ประเดิมทริปเที่ยวญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี มีกิจกรรมอย่างหนึ่งครับที่เฟรมอยากลองทำในช่วงหน้าหนาว นั่นก็คือการแช่น้ำพุร้อนที่ประเทศญี่ปุ่น ก็หวังว่าจะได้ผ่อนคลายร่างกายหลังจากที่ต้องแบกรับความหนาวมากันตลอดช่วงต้นหนาว หนาวนี้เลยมาที่เมือง “ฟุกุโอกะ (Fukuoka)” ซึ่งอยู่บนเกาะคิวชู (Kyushu) ตอนใต้ของญี่ปุ่นครับ
จากประสบการณ์ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ผมมองว่าฟุกุโอกะก็ไม่ได้ท่องเที่ยวยากหรือง่ายเกินไปสำหรับการท่องเที่ยวด้วยตนเอง อาจจะเป็นเพราะมีสายรถไฟใหญ่ ๆ เชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ความซับซ้อนอาจจะมีตรงเรื่องพาสที่อาจจะต้องทำการบ้านไปล่วงหน้า และเรื่องรถบัสที่บางช่วงจำเป็นต้องนั่ง
วันที่เดินทาง : 4-8 กุมภาพันธ์ 2562
สภาพอากาศ : เย็นระดับสิบองศา มีฝนปรอย ๆ (เดินทาง 5 วัน มีฝนตก 1 วัน)
เมืองที่เดินทาง : ฮากาตะ (Hakata), ยูฟุอิน (Yufuin), เบปปุ (Beppu)
อินเทอร์เน็ต : ใช้ Pocket Wifi ที่จองผ่านเว็บไซต์ของเกาหลีและ Sim2Fly ของ AIS พบว่าการใช้งานทั้งสองไม่มีปัญหา แต่ Pocket Wifi รู้สึกว่าจะเร็วกว่าและสะดวกเมื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างพร้อมกัน
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
พอรู้ว่าทริปนี้จะไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวแค่ในตัวเมืองอย่างเดียว แต่มีเดินทางออกมาเที่ยวในต่างจังหวัดด้วย เลยจำเป็นต้องวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่การคำนวณค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประเมินความคุ้มค่าว่าเหมาะกับการจองตั๋วรถไฟแบบพาส (Pass) ล่วงหน้าหรือเปล่า เพราะ Pass หรือตั๋วรถไฟที่เราสามารถนั่งได้หลาย ๆ รอบนี้ ก็มีราคาสูงขึ้นมาหน่อยหากเราเดินทางด้วยรถไฟไม่เยอะ การซื้อตั๋วโดยสารแยกอาจจะถูกกว่า วางแผนไปวางแผนมาพบว่าพาสคุ้มกว่าเมื่อคำนวณจากค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ทั้งหมด 3 วัน
เดินทางจากฟุกุโอกะไปยูฟุอิน
การเดินทางระหว่าง Fukuoka (Hakata) ไปยังเมืองน้ำพุร้อนอย่าง Yufuin ก็ดี หรือ Beppu ก็ดี หากนั่งรถไฟไปก็จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 4,560 เยน (ตั๋วแบบจองที่นั่ง) คิดเล่น ๆ ถ้าต้องไปกลับ ก็จะตกอยู่รวม ๆ 10,000 เยน, แต่บัสก็จะราคาถูกลงมาอยู่ที่เที่ยวละประมาณ 2,000 เยน ประเมินสภาพร่างกายที่เป็นคนเมารถง่าย เลยขอเลือกเดินทางไปกับรถไฟ และซื้อ JR Kyushu Rail Pass (North) หรือพาสรถไฟสำหรับท่องเที่ยวในเมืองคิวชู (Kyushu) ตอนบน ในราคา 8,500 เยน โดยจองจากเว็บ KLOOK ก่อนล่วงหน้า
ใช้เวลาในการจองประมาณเกือบ ๆ วันได้ ก็จะได้รับเอกสารยืนยันการจองส่งมาทางอีเมล โดยเราสามารถพิมพ์เอกสารชุดนี้ ไปขึ้นสมุดพาสเล่มจริงได้ที่สถานี JR เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่นแล้ว รวมไปถึงการจองที่นั่งล่วงหน้าที่ญี่ปุ่นได้ นอกจากนี้ยังสามารถเอาหมายเลขการจอง มาจองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้าก่อนได้ (ในกรณีที่กลัวว่าที่นั่งจะเต็มก่อน) ซึ่งการจองที่นั่งล่วงหน้าออนไลน์จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1,000 เยน/ที่นั่ง

ด้วยความที่ช่วงเดินทางจะไปตรงกับตรุษจีน-ตรุษเกาหลี ปีใหม่ของสองประเทศพอดี บวกกับฟุกุโอกะก็ค่อนข้างเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับชาวเกาหลี กลัวว่าตั๋วรถไฟจะเต็มก่อนเลยใช้เลขรหัสที่ได้รับจากการจองพาส ไปสมัครสมาชิกและตรวจสอบที่นั่งผ่านเว็บของ JR KYUSHU RAIL PASS
มีรถไฟหลายขบวนที่ตรงจาก Hakata ไปยัง Yufuin แต่ละขบวนก็จะมีหน้าตา จุดเด่นแตกต่างกัน ซึ่งผมเองก็สนใจที่จะเดินทางด้วย Yufuin No Mori ที่สามารถนั่งรถไฟชมวิวข้างทางสวย ๆ และสามารถนั่งยาวไปเรื่อย ๆ จนถึงสถานี Yufuin โดยไม่ต้องเปลี่ยนสาย แต่รู้สึกว่าจะมีเพียงแค่ 3 เที่ยวต่อวัน คือออกจาก Hakata เวลา 9.24 / 10.24 / 14.35 น. และจะไปถึงที่ Yufuin เวลา 11.36 / 12.34 / 16.44 ตามลำดับ
ตารางเดินรถสามารถไปเช็คได้จากเว็บไซต์ของ JR Kyushu Railway ในส่วนของ Timetable
หลังจากเอารหัสของไปล็อกอินในเว็บพบว่าเหลือที่นั่งไม่เยอะสำหรับรถไฟไป Beppu เลยตัดสินใจจองตั๋วล่วงหน้าก่อนเดินทาง เป็นเส้นทางระหว่าง Hakata ↔ Beppu ซึ่งมีค่าธรรมเนียม 1,000 เยน/ที่นั่ง โดยเว็บจะหักเงินจากบัตรเดบิต/เครดิตของเราทันที และเมื่อนำตั๋วไปขึ้นที่สถานี JR (ที่ญี่ปุ่น) เราจะต้องนำบัตรที่ใช้จองไปเป็นหลักฐานในการจองตั๋วล่วงหน้าของเราด้วย
ผมเลือกจองไปล่วงหน้าเฉพาะบางเส้นทางที่คิดว่าจะแน่นครับ ส่วนเส้นทางอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นระหว่าง Yufuin ไป Beppu, หรือ Beppu กลับไป Hakata พบว่ามีรถไฟค่อนข้างหลายสาย และไม่ค่อยหนาแน่นมาก จึงสามารถไปจองที่สถานี JR ได้ เมื่อเดินทางไปถึงญี่ปุ่นแล้ว
สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport)
เมื่อผ่านขั้นตอนตม.เสร็จเรียบร้อย ออกมาก็จะมาโผล่ที่ชั้น 1 ของอาคาร Terminal 2 ซึ่งเป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขาเข้า ออกมาเพื่อมานั่งรถชัตเติลบัสฟรี ไปยังอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าสาย Airport (Kuko Line) เพื่อไปยังสถานี Hakata หรือสถานีอื่น ๆ เข้าเมืองต่อไป

รถชัตเติลบัสจะออกทุก ๆ 4-6 นาที ให้เรานั่งไปสุดสายเลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย ระยะเวลาในการเดินทางระหว่าง 2 อาคารนี้จะใช้เวลาประมาณ 10 นาที
สิ่งแรกที่ทำเมื่อถึงฟุกุโอกะ
1. ซื้อบัตรโดยสาร IC Card
สำหรับใครที่มีแผนเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินภายในเมือง แนะนำให้ซื้อบัตรโดยสาร IC Card ไว้เลยเพื่อความสะดวก แต่ก่อนก็ไม่คิดจะซื้อเพราะเข้าใจว่าเราไม่สามารถใช้บัตรนี้เดินทางได้ทั่วญี่ปุ่น แต่!! ตอนนี้บัตรเดินทางไม่ว่าจะใช้ของค่ายไหน เป็น Suica, ICOCA หรือที่เคยไปซื้อมาจากเมืองอื่น ตอนนี้สามารถใช้ร่วมกันได้หมดแล้วครับ ที่สำคัญคือไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วทุก ๆ สถานี หรือคอยเช็คราคาค่าโดยสาร ไม่จำเป็นต้องพกเหรียญไปไหนมาไหนตลอดเวลา ที่สำคัญคือหลายร้านค้าที่รับบัตร IC Card เช่นตามร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็น 7-11, Family Mart, Lawson ฯลฯ สามารถใช้บัตร IC Card ชำระเงินได้เลย

สามารถซื้อตั๋วได้จากตู้เติมเงิน โดยมีค่าธรรมเนียม 2,000 เยน (แบ่งเป็นค่าบัตร 500 เยน และค่าเดินทาง 1,500 เยน)
2. แลกพาส, จองที่นั่งล่วงหน้า
เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Hakata แล้ว สำหรับคนที่จองพาสทั้งหลายมาจากอินเทอร์เน็ต ให้มาแลกตั๋วโดยสารสำหรับเดินทางไว้แต่เนิ่น ๆ โดยจุดแลกบัตรโดยสารจะอยู่ที่สถานี JR ของสถานีใหญ่ ๆ อย่างในฟุกุโอกะ ก็จะมีที่สถานี Hakata เมื่อเข้ามาถึง จะมีพนักงานมาช่วยสกรีน ตรวจสอบเอกสารการจองที่พิมพ์จากอินเทอร์เน็ต พาสปอร์ต และกำหนดการเดินทางของเรา คอยอำนวยความสะดวกในการจองให้ ใครที่เช็คเส้นทางการเดินทางจากเว็บไซต์จาก Hyperdia.com มาแล้ว ก็สามารถกรอกเวลาเดินทางลงในใบได้เลย เมื่อทุกอย่างพร้อมเรียบร้อย เราก็สามารถไปต่อแถวที่เคาน์เตอร์ 1 หรือ 2 เพื่อแลกตั๋วเดินทางได้

ข้อจำกัดของพาส JR North Kyushu คือ เราไม่สามารถนั่งรถไฟขบวน Sanyo Shinkansen จากช่วง Kokura ↔ Hakata ได้ เวลาที่เราเข้าไปเว็บ Hyperdia แล้วลองสร้างเส้นทางจาก Hakata ไป Beppu ก็ดี หรือจาก Beppu มา Hakata ก็ดี ระบบจะสร้างเส้นทางให้เราไปเปลี่ยนสาย Shinkansen ที่สถานี Kokura ครับ ซึ่งเส้นทางนี้ ไม่รวมอยู่ในพาส ดังนั้นเมื่อวางแผนการเดินทางต้องเลี่ยงเส้นทางนี้ สำหรับเส้นทางที่สามารถนั่งได้จาก Beppu ↔ Hakata จะเป็นขบวนที่เขียนว่า Sonic
3. มุ่งหน้าสู่ที่พัก
ที่พักในฟุกุโอกะครั้งนี้จอง AirBNB ครับ ในญี่ปุ่นยังคงเปิดให้ใช้อย่างถูกกฎหมายแต่จะต้องให้ผู้เข้าพักสแกนหน้าพาสปอร์ตแจ้งข้อมูลส่วนตัวให้กับผู้ให้เช่า (มีเว็บเป็นฟอร์มให้กรอก) หรือบางที่จะมีเคาน์เตอร์เช็คอินเหมือนกับโรงแรมให้ ซึ่งจองที่พักครั้งนี้ ได้เจอทั้งสองรูปแบบเลยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของ AirBNB ญี่ปุ่นเกี่ยวกับกฎหมายให้บริการห้องเช่า

เอาของไปฝากไว้ที่พักก่อนจะเดินไปหาของกินมื้อค่ำ ประเดิมคืนแรกที่ ย่าน Yatai ตรงนี้เป็นเหมือนซุ้มอาหารข้างทางริมแม่น้ำ เป็นซุ้มที่สามารถนั่งกินได้ประมาณ 7-8 คน แต่ละร้านก็จะมีเมนูที่คล้าย ๆ กันคือ ราเม็ง หรือไม่ก็ยากิโซบะ สารพัดเมนูอาหารที่ส่วนใหญ่จะมีเมนูภาษาอังกฤษไว้รับลูกค้าต่างชาติ
เดินไปจนสุดทาง ก็ไม่รู้จะเลือกร้านไหน มาเลือกร้านที่คนเรียกใส่แว่นเห็นว่าหน้าคล้ายเราดี (มีคอมฟอร์ตโซนเล็กๆคือไม่ชอบไปนั่งรวมกินกับคนอื่น แต่ถ้าไม่เลือกก็ไม่ได้นั่งกินสักที เลยหาตรรกะอะไรง่าย ๆ 😀 ) ก็ไปนั่งกินกับกลุ่มคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว สั่งเมนูเป็นยากิโซบะ ซึ่งเป็นเมนูที่คุ้นเคยและทำการบ้านมาว่าน่าจะอร่อย

รสชาติก็โอเคดี 900 เยน (รู้สึกว่าตอนทำการบ้านมาจะแค่ 600 เยน) กับอีกเมนูคือไข่ปลา เป็นไข่ปลาคอด “เมนไทโกะ” ของดีขึ้นชื่อเมืองฟุกุโอกะที่เพื่อนญี่ปุ่นสั่งมาว่าควรจะต้องกิน ตั้งใจไปกินในร้านอาหารใหญ่วันอื่น แต่พอถึงญี่ปุ่นคืนแรกก็นึกอยากลอง เลยสั่งมากินกับผัดหมี่ด้วย จานนี้ก็ 900 เยนเหมือนกัน รสชาติก็จะมัน ๆ ออกไปทางเค็มถึงเค็มมาก ใครไม่ชอบทานเค็มจะไม่ชอบเมนูนี้เลย แต่เอามาทานกับบะหมี่ผัดก็รู้สึกว่ารสชาติตัดกันได้อย่างลงตัว
ทานเสร็จแล้วคิดเงินก็พบว่าอาหารนั่นยังไม่รวม VAT อีก สองจานนี้จึงหมดไปเกือบ 2,000 เยน T_T อาหารที่เสิร์ฟมาในจานเล็กๆ กับบรรยากาศในร้านที่ต้องนั่งรวมทานกับคนอื่น เลยคิดว่าถ้าจะต้องจ่ายราคาขนาดนี้ แนะนำให้ไปหาทานในร้านอาหารน่าจะดีกว่าครับ
จบการเดินทางในวันแรก…
Day 2 : นั่งรถไฟไปยูฟุอิน
ลากกระเป๋าเช็คเอาท์จากที่พักแต่เช้า เดินทางไปยังสถานี Hakata เพื่อนั่งรถไฟขบวน Yufu No.1 เที่ยว 7.45 น. ที่จะไปถึงยูฟุอินเวลา 10.01 น. (รถได้รอบเช้ามาก เพราะรอบอื่นเต็ม แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มดีเพราะว่าจะได้เที่ยวเยอะๆ)
จุดที่ขึ้นรถไฟไปยุฟุอิน หรือเมืองอื่น ๆ จะอยู่ที่ Central Gate ซึ่งหน้าตาเป็นแบบในรูปด้านล่างนี้ครับ ให้ใช้เล่มพาส JR Kyushu ที่ได้มา แสดงให้กับเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าก็จะสามารถเข้าไปได้ ส่วนตั๋วโดยสาร เดี๋ยวเขาจะมีเจ้าหน้าที่มาเช็คอีกรอบในรถไฟ
เราสามารถเช็คได้จากหน้าจอ โดยเอาเวลาไปเทียบดูว่าจะต้องไปขึ้นที่ชานชาลา (Track) ไหน ซึ่งของผมจะเป็น Track ที่ 5 ก็ขึ้นไปรอครับ โดยปกติแล้วรถไฟจะมาก่อนเวลาประมาณ 3-5 นาที คำนวณเวลาไปมาก็พบว่ายังพอมีเวลาอยู่ เห็นคนเดิน ๆไปเข้าร้านขายข้าวกล่องในสถานี หรือ “Ekibento” (Eki – สถานี, Bento – ข้าวกล่อง) อยู่เยื้องกับทางเข้าเลยเดินไปดูสักหน่อย

มีตัวเลือกเยอะแยะเลยครับสำหรับข้าวกล่อง ข้าวปั้น คิดว่าเหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางไกล ๆ และมองหาข้าวเช้า

ได้มาเป็นข้าวปั้นหน้าปลาซาบะ ราคา 980 เยน ยอมจ่ายแพงเพื่อขอชิมรสชาติปลาเต็ม ๆ หน่อย อร่อยเหมือนกันและเนื้อปลาใหญ่เต็มคำจริง ๆ อาจจะมีความคาวบ้าง แต่เป็นคาวปลาที่สำหรับผมรับได้ ประทับใจยิ่งกว่านั้นคือ ความพิถีพิถันที่อยู่ในแพ็คเกจ มีตะเกียบ โชยุ และผ้าเช็ดมือ อยู่ในแพ็คเกจที่เป็นใบไม้ห่อแบบนี้ มีครบทุกอย่าง
ส่วนตัวแนะนำเลยว่าไม่อยากให้พลาด ต่อให้ไม่เป็นมื้อหนัก ๆ อย่างเบนโตะก็ควรจะหาอะไรติดไม้ติดมือไปกินบนรถไฟเพราะต่อให้เราไม่หิว เมื่อเห็นคนอื่นกินก็อาจจะพลอยทำให้เราหิวตามได้
วิวระหว่างข้างทางก็เห็นเป็นพื้นที่แปลงเกษตรสีเขียวตลอดทาง ให้ความรู้สึกผ่อนคลายดีครับ รถไฟ Yufu No. 1 ไม่ใช่เป็นรถไฟที่มีออพชั่นอะไรมากเหมือนกับขบวนอื่น ๆ อย่าง Yufuin No Mori (พยายามจองแล้วแต่ไม่ทัน) ด้วยความที่อยู่ตู้แรกสุดเลยสามารถเข้าไปดูหน้าสุดของรถไฟได้ รถไฟเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ พาเราไปถึงสถานี Yufuin
ถึงสถานี Yufuin ออกมาก็ตกใจเพราะภาพแรกที่เห็นคือ…
วิวหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ข้างหลังเป็นภูเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชอบภูเขาก็เลยว้าวมากเป็นพิเศษหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่นี่ดูเป็นเมืองที่น่าสนใจ ดูน่าอบอุ่น เหมือนอยู่ในนิทาน นักท่องเที่ยวรายล้อมถ่ายรูปเต็มไปหมด ตอนนั้นอยากจะเดินสำรวจเต็มที่ แต่ขอจัดการกับสัมภาระให้เรียบร้อยก่อน เลยเดินตรงไปที่เรียวกังที่จองไว้อยู่ห่างจากสถานีประมาณ 10 นาที

เรียวกังที่จองผ่าน Agoda ไว้มีชื่อว่า “Enokiya Ryokan” เป็นห้องพักแบบสไตล์ญี่ปุ่นที่มีห้องอาบน้ำให้เราไปแช่ได้ ตอนจองมาก็เน้นราคาประหยัดและสะดวกกับการเดินทาง เมื่อเดินมาถึงก็มีพนักงานให้การดูแลในการเช็คอินอย่างดี
อธิบายการใช้งานห้องอาบน้ำต่าง ๆ ซึ่งมีแยกชาย-หญิง และสำหรับครอบครัว โดยห้องอาบน้ำเปิดตั้งแต่ 15.00 – 09.00 น. (โต้รุ่งกันก็ได้) โดยเรียกเก็บค่าบริการสำหรับห้องอาบน้ำแยกต่างหาก 300 เยน
เอาสัมภาระไปฝากไว้ที่ที่พักก่อนจะเดินออกมาสำรวจ สถานที่แรกที่ไปคือ ทะเลสาบคินริน (Kinrinko) ซึ่งอยู่ห่างจากที่พัก ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที


เดินตามแผนที่มาก็จะเห็นทะเลสาบที่ไม่ได้ใหญ่สุดลูกหูลูกตาอะไรมาก แต่มีความร่มรื่น และน้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลา เป็นอีกหนึ่งจุดที่มาถึงที่ยูฟุอินนี้ก็ควรมาถ่ายรูปกันครับ
บริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยร้านคาเฟ่ ร้านค้าเรียงรายเป็นแถว จุดสังเกตอย่างหนึ่งของร้านค้าบริเวณนี้ คือ ร้านค้าค่อนข้างจะเหมือน ๆ กันหมด ร้านอาหารลักษณะทานง่าย ๆ อาหารจานด่วน ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ เป็นแต่ชุดใหญ่ จัดเต็มไปเลย หรือไม่ก็เป็นร้านขายของทานเล่นเสียมากกว่า
เดินมาจนสุดทาง มาเจอกับร้านกาแฟที่ดูเก่าแก่ แต่บรรยากาศน่านั่งร้านหนึ่งครับ ร้านนี้ชื่อ Caravan Coffee เห็นเขียนว่า Since 1970 ก็เลยอยากเข้าไปชิมบรรยากาศ รสชาติที่เก่าแก่สักหน่อย เข้าไปก็เห็นร้านกาแฟในบรรยากาศเก่า ๆ ในร้านตกแต่งไปด้วยพรอพเต็มไปหมด มีคุณลุงคุณป้าช่วยกันบริหารร้าน
ที่นั่งในร้านจะมีเป็นโต๊ะใหญ่ ๆ อยู่สองโต๊ะครับ ช่วงคนเยอะก็อาจจะต้องไปนั่งรวมกับคนอื่นหน่อย แต่เวลาที่ไปจำได้ว่าเป็นช่วงเที่ยง ๆ คนคงกำลังไปหาร้านทานข้าวกันแต่ผมขอเริ่มจากกาแฟก่อน ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษครับ และส่วนใหญ่เมนูจะเป็นเมนูกาแฟดริป ราคาก็แอบแพงหน่อย ๆ แก้วถูกสุดน่าจะประมาณ 700 เยน~ (เทียบกับ Starbucks ที่นี่เริ่มต้นประมาณ 400 เยน)

เข้ามาในตัวย่านท่องเที่ยวก็เต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่จะเป็นคนเกาหลี, จีน มีคนญี่ปุ่นบ้างประปราย

พยายามเดินตามหาร้านข้าว แต่ยังไม่เจอที่ถูกใจเท่าไหร่ เลยหาอะไรกินข้างทาง มาเจอร้านขาย ทาโกะยากิยักษ์ มีหลายหน้าให้เลือกครับไม่ว่าจะเป็นออริจินอล รสเผ็ด รสชีสเผ็ด และอีกสารพัดหน้า ราคาเริ่มต้นที่ 450 เยน กินรองท้อง อร่อย ชอบมากครับ

เดินหาร้านกินจนทั่วก็เข้าใจเลยว่า หาร้านกินข้าวที่นี่ยากเหมือนกัน ร้านค้ามีเยอะเต็มไปหมดแต่อย่างที่เกริ่นไว้คือ-ของหวานเสียส่วนใหญ่ ก็มาเจอกับร้าน Utano (うた乃) ซึ่งเป็นร้านที่มาจากการเดินสุ่มมั่วๆ ซึ่งอยู่ใกล้กับทางเดินกลับไปสถานี Yufuin ครับ ด้วยความหิวเลยตัดสินใจเดินเข้าไปก่อน
มีเมนูภาษาอังกฤษ ค่อนข้างเฟรนด์ลี่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภายในร้านบรรยากาศดี สะอาดสะอ้าน มาถึงฟุกุโอกะแต่ก็ยังคงอยากกินอะไรที่คุ้นเคย เลยมาทานโอโคโนมิยากิ (1,200 เยน) ที่ร้านนี้
ถ้าไม่อยากทานโอโคโนมิยากิอย่างเดียว ในร้านมีเมนูกึ่งๆระหว่างโอโคโนมิยากิและยากิโซบะ เรียกว่า Usuyaki (920 เยน) เป็นแผ่นแป้งบางกว่าโอโคโนมิยากิหน่อย ๆ แต่มีเส้นผัดอยู่ด้วย ขนาดใหญ่ใช้ได้ ถ้าเน้นอิ่มและประหยัดอาจจะแนะนำเมนูนี้ ยังมีขนมหวานที่เขาว่าเป็นขนมโลคอลของเขต Oita เรียกว่า Yaseuma (500 เยน) เป็นแป้งที่ไปคลุกกับคินาโกะซึ่งให้รสชาติคล้าย ๆ กับถั่ว หอม หวาน มัน คลุกเคล้ากันเป็นของหวานที่อร่อยใช้ได้ กินไปกินมาจะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกินมะพร้าวที่มันให้รสชาติมัน ๆ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ชอบ

ร้านนี้โอเคในเรื่องบรรยากาศ แต่ราคาอาจจะสูงไปนิด แต่เทียบกับปริมาณร้านอาหารที่ไม่ได้เยอะมากแถว ๆ นี้ ก็อยากให้ทำใจกันไว้หน่อย .. แต่ก็ไม่ต้องห่วงอีกอยู่ดี เพราะจะแนะนำว่ามันมีอีกหนึ่งตัวเลือกที่อยากเสนอ (ซึ่งก็มาค้นพบหลังจากกินอิ่มเสร็จเรียบร้อย) นั่นก็คือซุปเปอร์ Max valu ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีเลย
เป็นมาร์ทที่มีทุกอย่างตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงอาหาร มีข้าวกล่องให้สามารถไปอุ่นกินที่ที่พักได้ ซึ่งก็ได้แซลมอนและซาชิมิมาเป็นมื้อดึก กับขนมและของทานเล่นเต็มไปหมด หยิบติดกลับมาบ้าง
ของกินค่อนข้างหลากหลาย และดูจากเวลาที่ให้ทำการแล้วเปิดตั้งแต่ 08.00 ไปจนถึง 23.00 น. ดึกก็ยังพอมาหาอะไรทานได้อยู่


รอบนี้ด้วยความที่ค่าเงินบาทไทยแข็ง เคยแลกเงินเยนเก็บใส่ไว้ใน Travel Card เลยเอามาลองใช้ดู ก็พบว่าสามารถเอามาใช้ที่มาร์ทที่นี่ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร (แม้ว่าบัตรยังคงเป็นบัตรแบบไม่ได้สลักชื่อ) สะดวกดีเหมือนกันเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีเหรียญเยอะ


สำรวจที่พักในยุฟุอิน “Enokiya Ryokan”
ในเว็บจริง ๆ เขียนเอาไว้ว่าเช็คอินได้ตั้งแต่ 15.00 น. แต่พนักงานบอกว่าห้องพร้อมตั้งแต่ 13.00 น. แล้ว กลับมาก็พบว่าพนักงานหิ้วกระเป๋าขึ้นไปวางไว้ในห้องเรียบร้อยอย่างดี โซนห้องพักจะอยู่ชั้น 2 และชั้น 3 บรรยากาศภายนอกดูเก่า ๆ แต่ข้างในไม่ใช่เลย ดูสะอาดแต่ยังคงความคลาสสิค อบอุ่นไปอีก อุปกรณ์ภายในห้องมีเตรียมไว้ครบครัน พิถีพิถันไปกว่านั้นคือมีกาน้ำชา ขนมเซมเบ้สำหรับทานกับชา และกระติกน้ำเย็นที่ใส่น้ำไว้ให้เต็มเหมือนรู้ว่ากระหายน้ำมา

ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ครบ ไม่ว่าจะเป็นทีวี เครื่องทำความอุ่น เซ็ตแปรงสีฟัน ตู้เซฟ กาต้มน้ำร้อน และที่สำคัญคือ มีชุดยูกาตะ สำหรับเปลี่ยนให้ได้ถ่ายรูปเล่นหรือจะใส่เดินเล่นในอาคารได้ (ใส่ไปข้างนอกไม่ได้นะ) และหากเดินทางในช่วงหน้าหนาวจะมีชุดคลุมด้านนอกอีกตัวเรียกว่า Tanzen ให้เพิ่มอีกตัว

ในห้องยังมีคู่มือวิธีการสวมยูกาตะอธิบายไว้คร่าว ๆ อีกด้วย ถ้าจะสรุปสั้น ๆ คือ “ซ้ายทับขวา” สำหรับผู้ชายจะมัดผ้าแล้วหมุนโบว์ไปทางด้านหลัง ส่วนผู้หญิงจะหมุนไว้ข้างใดข้างหนึ่ง
สรุปว่าคุ้มค่าคุ้มราคา ตอนจองจะมีตัวเลือกให้เลือกเพิ่มเติมว่าต้องการอาหารสไตล์โลคอลหรือเปล่า แต่ด้วยความที่ทริปนี้เป็นทริป “คุมงบ” เลยไม่ได้เลือกอาหารเช้าเพิ่ม อ้อ !! อีกอย่างคือ ที่พักไม่มีห้องอาบน้ำ จะอาบน้ำก็จะต้องลงไปอาบที่บริเวณแช่น้ำซึ่งเป็นตามสไตล์เรียวกัง ที่ต้องเปลื้องผ้าไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ ในห้องพักจะมีเพียงห้องส้วมและอ่างสำหรับล้างหน้าง่าย ๆ ไว้สำหรับล้างหน้า-แปรงฟัน แต่จากประสบการณ์ในการพักที่นี่ก็พบว่าต่อให้ไม่มีห้องอาบน้ำก็ยังสะดวกสบายอยู่ดี
และแล้วก็ถึงเวลาพักผ่อน ลงไปแช่น้ำร้อน ก่อนจะลงบ่อก็อย่าลืมไปล้างตัวกันก่อน บ่อสำหรับแช่ตัวก็จะมีทั้งด้านในและด้านนอก ด้านนอกบอกเลยว่าฟินสุดเพราะครึ่งบน คุณจะรู้สึกเย็นหายใจโล่ง ๆ ส่วนครึ่งล่างก็จะอุ่น ๆ หน่อย ฟินอย่างบอกไม่ถูก ใช้เวลานี้ผ่อนคลายแบบเต็มที่ เตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางในวันต่อไปครับ

ที่พักค่อนข้างถูกใจเพราะได้ในเรื่องของโลเคชั่น ความสะอาดสะอ้านของห้องพักถือว่าโอเคเลย เช็คเอาท์ได้ไม่เกิน 10 โมง ผมก็เตรียมออกมาตั้งแต่เนิ่น ๆ อาหารเช้าไม่ได้ทานอะไรมาก เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปิด และขอรวบไปเป็นมื้อเที่ยงที่เมืองเบปปุแทน เอาเป็นว่ารายละเอียดการเดินทางไปยังเมือง Beppu รวมไปถึงบรรยากาศของบ่อน้ำพุในเมือง Beppu จะรวมไปเล่าไว้ในบล็อกตอนหน้า อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ !!
สำหรับวันนี้สวัสดีครับ ~
ติดตามเนื้อหาในตอนที่แล้ว
- [ตอนที่ 1] เที่ยวฟุกุโอกะหน้าหนาว วิธีการเดินทางจากฟุกุโอกะไปยูฟุอิน (Yufuin), การซื้อและวิธีใช้ JR KYUSHU RAIL PASS, ท่องเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน สัมผัสประสบการณ์เรียวกังเมืองยูฟุอิน (Yufuin)
- [ตอนที่ 2] เที่ยวฟุกุโอกะหน้าหนาว ท่องเที่ยวเมือง Beppu, เดินทางชมบ่อน้ำพุเดือดในเมือง Kannawa, เดินทางกลับ Hakata จาก Beppu, ท่องเที่ยวหาของกินในตัวเมือง Hakata