ แต่สำหรับเฟรมที่เป็นคนไทย เดินทางมาจากประเทศที่ไม่ใช่ประเทศภูมิลำเนา (มาจากเกาหลี) แถมเดินทางคนเดียว ก็จะต้องมีบทสนทนาเยอะหน่อยเป็นธรรมดา ก็มีการถามย้ำครับว่า วัตถุประสงค์ของเรามาทำอะไร ซึ่งเราก็บอกว่ามา “ท่องเที่ยว” ระยะเวลาเท่าไหร่ “5 วัน 4 คืน” ทางตม. ก็มีการเช็กเอกสารการกรอกว่ากรอกมาตรงตามที่แจ้งใน Arrival Card หรือไม่ รวมถึงเฟรมเข้าใจว่าน่าจะตรวจเช็กจากข้อมูล Visa ที่มีการสมัครเข้าไปด้วยว่าตรงกันหรือเปล่า และย้ำอีกทีว่าเรามาเที่ยวคนเดียว ไม่ได้มีผู้ติดตาม หรือมาเจอเพื่อนที่นี่ใช่ไหม ซึ่งเราก็ตอบไปตามนั้นครับ เข้าใจว่าต้องพยายามแจ้งข้อมูลให้ตรงกับตามที่เขียนไว้ใน Arrival card และที่แจ้งไว้ในตอนสมัครวีซ่านั้นสำคัญที่สุด
สนามบินหงเฉียวยามค่ำคืน เรียกว่าเงียบสงบเลยครับ ไม่มีร้านค้าเปิดอะไรมากมายให้ช็อปปิ้งทันทีที่ถึง จากสนามบินที่เฟรมมาลงจะเป็นอาคารโดยสาร Terminal 1 ซึ่งจะต้องเดินออกประตู และเดินไปอีกประมาณ 5 นาที ถึงจะเป็นทางไปสถานีรถไฟใต้ดินสาย 10 สถานี Hongqiao Airport Terminal 1
การซื้อตั๋วโดยสารและการนั่งรถไฟใต้ดินในเซี่ยงไฮ้
การซื้อตั๋วโดยสาร จะมีตู้ Kiosk จำหน่ายตั๋วโดยสาร มีภาษาอังกฤษให้เราเลือกสถานีปลายทางเพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายในการเดินทางครับ การชำระเงินเพื่อซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียว (Single Journey Ticket) นี้ สามารถใช้วิธีการสแกนจ่ายผ่าน QR Code ของ WeChat, Alipay ได้ หรือจ่ายด้วยเงินสด โดยเครื่องจะออกเป็นบัตรโดยสารมาให้ครับ
แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าการซื้อตั๋ว Single Journey ก็เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย เพราะส่วนใหญ่แล้ว เฟรมจะใช้ผ่านแอป Alipay ทั้งหมดเลย พอเราได้ทำการเชื่อมบัตรเครดิตเข้ากับแอป Alipay และเปิดการใช้งานฟังก์ชั่นบัตรโดยสาร (Transport) ทำให้เราสามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้เลยโดยการสแกน QR Code ที่จะมีตัวสแกนอยู่หน้าประตูทางเข้าครับ ตอนออกจากชานชาลาก็สแกนกลับไปที่เดิม ก็จะมีการเรียกเก็บค่าโดยสารตามมาทีหลัง (จะไม่หักทันที)
ทุกครั้งที่เราเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน จะต้องมีการสแกนสัมภาระครับ อันนี้ก็ตรวจจริงจัง เพราะทุกจุดเขาจะมีเครื่องสแกนเหมือนกับในสนามบิน ก็จะต้องให้ความร่วมมือเตรียมกระเป๋าวางไว้ในเครื่องสแกน
รีวิวที่พัก โรงแรม Holiday Inn Express Shanghai Jinsha
เลือกจองที่พักผ่าน Agoda ครับ [ลิงก์ข้อมูลโรงแรมใน Agoda] วิธีการเลือกโรงแรมเฟรมมี 3 เงื่อนไขหลักๆ คือ 1. เป็นโรงแรมที่มีสาขาในต่างประเทศ เครือที่น่าเชื่อถือหน่อย เพื่อความสบายใจเรื่องมาตรฐานในบริการ 2. ราคาสมเหตุสมผล 3. ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า นอกจากนี้ก็ไม่ได้ทำการบ้านอะไรเป็นพิเศษครับ ว่าจะอยู่ใกล้-ไกล ที่ท่องเที่ยวขนาดไหน
ห้องพักที่จองเป็นแบบ Standard Queen Room เตียงใหญ่ 1 เตียง ตกคืนละประมาณ 2,400 บาท สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องครบครันเลยครับ มีเตารีดและฐานรองเตารีดให้ด้วย
ส่วนตัวคิดว่าห้องพักมาตรฐานครับ อุปกรณ์ภายในห้องอาจจะไม่ได้ดูใหม่มาก ห้องค่อนข้างร้อน (เหมือนกับเคยได้ยินใครบอกว่าที่จีนแอร์จะไม่ได้เย็นเหมือนบ้านเรา) แต่ก็ยังมีพัดลมเตรียมไว้ให้แยกต่างหาก สำหรับเฟรมคิดว่าโอเคสำหรับการท่องเที่ยวคนเดียว
ที่นี่มีบริการอาหารเช้าพ่วงมาด้วยสามารถลงมาทานได้ตั้งแต่ 07:00 – 09:00 น. อาหารค่อนข้างหลากหลายและได้มาตรฐาน เลยคิดว่าจะสะดวกมากๆ หากต้องเดินทางมากับครอบครัว เพราะจะตัดเรื่องมื้อเช้าไปได้แล้วอย่างน้อยหนึ่งมื้อครับ (อาหารรสชาติกลางๆ แต่หลากหลายดี)
จุดสะดวกอีกอย่างคือโรงแรมใกล้กับศูนย์การค้าขนาดย่อมๆ แถวโรงแรมมีร้านกาแฟท้องถิ่นอย่าง Manner Coffee หรือแม้แต่ Starbucks Reserved, Tim Horton’s อยู่ครับ ยังมีซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นอย่าง “เหอหม่าเชียนเชิง”(盒马鲜生) และร้านอาหารญี่ปุ่น Sukiya อยู่แถวๆ นี้ด้วย แต่จะปิดเร็วหน่อยสัก 3-4 ทุ่มก็น่าจะปิดแล้ว ถ้าเกิดดึกกว่านั้นอาจจะต้องมาฝากท้องกับร้าน Family Mart ที่อยู่แถวๆ นี้
เนื่องจากไฟลท์ถึงสนามบินประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ใช้เวลากับตม. ไปประมาณ 40 นาที กว่าจะถึงที่พักก็ประมาณ 4 ทุ่มเลยครับ ร้านค้าที่อยู่ใกล้กับโรงแรมส่วนใหญ่ก็ปิดกันหมดแล้ว เลยต้องมาฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อ “Family Mart” ที่อยู่ไม่ใกล้จากที่พัก (เดินประมาณ 8 นาที) เดินสำรวจของกินที่นี่ไปพลางๆ ครับ สนุกทุกครั้งที่ได้เดินดูรอบๆ ร้านสะดวกซื้อ มีขนมหน้าตาแปลกๆ อยู่เยอะพอสมควร
เวลาซื้อของที่นี่ จะไม่แจกถุงพลาสติกให้ จะต้องมีซื้อกระเป๋าผ้า ซึ่งพนักงานจะถามเราครับว่า เราต้องการถุงหรือเปล่า? อาจจะฟัง Keyword คำว่า “ไต้จึ” (袋子 – dàizi) ที่แปลว่า ถุง ไว้ก็ดีครับ หรือบอกไปเนิ่นๆ เลยว่าเอาหรือไม่เอา การจ่ายเงินที่ร้านสะดวกซื้อสามารถใช้ Alipay สแกนจ่ายได้ไม่มีปัญหาครับ
ถุงส่วนใหญ่จะเป็นถุงเหมือนถุงผ้าบางๆ หน้าตาเหมือนในรูปด้านบนครับ เมนูมื้อดึกเป็นสปาเกตตี้ และหัวหมูตุ๋นเผ็ด (จากการแปลผ่าน Google Translate) ที่ไม่รู้ว่าปกติอาหารแบบนี้คนจีนเขากินกับอะไร แต่เราเอามากินเป็นเหมือนเครื่องเคียงกันกินไม่อิ่มแทน และสารพัด นม ขนม ชา ที่รู้สึกว่าอาหารที่นี่ก็โอเคใช้ได้เลยครับ
มารอติดตามกันต่อไปครับว่าการเดินทางเข้าเมืองในบล็อกตอนต่อไปนี้ของเฟรมจะเป็นยังไงบ้าง เป็นว่าจบบันทึกสำหรับการเดินทางในวันแรกด้วยครับ 🙂