ก่อนจะเริ่มเขียนรีวิวแต่ละปี ผมอยากจะเริ่มจากสิ่งที่เขียนไว้เมื่อปลายปีก่อน มาลองอ่านดูอีกครั้งว่า เราหวังให้ปีใหม่ของเราเป็นยังไง อยากทำอะไร อย่างน้อยก็ทำให้เราได้รู้ว่าที่ผ่านมา “2019 สำหรับเราแล้วเป็นปีแบบไหน” ก้าวไปข้างหน้า อยู่กับที่ หรือมีอะไรให้ปรับปรุง มาย้อนดูก็พบว่าผมเขียนว่าสิ่งที่อยากทำในปี 2019 ไว้ 3 อย่างใหญ่ ๆ
1. อยากสร้างนิสัยเขียนบล็อก/ บทความให้ดี
สรุปปี 2019 : ช่วงต้นปีพยายามจะหาคอนเทนต์อะไรใหม่ๆเข้ามา แต่สุดท้ายติดที่ไม่ได้ลงมือทำ หรือคิดเยอะไป คิดมากไป คิดใหญ่ไป เลยไม่ได้มีอะไรให้ติดตามกันต่อสักที รู้สึกว่าชีวิตจะมองหาความเป็นเพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์เข้าไปทุกวัน ไม่ถูกใจก็ไม่เอาบทความขึ้นเลย… ช่วงขยันก็ขยันมาก ขี้เกียจก็ขี้เกียจมาก คิดว่าน่าจะต้องหารูปแบบชีวิตที่ให้สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้และไม่กระทบกับงานประจำ ก็คิดว่าจะหาทางออกให้ได้ในปีหน้า 2020
2. หาประสบการณ์ใหม่ๆ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ (ที่ไม่ใช่วิชาการ)
สรุปปี 2019 : เป้าหมายหลักของข้อนี้จริงๆ คือการออกมาจากคอมฟอร์ทโซน แต่คำว่า “คอมฟอร์ทโซน” ดูจะเป็นกำแพงที่ใหญ่ไปเสียหน่อยเลยอาจจะเจาะจงมาว่าให้ “ลองหาอะไรทำใหม่ๆ” ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้เรียนรู้ทักษะอะไรใหม่ๆ ที่มาเป็นสกิลติดตัวเพิ่มเติม แต่ก็ถือว่าได้ทำอะไรที่เพิ่งเคยทำครั้งแรกในชีวิตเยอะขึ้นมาอีกหน่อย เช่น เล่นสกีครั้งแรก, เรียนภาษาจีน (อันนี้อาจจะดูวิชาการไปหน่อย แต่เรียนแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์หลายอย่าง ช่วยให้เข้าใจรากคำภาษาเกาหลีเพิ่ม, เข้าใจคำศัพท์ง่าย ๆ ภาษาจีนเอาไว้ต่อยอดให้สามารถสื่อสารเบื้องต้นได้) ปีหน้าคงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับเรียนให้ต่อเนื่อง กับยังคงคิดจะค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆให้กับตัวเองต่อไป
3. พบปะ คุยกับคนที่มีความชอบคนละแบบ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ
สรุปปี 2019 : ปีนี้เปลี่ยนงานเลยทำให้ได้ต้องรู้จักคนเยอะขึ้น ก็โชคดีที่เพื่อนร่วมงานหลายคนโอเคมาก เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยในเกาหลีเป็นระยะเวลานานเลยทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตไม่แตกต่างกัน เจออะไรมาเหมือน ๆ กันเลยทำให้คุยกันรู้เรื่องเป็นพิเศษ มีกิจกรรมที่ไปสันทนาการ เล่นดาร์ท กินข้าวด้วยกัน (โชคดีอีกต่อ คือกลุ่มนี้เน้นกิน ไม่เน้นแอลกอฮอล์) เลยทำให้ชีวิตในที่ทำงานมีอะไรผ่อนคลาย มีสังคมการทำงานใหม่เพิ่มขึ้นมา ส่วนปีหน้าจะหาคนที่มีความชอบคนละแบบ หรือหาใครมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ไปขวนขวายหาตามหาก็รู้สึกว่าข้อนี้จะทำได้ยากเหมือนกัน ปีหน้าปีใหม่นี้ก็คงจะไม่ได้เน้นข้อนี้เท่าไหร่ (คิดว่า)
ปี 2019
ปีที่ออกจากคอมฟอร์ทโซน (จริงๆ)
ที่ทำงานใหม่ ย้ายบ้านใหม่ เพื่อนที่ทำงานใหม่
กลับมาย้อนดูตัวเองปีนี้คิดว่าเป็นปีที่ “ออกจากคอมฟอร์ทโซน” ได้เยอะมากกว่าที่คิดแฮะ ด้วยความตั้งใจและเหตุการณ์พาไป
ได้ลองไปที่ใหม่ๆ เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ตั้งแต่ย้ายงาน ย้ายบ้าน ไปเที่ยวสถานที่ใหม่ ๆ หลายอย่างที่มันไม่ได้วางแผนไว้ หรือไม่คิดจะลองทำเราก็ได้เริ่มต้นทำ
เริ่มต้นปีด้วยภาวะหมดไฟ : เอายังไงกับชีวิตที่เกาหลีต่อดี?
ช่วงก้าวผ่านปี 2018 มาปี 2019 เอาจริง ๆ คิดว่าสภาพทางอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวนเยอะ เพราะบริษัทที่ทำงานเดิมก็มีการเปลี่ยนแปลงในองค์กร เปลี่ยนรูปแบบการทำงาน-ลดพนักงาน เพื่อน ๆ ที่เคยทำงานด้วยกันก็หายไปหมด พอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนเยอะ เหมือนมีอาการช็อคเล็กๆ เกิดความรู้สึกดาวน์ลงมา มีบางวันที่ไม่ค่อยอยากกินอะไร ตื่นมาก็ไม่รู้จะทำอะไร ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองน่าจะเข้าข่าย ‘หมดไฟ’ ไปกับการทำงานที่เดิม เลยเริ่มมองหาที่ทำงานใหม่มาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ช่วงต้นปี
ในขณะที่คนรอบข้างที่คลุกคลี ไปไหนไปกันอย่างรุ่นน้องที่ได้รับทุน ใช้ชีวิตอยู่ในเกาหลีด้วยกัน 3-4 ปี เมื่อเรียนจบก็ทยอยกลับไปทำงานที่ประเทศไทยบ้าง ทำงานกันบ้าง กลุ่มคนที่เราแฮงก์เอ้าท์ด้วยประจำก็ต้องเริ่มห่างเหินกันไป เราก็เลยเหมือนต้องหากลุ่มที่แฮงก์เอ้าท์ใหม่ ๆ หรือไม่ก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แต่ที่บ้าน เป็นมนุษย์ติดห้อง
ช่วงต้นปีพออารมณ์ไม่ค่อยนิ่ง ก็หาอะไรทำไปเรื่อย ๆ ทำในสิ่งที่อยากทำ ในขณะเดียวกันก็หาข้อมูลสมัครงานไปเรื่อย ๆ โชคดีที่มีตำแหน่งงานที่สนใจเข้ามาช่วงต้นปี เลยใช้เวลาต้นปียุ่ง ๆ ไปกับการเตรียมเอกสารสมัครงาน อัปเดต CV ใหม่ เตรียมสัมภาษณ์ ด้วยงานที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “เกมมือถือ” ก็ได้ถามตัวเองเหมือนกันว่า เราจะเหมาะกับสายนี้หรือเปล่า ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ได้คิดและวางแผนเกี่ยวกับ career path อีกครั้ง ผมรู้สึกว่าตลาดเกมในเกาหลีค่อนข้างใหญ่ และเกมก็เป็นสื่อที่ค่อนข้างน่าสนใจ ผู้เล่นเข้าถึงทุกวัย เลยคิดว่าอยากจะเข้ามาศึกษาตลาดเกมทั้งไทยในเกาหลีเต็มตัว เลยทำให้งานที่สองเป็นงานเกี่ยวกับเกม
บริษัทใหม่ : วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป
ด้วยวัฒนธรรมการทำงานของบริษัทที่เปลี่ยนไป ผมได้พูดเยอะขึ้น จากแต่ก่อนอยู่กับ Slack (โปรแกรมแชทที่ใช้ภายในองค์กร) เวลาจะติดต่อใครหรือสงสัยอะไร ก็พิมพ์คุยกันอย่างเดียว (แม้จะนั่งตรงข้ามกันก็เถอะ) เลยรู้สึกว่าการพูดน้อยลงมาก ภาษาเกาหลีไม่ขยับ แต่พอเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ เปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ ก็ต้องเริ่มจักคนที่ร่วมทำงานด้วย วิธีการทำงานของเราก็เปลี่ยนไป จากแต่ก่อนนึกคิดอยากจะทำอะไรก็สามารถทำได้ทันที พอมาอยู่ในองค์กรที่ใหญ่ขึ้น ความคิดของเราก็จะต้องผ่านการนำเสนอ ต้องมีการโน้มน้าว แสดงให้เห็นกระบวนการเป็นขั้นเป็นตอน สิ่งที่ทำก็ต้องและอยู่ในรูปแบบที่สามารถประเมินเป็น KPI ได้ ก็เป็นอีกวัฒนธรรมขององค์กรใหม่ที่ได้เรียนรู้จากงาน
ย้ายบ้าน
เรื่องย้ายบ้าน เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรามาก และให้เลือกได้ก็ไม่คิดอยากจะย้ายเท่าไหร่ บ้าน (หรือจริง ๆ คือห้องเช่า) เป็น คอมฟอร์ทโซนใหญ่ ๆ ที่ไม่อยากจะไปแตะต้อง ที่อยู่เดิมนอนได้สบาย ตื่นไปทำงานได้ทุกวันก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว แถมอยู่มาก็ตั้งนาน 3 ปี ก็คุ้ยเคย ผูกพันกับย่านแถว ๆ นั้น แต่ด้วยที่ทำงานใหม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายค่าบ้านให้บางส่วน กับมาลองคำนวณระยะเวลาในการเข้างานตอนเช้า และค่าโดยสาร รู้สึกว่าเราจะประหยัดได้ทั้งสองอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายและเวลาเดินทาง ก็เลยคิดว่าควรลองดูสักตั้งหนึ่ง
จังหวะค่อนข้างดีตรงที่ เพื่อนร่วมงานกำลังจะหาบ้านใหม่อยู่เหมือนกัน และบ้านหลังเก่าก็ต้องหาคนมาเช่าต่อ เลยตั้งใจว่าถ้าสภาพบ้านโอเคก็จะขอต่อเลย มาดูก็พบว่าค่อนข้างใหญ่กว่าเดิมเยอะมากกก… เป็นความฝันเล็ก ๆ ที่อยากจะเปิดประตูบห้องมาแล้วไม่ชนสิ่งของอะไร 555 (บ้านหลังเก่าเล็กขนาดนั้น) ก็เลยเทใจมาทางบ้านของเพื่อนร่วมงาน อย่างไม่ค่อยลังเลและไม่คิดจะหาที่อื่นเท่าไหร่ (เป็นคนขี้เกียจเดินเลือกบ้านมาก เพราะรู้ว่าถ้าช้อยส์เยอะจะลำบากใจทีหลัง)
จัดการเรื่องที่ใหม่เสร็จก็ไม่ยาก ยากตรงย้ายของจากบ้านเก่าไปยังบ้านใหม่ ปกติการย้ายบ้านในเกาหลี สามารถทำได้ 3 วิธีใหญ่ ๆ คือ 1. ขนเอง 2. ส่งไปรษณีย์ 3. ให้บริษัทรับขนย้ายบ้านโดยเฉพาะมาช่วยจัดการให้
รอบนี้ผมเลือกใช้บริการแบบที่ 3 แต่บริษัทรับขนของ เขาก็จะมีให้เราประเมินด้วยเหมือนกันว่าของที่มีติดตัวอยู่กับเรามีอยู่ทั้งหมดกี่กล่อง ด้วยความที่ของที่มีอยู่มันก็ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในกล่อง เลยกะไม่ถูกและตีไป 13 กล่อง แต่แพ็กเอาจริงๆ ได้ 20 กล่อง !! ลุงที่มาขนของวันนั้นถึงกับบ่นรุนแรงพอสมควร เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเป็นอย่างนั้น เลยให้เงินเพิ่มไปเบ็ดเสร็จหมดไป 230,000 วอน (~6 พันบาท) พอย้ายก็ได้เรียนรู้ว่า “ของเยอะจริง จะเก็บเอาไว้แบบนี้จนถึงเมื่อไหร่ ถ้ามีเวลาควรเอาไปทิ้งบ้าง!”
เรื่องเที่ยวๆ
ช่วงต้นปีได้ไปเที่ยวที่ประเทศสิงคโปร์ นั่งตรงจากเกาหลีไปด้วยสายการบินของประเทศเกาหลีอย่าง Asiana Airlines (ครั้งแรกที่นั่งสายการบินนี้อีกเช่นกัน) บริการทุกอย่างก็มาตรฐาน ข้าวยำอร่อยสมคำร่ำลือ ส่วนถ้าให้พูดถึง “สิงคโปร์” นั้นเป็นประเทศที่ซ่อนธรรมชาติไว้อยู่ทุกที่ บ้านเมืองไม่ได้ดูทันสมัยเหมือนในกรุงโซล แต่มีความเป็นระเบียบ และดูสะอาด แต่ไม่ค่อยเหมาะกับเราตรงสภาพอากาศที่ร้อน (เป็นคนขี้ร้อนมากกกกกก…) ส่วนใหญ่ก็จะหมดเวลาไปกับการเดินชมเมือง ใช้ Google Maps จิ้มไปตามพิกัดสถานที่ต่าง ๆ
ส่วนมื้อนี้หมดไป 4 พันกว่าบาท กินกันสองคน ก็เลยขอจารึกไว้ตรงนี้ว่าเป็นการกินชาบูที่แพงที่สุดครั้งหนึ่ง (ตอนกดจิ้มก็สั่งด้วยความหิว และเป็นคนชอบทานเครื่องใน เลยจิ้มไม่หยุดเลย เกาหลีหาเครื่องในกินยากมาก)
อีกทริปคือ “ทริปญี่ปุ่น” ที่ฮอกไกโด จำได้ว่าเข้างานไปไม่กี่สัปดาห์ก็ต้องขอลาไปเกือบ ๆ อาทิตย์ เพราะทริปญี่ปุ่นนี้ ตั้งใจไว้จะไปนานมาก เหตุที่ต้องเป็นช่วงนี้ก็เพราะว่าจะไปตรงกับฤดูร้อน ช่วงที่ดอกไม้ต่าง ๆ บานที่เกาะฮอกไกโด เรื่องทริปญี่ปุ่น เขียนไว้ค่อนข้างละเอียด ในบล็อกตอน Hokkaido เที่ยวเกาะฮอกไกโด ฤดูร้อน เที่ยวเอง ไม่ขับรถ ตอนที่ 1 !
และนอกจากต่างประเทศ ปีนี้รู้สึกโชคดีที่ได้เที่ยวไทยบ้าง ! เพราะเวลาคนเกาหลี หรือเพื่อน ๆ ต่างชาติมาถาม คำถามพวกแนว “แนะนำที่เที่ยว ทะเลให้หน่อย” หรือแนว “จะไปเที่ยวไหนดี จะไปกระบี่, ภูเก็ต หรือ พัทยา” เราก็จะได้พอให้ข้อมูลได้บ้าง ปีนี้ช่วงกลางปีเลยตัดสินใจไปเที่ยว “กระบี่” เป็นการเที่ยวทะเลใต้ด้วยตัวเองครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ อยากจะเขียนบล็อกเกี่ยวกับการเดินทางมากแต่เวลาไม่ค่อยเอื้ออำนวย เพราะรอบนี้ไปแบบไม่มีรถยนต์ส่วนตัวเลย มีซื้อทัวร์ด้วย มีนั่งรถตู้ด้วย แต่ทุกอย่างก็เพอร์เฟ็กต์มาก เที่ยวเหมือนเป็นคนต่างชาติคนหนึ่ง ที่โหยหาอาหารไทย นวดไทย สนุกกับการเดินสำรวจของในร้านสะดวกซื้อ
เปลี่ยนคอม เปลี่ยนมือถือ
คอมเปลี่ยนจากวินโดวส์ไปแมค มือถือเปลี่ยนจาก iOS ไป Android
ตอนจะเขียนพาร์ทนี้ก็เอะใจว่า มันควรจะเขียนดีไหม 555 แต่ก็อยากจะบันทึกเอาไว้หน่อย เพราะมันก็เหมือนเป็นอะไรที่เราออกมาจากความคุ้นชิ้นเดิม ๆ อยู่นะ ตลอดช่วงม.ปลายใช้แมค (iMac) ทำงาน พอมาเกาหลีก็มาซื้อ (Windows) Laptop เพราะต้องการเอามาใช้ต่อที่เกาหลี ก็ถือว่าห่างเหินกันเกิน 7-8 ปี ส่วน iOS ไป Android เนี่ย จากใจเลย ใช้ iOS มาก็ร่วม 10 ปีแล้ว การเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี่ น่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า ก็เลยลองเอามาคิดเล่นๆ …
ช่วงต้นปีมีไฟอยากจะทำคอนเทนต์สูงมาก มีโปรแกรมเจ๋งๆ หลายตัวที่อยากเล่นในแมค อยากกลับไปใช้อีกรอบ (เคยใช้แมคมาตลอดช่วงม.ปลาย) เลยตัดสินใจไปถอยเครื่อง Mac Book Pro ที่เป็นรุ่น Refurbished (Refurbished คือ เครื่องที่เคยมีปัญหาแล้วผ่านการซ่อมจาก Apple แล้วมาทำแพ็คเกจใหม่ มีประกันจาก Apple 1 ปี) เลยประหยัดค่าใช้จ่ายลงมาได้หน่อยเทียบกับ Spec ทำงานได้คล่องตัวดี เร็ว แต่ก็ติดปัญหาเหมือนเดิมที่ทำงานกับคนเกาหลีจะต้องใช้โปรแกรมเวิร์ดของคนเกาหลี (Hanword) และสารพัดปลั๊กอิน ก็เลยยังต้องมี Notebook ที่ติดตั้งได้เฉพาะบนวินโดวส์อยู่, แน่นอนรุ่นใหม่ มันก็คงเร็วเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าใช้ต่อไปเรื่อยๆ อีกแค่ไหนถึงจะรู้สึกว่าช้า แมครุ่นใหม่ ๆ ก็จะน่าเบื่ออยู่เรื่องเดียวคือพวกพอร์ทต่าง ๆ ไม่มีอะไรให้นอกจาก USB-C ทำให้ต้องพวก Dock อะไรไปด้วย
ตรงข้ามกันคอมเปลี่ยนจากวินโดวส์ไปแมค, มือถือเปลี่ยนจาก iOS ไป Android ตอนแรกก็คิดว่าอยากลองเพราะเบื่อความจำเจอะไรบางอย่าง ตอนที่จะเปลี่ยนงานใหม่ รู้ตัวว่าจะต้องได้โหลดเกมมาเล่นเยอะ น่าจะต้องได้หาเครื่องใหม่ไว้สำหรับเทสต์เกมโดยเฉพาะ เลยเล็ง ๆ มือถือฝั่ง Android ราคาย่อมเยาสำหรับทดสอบเกม ก็มาเจอ One Plus 7 Pro ที่ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่รู้ไปเจอรีวิวจากไหน แต่เห็นแล้วรู้สึกว่า “เฮ้ยย อันนี้มันคุ้มมาก!” และด้วยความที่มือถือ Android รุ่นใหม่ ๆ ใส่ 2 ซิมได้ ก็เลยทำให้การใช้ชีวิตในเกาหลีง่ายขึ้นไปอีก เพราะปกติแล้วเวลาที่ทำธุรกรรมในไทย ก็จะต้องมีส่งเลข OTP ไปทาง SMS การที่มีมือถือ 2 ซิมมันก็สามารถรับข้อความได้ทันที สะดวกรวดเร็ว (แม้ว่า iPhone จะมี eSim แต่การที่ต้องไปลงทะเบียนที่ศูนย์โทรศัพท์ที่เปิดเฉพาะวันธรรมดา ไม่ได้สามารถทำเรื่องได้ทุกที่ ทุกเวลาเหมือนกับที่ไทย เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยงมาก)
จากตอนแรกที่บอกว่ามันจะเป็นเครื่องรอง กลายมาเป็น “เครื่องหลัก” เพราะการใช้งานมันค่อนข้างสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนเกาหลี เพราะว่าเกาหลีจะมีบริการอะไรต่างๆ มากมาย แอพสะสมแต้ม, แอพธนาคาร, Mobile Payment, NFC หลายอย่างที่รองรับเฉพาะ Android พอเปลี่ยนมาใช้ ก็ทำให้การจัดการชีวิตง่ายขึ้น เร็วขึ้น สแกนลายนิ้วมือนี่ก็ยังดีกว่าสแกนใบหน้าในความรู้สึกส่วนตัว สรุปการเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ใหม่ก็ทำให้ชีวิตทำงานง่ายขึ้น …แต่ก็สูญเสียความเป็น Ecosystem ของอุปกรณ์ไปหลายอย่างเลย อย่างหนึ่งก็ Apple Watch นี่แหละที่ตอนนี้เน้นเอาไว้ดูเวลากับบันทึกการออกกำลังกายอย่างเดียว
หากิจกรรมคลายเบื่อ
เอามารวมกันในหัวข้อนี้ เพราะมันก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ยังไม่ได้ใช้ระยะเวลาจริงจังกับมันได้นานนัก ช่วงปลายปีเลยได้มาเริ่มเรียนภาษาจีน เหตุผล 2 ข้อคือ 1. อยากให้ตัวเองไม่รู้สึกจมกับงานมากเกินไป มีประเด็นใหม่ ๆ ให้ผ่อนคลายสมอง 2. อยากสนทนาภาษาจีนพื้นฐานได้ เวลาไปเที่ยวประเทศที่ใช้ภาษาจีน เรียนแค่ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก่อนเข้างาน (ที่เรียนอยู่ใกล้ที่ทำงาน)
ความรู้สึกแรกที่ได้เรียนคือ “นี่มันคือตัวฉันที่เกาหลีเมื่อ 8 ปีที่แล้ว!” จากที่ไม่รู้อะไร ไม่มีพื้นฐานเลย การจะเริ่มต้นจำคำศัพท์อะไรได้แต่ละคำก็ค่อนข้างยากมากเลย แต่ก็ไม่รู้สึกกดดันอะไรตัวเองมาก คงเรียนให้ต่อเนื่องเพื่อรู้คำศัพท์พื้นฐานไปก่อน หาซีรีย์ไต้หวันมาดูเล่น เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเรียน เลยได้มีโอกาสดูเรื่อง Before We Get Married (我們不能是朋友) เห็นว่าเรื่องนี้คนดูเยอะและพูดถึงกันช่วงต้นปี กับเรื่อง The Teenage Psychic (通靈少女) อันนี้เพื่อนไต้หวันแนะนำมา เป็นซีรีย์เก่าหน่อยแต่แฝงข้อคิดไว้ค่อนข้างดี จากปกติที่ไม่ดูซีรีย์อีกก็ได้เปลี่ยนนิสัยเล็ก ๆ ให้กลับมาสนใจกับการดูซีรีย์บ้างกับฝึกการฟัง
และกิจกรรมใหม่ ๆ ที่ได้ทำก่อนจะข้ามสู่ปีใหม่ ก็ได้ไปหากิจกรรมทำอย่างหนึ่งคือ “เล่นสกี” กับ “ปีนเขา” สองกิจกรรมยอดนิยมของคนเกาหลี การปีนเขาเนี่ย ไม่เคยคิดที่จะปีนเลย เหมือนเดิม เป็นคอมฟอร์ทโซนที่ใหญ่มาก !! ต้องเตรียมตัว เตรียมร่างกาย ตื่นเช้า พี่ที่ทำงานคนไทยชวนไป ตอนนั้นคือตอบตกลงไว้ก่อนเหมือนเป็นการกระตุ้นให้ตัวเองออกมาทำอะไรบ้าง
เดินทางออกจากโซลแต่เช้าไปเมือง เริ่มตั้งแต่เช้าถึงเย็น โหยยย.. ไม่ได้เหนื่อยแบบนี้มาในรอบ 10 ปี ! เอาเป็นว่าจำไม่ได้เลยว่าเหนื่อยล่าสุดคือครั้งที่เท่าไหร่
การค่อย ๆ ปีน เหยียบหินไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นปลายทางนี่เหนื่อยจริง แต่เมื่อขึ้นไปถึงยอดแล้ว มันก็ฟินอย่างว่าจริง ๆ และถ้าข้างบนมีของอร่อยเป็นรางวัลรออยู่ การปีนเขาครั้งที่ผ่านมามันสมบูรณ์แบบมาก แต่ก็นะ ปวดขาไปเต็ม ๆ 3 วัน
เล่นสกีก็ได้คำแนะนำมาจากรุ่นพี่เช่นกัน อยู่เกาหลีมา 7 ปี ไม่เคยมีโอกาสได้ลองเล่นสกีเลย เลยคิดว่าอยากจะลองดู เลยได้ไปจองคอร์สเรียน 2 ชั่วโมง เช่าชุด อุปกรณ์ ไปลองเล่นดู ก็พบว่ามันสนุกบนความเสี่ยงจริง ๆ ตอนเล่นก็ต้องเอาลูกบ้าใส่ไปเยอะ ๆ อย่าไปกลัว ก็จะทำให้พอเล่นได้ พูดอย่างงี้ก็ใช่ว่าจะเล่นได้เยอะ หรือเรียนรู้ได้เยอะ แค่น้ำจิ้มอย่างเดียว กับพอได้รู้ว่า “อ๋อ สกีมันเป็นแบบนี้นี่เอง !”
มาย้อนดูตัวเองแบบนี้เรื่องเล่าเรามีเยอะมาก แต่สุดท้ายคือไม่เคยคิดจะแบ่งเวลามาเขียนให้เท่าไหร่ ที่รู้สึก regret กับตัวเองอย่างหนึ่ง คือ ไม่ได้เล่าเรื่องชีวิตจุกจิก ๆ ในเกาหลีเยอะมาก และคิดว่าปี 2020 น่าจะแบ่งเวลาสำหรับการเขียนเรื่องราวชีวิตที่นี่ไว้บ้าง
สิ่งที่อยากทำในปี 2020
- จัดการเวลา
เหมือนเดิม จะพยายามจัดการเวลาตัวเองให้ดีขึ้น เอาเวลาว่างมาเขียนบล็อก เขียนบทความให้เป็นกิจวัตรมากขึ้น
- จัดการเงิน
ไม่เคยมีแผนนี้อยู่ในปีไหน แต่ก็ทำพวกรายรับ-รายจ่ายมาเรื่อยๆ คิดว่าน่าจะต้องหาทางการใช้เงินที่ดีกว่านี้ แม้ปี 2020 จะมีอะไรหลายอย่างไม่แน่ไม่นอน แต่ก็ไม่ควรประมาทกับการใช้จ่าย
- ท้าทายกับสิ่งใหม่ ๆ
ยังบอกไม่ได้อีกนั่นแหละว่าในปี 2020 จะได้เจอกับอะไร จะไปท้าทายอะไร ขอแค่ถ้ามีอะไรที่น่าสนใจ ก็พยายามจะบอกกับตัวเองว่าให้ทำ ๆ ไปเถอะ ! เริ่มต้นไปก่อน !
สิ่งที่อยากบอกกับตัวเองและแชร์กับคนอ่าน
บางทีจังหวะก็สำคัญ แต่ไม่สำคัญเท่าได้ลงมือทำไปก่อน
ขอให้ปี 2020 (2563) เป็นปีที่เต็มไปด้วยพลังดี ๆ ขับเคลื่อนทั้งปีไปได้อย่างมีความสุขนะครับ 🙂