ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เกาะฮอกไกโดอีกครั้งครับ หลังจากที่เคยมีโอกาสไปเมื่อ 4 ปีก่อนในหน้าหนาว รอบนี้อยากเปลี่ยนบรรยากาศลองไปฮอกไกโดหน้าร้อนดูบ้าง ก็เลยได้จัดทำทัวร์ย่อม ๆ กับสมาชิกร่วมเดินทาง 9 คน รวมผมด้วยก็เป็น 10 คน เรียกว่าเป็นการฟอร์มทีมการเดินทางที่ ‘ยิ่งใหญ่’ มาก เลยมีโจทย์ให้คิดตามมามากมาย
แน่นอนครับว่าถ้าสมาชิกร่วมเดินทางไปด้วยมีจำนวนเยอะ ก็จะมีเรื่องที่ต้องให้คิดหลายเรื่องหน่อยครับ เช่น
- ที่พัก
- เรื่องที่ต้องคิดส่วนใหญ่ก็จะไม่พ้น จำนวนสมาชิก การจัดสรรห้อง รูปแบบห้อง รูปแบบที่พัก หรือบางทีก็มีปัจจัยเรื่องราคา มีดีลพิเศษก็ต้องเลือกเก็บเอาไว้ก่อน ส่วนจะจองโรงแรม หรือ AirBNB ก็ต้องบอกว่า Case-by-case สามารถรองรับคนพักได้เยอะ (6-15 คน) หารเฉลี่ยก็ราคาไม่แพง มีตัวเลือกเยอะ บางที่ห้องมีขนาดใหญ่ แต่ห้องน้ำมีจำนวนน้อย ก็จะไม่สะดวกในการทำธุระพร้อมกัน (นึกภาพตามว่า 10 คน จะต้องอาบน้ำตอนเช้า ในขณะที่ห้องอาบน้ำอาจมี 1 หรือ 2 ห้อง) ฟังดูแล้วไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร ถ้ามาหลายกลุ่ม การจัดสรรห้องพักเป็นห้องๆ หรือจองผ่านโรงแรมก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
- อาหารการกิน ร้านอาหารในญี่ปุ่นเด็ดๆ ส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้รองรับนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มเสียทุกร้าน การหาร้านอาหารอาจจะต้องเล็งจากจำนวนสมาชิกเป็นหลัก
- ก็ต้องอาศัยหาอ่านรีวิวหรือเน้นเดินกิน แวะกินเป็นหลักอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ในรีวิวนี้จะแนะนำร้านอาหารที่อยู่ในทริปเพื่อประกอบการตัดสินใจ สำหรับใครที่คิดจะทำทัวร์เที่ยวเองย่อมๆสำหรับครอบครัวหรือเดินทางเป็นหมู่คณะ
- จำนวนคนเยอะ อีกสิ่งที่ควรเช็คคือ รสนิยมการกิน ข้อจำกัดอาหารต่างๆ ที่แตกต่างกัน ก็ต้องหาร้านอาหารที่มีเมนูหลากหลาย หรือเป็นบุฟเฟ่ต์ หรือจัดสรรเวลาสำหรับการทานอาหารแยกกันตามความชอบ
- การเดินทาง
- จะสะดวกทุกอย่างหากมีใครสักคนที่สามารถขับรถได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ผม การไปดูดอกไม้ในช่วงหน้าร้อนที่ฮอกไกโด เป็นความฝันของผมเลย แต่ติดที่ว่าการจะเดินทางไปในละแวกโซนดอกไม้ เท่าที่ได้ยินมาคือการเดินทางด้วยรถส่วนตัวจะเดินทางสะดวกมาก เลยเป็นความท้าทายของผมที่จะต้องหาวิธีการเดินทางโดยไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งก็จะมีทัวร์ญี่ปุ่นกับไกด์ท้องถิ่นที่พอเป็นทางออกได้ จำนวนสมาชิกยิ่งเยอะเท่าไหร่การเดินทางต้องระวัง โดยเฉพาะที่ต้องเดินทางโดยใช้รถไฟ – รถบัส จะพลัดหลงกันระหว่างทางได้ง่ายเพราะช่วงที่คนพลุกพล่านก็เยอะจริงๆ รวมไปถึงความตรงต่อเวลา หากจัดทริปท่องเที่ยวหลายคนจะต้องคอยเป็นหูเป็นตา เตือนกันตลอดเวลา ว่า “ห้ามสาย!”
- แผนการเดินทาง
- ถ้าจำนวนสมาชิกยิ่งเยอะเท่าไหร่ การบรีฟรายละเอียด ภาพรวมทริปทั้งหมดล่วงหน้ามาก่อนเดินทาง จะทำให้การสื่อสารกระชับขึ้น เข้าใจตรงกัน อาจจะร่างเหมือนกับทัวร์คร่าวๆ การแต่งตัวในแต่ละวันเป็น Guideline วันไหนมีช็อปปิ้ง วันไหนเดินเยอะ หรือวันไหนกินปิ้งย่าง ก็จะได้เลือกการแต่งตัวที่เหมาะสมในแต่ละวันได้
- อินเทอร์เน็ต
- ยุคนี้ต้องเร็วครับ มีอะไรต้องถ่ายทอดลงโซเชียล แม้ไม่ได้ติดโซเชียลแต่การจะติดต่อสื่อสารกันระหว่างกลุ่ม ใครตกหล่นอยู่ตรงไหน หรือนัดแนะเวลา มันก็ยังจำเป็นต่อการเดินทางอยู่ดี จำนวนเยอะเท่าไหร่ ควรกระจายไว้ครับ ครั้งนี้ผมเช่าเป็น Wifi พกพา (Portable Wifi) มาใช้ แต่จำนวนก็ไม่เพียงพอกับการใช้งาน แถมต้องอยู่ติด ๆ กันเพื่อให้สัญญานทั่วถึงตลอดเวลา เลยคิดว่าการเดินทางหากสะดวกก็ควรจะมีซิมอินเทอร์เน็ตสำหรับเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศไว้ประจำเลยของใครของมัน
ถ้าพอจะจับแนวทางตรงนี้กันได้แล้ว การจัดทริปเล็กๆ เพื่อเดินทางกับครอบครัว เพื่อน ญาติพี่น้อง ก็ไม่น่าจะเหนื่อยอย่างที่คิดนะครับ (หวังว่า) …
วันที่ 1 : เดินทางสู่เกาะฮอกไกโด
ทริปนี้บอกเลยว่าพิเศษเหมือนเดิม ผมได้เพื่อนญี่ปุ่น 2 คนมาร่วมเดินทางไปด้วย คนหนึ่งเป็นขาประจำที่เดินทางไปญี่ปุ่นที่ไรจะได้รับการช่วยเหลือตลอด ถิ่นกำเนิดคือโอซาก้า แต่ว่าตัวเองก็อาสาพามาเที่ยว ตีตั๋วมาฮอกไกโดโดยเฉพาะ อีกคนเป็นเพื่อนของเพื่อน บ้านเกิดคือฮอกไกโด เมืองซัปโปโร ด้วยความที่เพื่อนกลัวว่าตัวเองจะนำทางได้ไม่ดี เลยไปชวนเพื่อนเจ้าถิ่นมาร่วมแจมด้วย
ผมเดินทางออกจากเกาหลี มาเจอกับกลุ่มป้า ๆ ที่เดินทางมาจากประเทศไทยครับ เราก็ได้มีการนัดแนะ เวลาที่จะถึงโดยคร่าวๆ เมื่อผมถึงสนามบิน ผ่านทุกกระบวนการตม. มาเรียบร้อยแล้ว เราก็จะมาอยู่ในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ Terminal 2 ของสนามบินชิโตเสะ (New Chitose Airport) ครับ ผังของสนามบินก็จะมีสองอาคารใหญ่ๆ Terminal 1 และ Terminal 2 ที่เชื่อมหากัน แต่เมื่อผมออกมาก็พบว่าไม่เจอใครเลย !! คิดว่าเป็นเซอร์ไพรส์แต่ก็ไม่ใช่ ก็รออยู่ได้สักพัก จนออกสำรวจทั่วสนามบินก็ไม่เจอ ก็เลยกลับมาแถว ๆ ที่เดิม ก็พบว่าทุกคนมารวมตัวกันซื้อซอฟต์ครีม ละลายเงินเยนตั้งแต่ยังไม่เข้าเมืองกันเลย !
การเดินทางเข้าตัวเมืองจากสนามบินชิโตเสะ มีด้วยกันหลายวิธีครับ ผมเคยเขียนไว้ในบล็อกการเดินทางฮอกไกโดครั้งแรก ครั้งนี้จะต้องแบกกระเป๋าหลายใบด้วยกัน การเดินทางด้วยรถไฟอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เลยตัดสินใจว่าจะนั่งรถบัสจากสนามบินไปแทน
นั่งบัสจากสนามบิน Chitose เข้า Sapporo
การเช็คเส้นทางรถบัสสนามบิน ผมใช้วิธีการค้นหาเส้นทางจากใน Google Maps คร่าว ๆ ก่อน ว่ามีรถบัสผ่านไปโรงแรมของเราหรือเปล่า แม้ว่ารายละเอียดบน Google Maps จะไม่ได้บอกถึงขั้นว่าต้องขึ้นรถหมายเลขอะไร แต่ก็จะบอกป้ายที่ต้องลงได้ เป็นภาษาญี่ปุ่น ก็อาจจะเอาไป Google Translate แปลเป็นภาษาอังกฤษอีกที ให้เราไปค้นหาในเว็บ Airport Bus อีกครั้งหนึ่ง หรือจะใช้วิธีการถามโรงแรมโดยตรงเลยก็ได้ครับว่า เราควรต้องนั่งรถบัสไปลงป้ายไหนที่จะใกล้โรงแรมมากที่สุด
จุดขึ้นรถบัสอยู่ชั้น 1 ของอาคาร Domestic (Terminal 2) เดินตามป้าย ลงบันไดเลื่อนมาที่จุดซื้อตั๋วได้เลย
เดินไปที่ เคาน์เตอร์ Choubus Information แล้วก็แจ้งป้ายที่เราต้องการลง บอกจำนวนคน จ่ายเงินก็จะได้ตั๋วและรายละเอียดจุดขึ้นรถมาตามกระดาษในรูปข้างบนครับ ค่าใช้จ่ายในการเข้าเมือง 1,100 เยน/คน/เที่ยว และมีส่วนลดเมื่อซื้อ 4 ใบ (ตกใบละ 1,000 เยน)
จุดขึ้นรถก็จะเป็นชานชาลาที่ 14 ซึ่งอยู่ถัดไปจากเคาน์เตอร์ชำระเงิน ไม่ได้เป็นแบบระบุที่นั่ง ดังนั้นไปจัดระเบียบแถว ต่อแถวขึ้นรถบัสกันได้เลย
ข้อดีของรถบัสก็คือจะมีประกาศเสียงเป็นภาษาอังกฤษบอกทุกป้าย ทำให้ความกังวลลดลงไปหน่อย กว่าจะเดินทางเข้าตัวเมืองก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมงครับ ตามที่พนักงานเขียนไว้ในโน้ตเลย และลืมบอกอีกเรื่องก็คือ ! ขากลับ จะใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ เนื่องจากว่ารถบัสจะต้องจอดรับผู้โดยสารมากเป็นพิเศษบวกกับการจราจรที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เลยเขียนว่าขากลับสนามบินใช้เวลา 2 ชั่วโมง ! ผมเลยไม่ได้จองตั๋วรถขากลับเพราะผิดแผนจากเดิม เลยคิดว่าอาจจะได้นั่งรถไฟใต้ดินเข้าสนามบิน (เนื่องจากขากลับเป็นไฟลท์เช้า 08.40 น.) แต่ถ้าให้สรุปตอนจบเลย เรานั่งรถบัส Limousine แบบเดิมกลับมาที่สนามบิน โดยไปรอขึ้นแต่เช้า รอบเช้าสุดจากสถานีใกล้ที่พัก Susukino 05:18 น. (ซึ่งคนก็ไม่ค่อยเยอะอย่างที่คิด) รายละเอียดจะเอาไปสรุปอีกครั้งตอนท้ายบล็อก…
มุ่งหน้าสู่โรงแรม และตลาดปลา Nijo
โรงแรมที่เลือกใช้บริการทั้งทริปนี้ตั้งอยู่ใจกลาง Sapporo เป็นหน่ึงในเฟรนไชส์โรงแรม ที่เลือกที่นี่เพราะว่าสะดวกกับการเดินทาง ใกล้กับสวนสาธารณะ แหล่งช็อปปิ้ง (ใกล้มากกก เดินแค่ 5 นาทีถึง) ที่นี่คือ ตอนจองก็อาจจะดูให้ดีเพราะโรงแรมที่นี่มีหลายสาขา
มาถึงที่พักก็ยังได้แค่ฝากกระเป๋า แต่เราก็สามารถตบเท้าออกเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ ๆ ได้ก่อน เดินตามเพื่อนไป ตลาดปลา Nijo Fish Market ก็ถือว่าเป็นครัวซัปโปโร เพราะเป็นตลาดใหญ่ที่รวมอาหารสดไว้มากมาย ผมพยายามให้เพื่อนหาร้านที่ฝากท้องได้สำหรับมื้อเที่ยง ก็มาเจอร้านที่อยู่ในตรอกชื่อร้านว่า “魚屋の台所別邸”
เป็นร้านสไตล์ Izakaya คือเป็นร้านเล็กๆ ที่มีที่นั่งเป็นบาร์ให้นั่งทานกับโต๊ะรองรับได้ 2 โต๊ะใหญ่ ซึ่งก็พอดีกับลูกค้า 10 กว่าคนของเราพอดี นั่งกันเบียดหน่อยๆ แต่ก็ได้สั่งอาหารที่ต้องการมาคนละชาม
ร้านนี้จะขายข้าวหน้าปลาหรือ Kaisendon ที่มักจะมีปลาหลายชนิดวางบนข้าว ให้เราราดซอสแล้วคลุกทานกับข้าว เฉลี่ยชามอยู่ที่ละประมาณ 1,500 ~ 3,000 เยน
รสชาติอาหารแถวนี้ออกไปทางเค็มสักหน่อย ใครที่ไม่ทานเค็ม ไม่น่าจะชอบสไตล์นี้ โดยภาพรวมยังกลาง ๆ แต่เป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับคนที่หิวโซเซ ส่วนใหญ่ร้านค้าในตลาดจะเหมาะกับการซื้อของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่า เพราะเป็นย่านท่องเที่ยว ราคาย่อมสูงบ้าง ของบางอย่างสามารถหาซื้อได้ที่สนามบิน (ฝั่ง Domestic) ได้เช่นกัน แต่ถ้าใครอยากซื้อของแล้วเตรียมแพ็คใส่กระเป๋า ก็มาหาเดินได้จากตลาดเช้านี้ได้เลย
กินข้าวเสร็จก็เดินย่อย มาสำรวจ ตรอกทานุกิโคจี (Tanukikoji) เป็นย่านช็อปปิ้งชั้นดีที่รวมร้านค้าไว้เป็นหลักร้อย เดินช็อปกันเพลิน ๆ ทั้งเครื่องสำอาง ร้านยา เสื้อผ้า รองเท้า ก็มาเดินเลือกได้สบาย ๆ อยู่ห่างจากตลาดประมาณ 10 นาที
ด้วยเป็นย่านช็อปปิ้ง ก็จะมีสินค้าบางรายการที่ถูกหรือนำมาจัดรายการ แพงถูกปนกันไป มีตรอกซอกซอยอยู่เต็มไปหมด จะว่าไปเดินช็อปปิ้งตรงนี้ก็เพลินดีครับ
ห้องพักที่โรงแรม WBF Sapporo Chuo
กลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ที่ชอบโรงแรมนี้จุดหนึ่งคือมีมุมให้ผู้ที่เข้าพัก สามารถเลือกตักผงอาบน้ำ เลือกกลิ่นที่ชอบ แล้วใส่ถุงนำไปใช้อาบน้ำที่ห้องได้ เข้าใจว่าทุกห้องพักจะมีเป็นอ่างอาบน้ำ รวมไปถึงกาแฟที่มีบริการตลอดเวลาก็รู้สึกว่าเตรียมความพร้อมไว้ให้ค่อนข้างดี พอถึงเวลาเช็คอินได้แล้ว ก็จะต้องมีจ่ายค่ามัดจำคีย์การ์ด และผมต้องการทานอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมด้วย ก็มาชำระเงินเพิ่มเติมได้ที่โรงแรมตอนเช็คอิน (บุฟเฟ่ต์หัวละ 1,300 เยน)
ห้องพักที่จองเป็นห้องแบบ “Twin room” เป็นห้องเตียงเดี่ยว 2 เตียง มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเป็นตู้เย็นขนาดเล็ก, เครื่องฟอกอากาศ มีโต๊ะทำงานเล็ก ๆ ให้ด้วย นอกจากนี้ก็มีโทรศัพท์มือถือ เข้าใจว่าไว้สำหรับใช้งาน อ่านไกด์ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ซึ่งเอาจริง ๆ ไม่ได้ใช้ครับ
ห้องน้ำมาตรฐานเลยคือมีอ่างอาบน้ำ สบู่ แชมพู คอนดิชันเนอร์ อะไรให้ครบหมด
มื้อเย็นที่ร้าน Ebiten Bunten
กลับมาพักที่โรงแรมได้สักครู่ ก็นัดเวลากินข้าวเย็นกันครับ สถานที่สำหรับมื้อเย็นก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักสักเท่าไหร่ เดินมาประมาณ 10 นาที มื้อเย็นนี้มาฝากท้องที่ร้าน “Ebiten Bunten” ซึ่งเป็นร้านเทมปุระที่อร่อยมากกก… ขอสปอยล์รสชาติอาหารตั้งแต่ยังไม่รีวิวอาหาร !
ร้านนี้ก็ถือว่ากว้าง รองรับลูกค้าได้หลายคน มีเป็นห้องแบบส่วนตัวเลยก็มี ด้วยความที่ตอนเราเดินทางไปเพื่อนโทรศัพท์ไปจอง เลยได้ห้องแยกมาพิเศษเลย สำหรับรายการอาหาร โชคดีที่มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษ และเมนูภาพทำให้การเลือกอาหารไม่ค่อยยากมาก จะมีเป็นเทมปุระหน้าต่างๆ ตั้งแต่ปู กุ้ง รวมมิตร (Kakiage) ราคาอยู่ที่ชามละ 900 เยน ไปจนถึง 3,000 เยน (เซ็ต) ตามขนาด
ในเซ็ตบางเซ็ตก็จะมีข้าว มีผักดอง เครื่องเคียงตามมาให้มากมาย รสชาติโอเคเลยครับ และถูกใจผมที่สุดคงจะเป็น “Kakiage” มันคล้าย ๆ กับทอดมัน ?? ข้างในมีไส้หลายอย่าง พอทานกับข้าวแล้ว กรอบ หอม อร่อย รสชาติเยี่ยมมากครับ
ได้พาสมาชิกทัวร์ทานมื้อเย็นครบถ้วน ก็เป็นว่าไม่มีอะไรต้องห่วงสำหรับวันนี้แล้วครับ กลับโรงแรมแล้วไปพักผ่อนเตรียมตัวกันวันต่อไปได้ …
ห้องอาหารเช้าที่โรงแรม WBF Sapporo Chuo
การทานอาหารเช้าที่โรงแรมตอนเช้า บอกก่อนเลยว่าจะสะดวกสำหรับการเตรียมตัวเดินทางในแต่ละวัน ยิ่งสมาชิกหลายคนที่ตื่นนอนเช้า-สาย ไม่พร้อมกัน ใครสะดวกมาทานอาหารเช้าก่อน ก็สามารถเตรียมตัวทานได้ทันที กับตัวเลือกอาหารที่หลากหลายจะทำให้ไม่มีข้อจำกัดในการทาน และเลือกทานได้ตามความชอบ เป็นตัวเลือกที่คิดว่าเลือกมาถูกต้องมาก ๆ 555
ห้องอาหารที่โรงแรม WBF เปิดให้บริการเช้ามาก จำได้ว่า 07.00 น. ก็ลงมากินอาหารเช้ากันแล้ว และยาวไปจนถึง 9-10 โมง เราจะได้เป็นคูปองทานอาหารเช้า ลักษณะของอาหารเช้าก็จะมีหลากหลาย เป็นบุฟเฟ่ต์ให้เลือกตักทาน มาตรฐานสไตล์โรงแรมคือ ของคาว ของหวาน เครื่องดื่ม และพิเศษหน่อยสำหรับที่พักหลาย ๆ ที่ ที่จะต้องมีอาหารทะเล ซาชิมิ ปลาดิบ ไข่ปลา ผักนึ่งต่าง ๆ ให้เลือกทานได้ตามใจ
โซนอาหารเช้า เรียกว่าตกแต่งภายในได้น่ารัก มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะดี จบทริปเราก็มีการประเมินความพึงพอใจ คณะทัวร์ของเราพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ประทับใจมื้อเช้ามาก” 555
เสร็จภารกิจมื้อเช้าแล้ว ก็เตรียมเดินทางกันต่อครับ…
จองทัวร์ชมดอกไม้ที่เมือง Furano
จุดชมดอกไม้ ทุ่งดอกไม้ ลาเวนเดอร์ ที่โด่งดัง มีชื่อเสียงในเกาะฮอกไกโด ก็คงจะไม่พ้นย่านท่องเที่ยวสำคัญอย่าง “ฟูราโนะ (Furano)” ครับ ที่นี่ก็เป็นหนึ่งเมืองที่การเดินทางมีรถไฟอะไรเข้าถึงได้บ้าง (บางส่วน) แต่จากที่ทำการบ้านมา คนส่วนใหญ่เลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวด้วยเหตุผลที่ว่า สะดวกกับการเดินทาง ในเมือง Furano มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายอย่าง
พอมาพิจารณาเรื่องการเดินทางกับสมาชิกที่ร่วมเดินทางด้วยเป็นสิบ การจะใช้รถไฟเพื่อไปต่อรถบัสเข้าไปตามฟาร์มดอกไม้ต่างๆ ไม่น่าจะสะดวก (จินตนาการ ภาพก็ไม่ตามมา) เลยต้องมาหาข้อมูลว่าจะมีทัวร์แบบ 1 วัน ให้เราสามารถเดินทางได้สะดวกหรือเปล่า ก็มาเจอกับ “Chuo Bus : Sightseeing Bus” เป็นบริการรถบัสทัวร์ชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ทั่วเกาะฮอกไกโดะเลย โดยจะมีเป็นคอร์สให้เลือกในหน้า All Course List
รายละเอียดที่ต้องเช็คก็คือรูปแบบทัวร์ที่เราสนใจ เส้นทาง ระยะเวลา ที่สำคัญโดยเฉพาะช่วงฤดูกาลชมดอกไม้ จะมีการเขียนไว้ชัดเจนว่าระยะเวลาเดินทางคือช่วงไหน รายละเอียดเนื้อหาในเว็บไซต์นี้จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทุกปี (ลิงก์รายละเอียดในหน้าเว็บก็เปลี่ยนไปทุกปีด้วย) ราคาทัวร์ก็จะแตกต่างกันไปตามระยะเวลา
ที่ผมเลือกเดินทางก็จะเน้นการชมฟาร์ม ทุ่งดอกไม้สำคัญ ๆ ในระยะเวลา 1 วัน (09.00 ~ 19.30 น.) มีค่าใช้จ่ายตกคนละประมาณ 7,000~8,000 เยน
ตอนจองเราสามารถทำรายการจากปุ่ม Click here for reservation ได้เลย โดยกรอกรายละเอียดผู้เดินทาง, หมายเลยทัวร์ที่ต้องการ, จำนวนคนเดินทาง, ค่าใช้จ่ายทั้งหมด (คำนวณเองอ้างอิงตามจำนวนเด็กและผู้ใหญ่) แล้วก็กดส่งไป เข้าใจว่าก็จะมีการคอนเฟิร์มรายการจองอีกครั้ง และรายละเอียดจะส่งไปทางอีเมล
ผมได้รับข้อมูลตอนจองเสร็จผ่านทางอีเมล อ่านในรีวิวจาก Pantip ก็พบว่าก่อนเดินทางเราจะได้เอกสารยืนยันการเดินทาง แต่เนื่องจากผมไม่ได้รับ เลยให้เพื่อนโทรศัพท์ไปเช็คกับที่ Call Center ก็พบว่า “ไม่มีรายละเอียดการจองของคุณ” เพื่อนก็จัดการคอนเฟิร์มตารางให้อีกครั้งทุกอย่างก็ผ่านไปราบรื่น ก็เลยได้บทเรียนจากตรงนี้ว่า “ควรตรวจสอบการจองก่อนเดินทาง และเลี่ยงการจองวันหยุด เพราะบางทีพนักงานจะตกหล่นรายการจองระหว่างวันได้ (จำได้ว่าตอนจองไปจองวันอาทิตย์ค่ำๆ)”
เดินทางขึ้นรถที่ Sapporo Station Bus Terminal
ทัวร์ 1 วันของที่นี่ ตอนจองจะเขียนเอาไว้ชัดเจนเลยครับว่า “ต้องมาก่อนล่วงหน้า 20 นาที” เราก็เดินออกจากที่พักตั้งแต่ 08.00 น. ล้อหมุน 09.00 น.
เดินมาตามเส้นทางใน Google Maps จนมาพบกับตึกห้าง ESTA ใหญ่ ๆ นี้ครับ มาตามป้ายและบันไดใหญ่ ๆ ขึ้นมาจะเป็นจุดซื้อตั๋ว/แลกตั๋ว รถบัส-ทัวร์ต่าง ๆ ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่
ผมก็นำรายละเอียดการจองไปยื่นที่เคาน์เตอร์ พร้อมกับชำระเงิน เราสามารถชำระด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ครับ ตอนเดินทางเอาบัตร Krungthai Travel Card มาลองใช้ ปรากฏว่าจุดๆนี้ใช้ได้ครับ ! ด้วยความที่ผมเองอยากทดสอบขอบเขตข้อจำกัดของบัตรนี้ เลยลองเอามาใช้ตามจุดต่าง ๆ ตรงไหนใช้ได้-ไม่ได้ยังไง คงมีเขียนแทรก ๆ เอาไว้บ้าง แต่เดี๋ยวจะเข้าใจว่าเรา tie in บอกไว้ก่อนว่า “ไม่ใช่ !”
ตรงนี้มีห้องน้ำ ตู้น้ำ บริการอยู่ การมาก่อนเวลาเป็นสิ่งสำคัญมากเผื่อว่าใครจะติดทำธุระอะไร เมื่อใกล้เวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่ มาชูป้ายตัวอักษรภาษาอังกฤษ (หมายเลขทัวร์) ให้เราเรียงแถวแล้วเดินลงไปที่จุดขึ้นรถชั้นล่าง ก็จะมีรถมารอรับอยู่ ตำแหน่งที่นั่งก็เลือกได้ตามอัธยาศัย
ทัวร์ไม่ได้มีบริการอาหาร-เครื่องดื่มเหมือนบ้านเรา ก็อาจจะพกน้ำดื่มเล็ก ๆ น้อยมาได้ครับ จะมีไกด์ท้องถิ่นที่พูดภาษาญี่ปุ่นตลอดทั้งทริปให้นั่งฟัง และฝึกภาษากันเพลิน ๆ (ไม่มีภาษาอังกฤษเลยสักตัว) เพื่อนญี่ปุ่นผมร่วมเดินทางมาด้วย (ซึ่งก็เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเหมือนกัน ที่ได้มานั่งและใช้ทัวร์บริการในประเทศของตัวเอง) ที่ตลกอย่างหนึ่งคือ ทั้งคันนอกจากเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 10 ชีวิตแล้ว ก็มีนักท่องเที่ยวชาวจีนอีกราว ๆ 10ชีวิต นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ผมสังเกตได้มี 2 คนถ้วน คือเพื่อนของผมและคุณป้าที่นั่งข้าง ๆ แม้ว่าทั้งคันแทบจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็ไม่ได้มีการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษช่วยแต่อย่างใด (เพราะทัวร์ที่เลือกมาไม่ได้เป็นแบบภาษาอังกฤษ) แต่ก็ดีที่เพื่อนของผมคอยส่งไลน์ อธิบายอยู่เรื่อย ๆ ว่า ที่ไกด์พูดนั้นหมายถึงอะไร หน้าที่ของผมคือการแปลเป็นภาษาไทย และส่งเข้าไลน์กลุ่ม สำหรับคนที่ต้องการคำบรรยายเพิ่มเติม
(อย่าเพิ่งงงว่าผมคุยกับเพื่อนญี่ปุ่นได้ยังไง ผมสื่อสารกับเพื่อนด้วยภาษาเกาหลีครับ เพื่อนฟังภาษาญี่ปุ่น มาเขียนเป็นเกาหลีให้ผม และผมสื่อสารภาษาไทยกับคณะอีกที)
ตารางทัวร์ 1 วันที่ Furano
09.00 ล้อหมุน
09.45 พักผ่อนที่จุดพักรถ Iwamizawa Rest Area (15 นาที)
11.20-11.45 จับจ่าย ช็อปปิ้งที่ Campana Rokkatei กลางสวนองุ่น (25 นาที)
12.05-13.45 เดินทางถึงโรงแรม New Furano (100 นาที) – ทานอาหารเที่ยงของโรงแรมแบบบุฟเฟ่ต์ – พักผ่อนถ่ายรูปตามอัธยาศัยที่ Furano Drama Museum, Ningle Terrace – ชมสวน “Yasashii Jikan” – Mori no Tokei – Kaze no Garden (ค่าเข้าชมแยกต่างหาก ¥700)
14.10-15.05 ฟาร์ม Farm Tomita (ตามอัธยาศัย 55 นาที)
15.35-16.15 ชมสวน Shikisaino-Oka ชมดอกไม้นานาพันธุ์ รวมถึงดอกลาเวนเดอร์ และทุ่งดอกไม้หลากสี ที่ได้รับคำนิยมและคำชมว่าจัดสวนไล่สีได้สวยงามที่สุด (ตามอัธยาศัย 45 นาที) – ถ่ายรูปกับแนวต้นไม้ในถนน Biei, ชมต้น Ken & Merry (10 นาที) – ถ่ายรูปกับต้น Seven star Tree (วิวจากบนรถ)
17.55-18.15 พักรถ ซื้อของฝากที่ Sunagawa Highway Oasis (20 นาที)
19.30 เดินทางกลับสู่ Sapporo Bus Terminal
จุดพักรถ Iwamizawa Rest Area
หลังเดินทางมาได้ชั่วโมงนิด ๆ เขาก็จะปล่อยให้เราเข้าห้องน้ำครับ จุดตรงนี้ก็จะมีร้านสะดวกซื้อ ห้องน้ำที่คนต่อคิวยาว สุภาพสตรีที่มั่นใจว่าตัวเองต้องเข้าห้องน้ำแน่ ๆ ก็ควรรีบไปจัดการให้เร็วที่สุด เพราะตรงนี้มีทัวร์หลายที่มาจ่อลงเหมือนกันและเวลาตรงนี้ให้แค่ 15 นาที
จุดพักรถก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเล่นด้วยครับ ในฐานะนักท่องเที่ยวมุมแบบนี้เราก็ตื่นเต้นแล้ว
ขึ้นรถต่อมุ่งหน้าไปจุดชมที่แรกครับ ที่นี่เป็น ฟาร์ม Campana Rokkatei ก็จะมีฟาร์มให้ดู วิวสวนสวย ๆ ให้ได้ถ่ายรูปด้วย
เวลาตรงนี้แอบน้อยไปนิดเทียบกับการเลือกหากไม่ได้ทำการบ้านมาครับ หากคุณไม่ได้ทำการบ้านมาคุณจะใช้เวลาในการตัดสินใจเลือกซื้ออะไรสักอย่างนานกว่าปกติ เราจะไม่รู้ว่าอะไรควรซื้อ ไม่ควรซื้อ ลังเลตัดสินใจนาน นอกจากตรงนี้จะมีฟาร์มองุ่นให้ถ่ายรูปแล้ว ยังมีสินค้าขึ้นชื่อมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นขนม ซึ่งด้วยความที่มันเป็นขนมการจะตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อได้นั้นก็ต้องได้ชิมก่อน เลยใช้เวลาคิดอยู่นาน
ไหนจะรวมเวลาเลือก เวลาเข้าแถวจ่ายเงิน บอกเลยครับว่าจุดจอดนี้ทำพวกเราเกือบขึ้นรถไม่ทันเหมือนกัน เพราะจุดตรงนี้ให้เวลา 25 นาที ถ้าถามว่าผมจะแนะนำอะไร ขอบอกเลยครับว่าขนมที่นี่อร่อยหลายอย่างโดยเฉพาะ !! “Marusei Butter” พอได้อ่านคำอธิบาย เขาบอกว่ามันเป็น “แซนด์วิชบัตเตอร์” ผมก็นึกภาพไม่ออกว่าเป็นยังไง แต่จากที่ได้ชิมแล้ว ขออธิบายว่า มันคือขนมที่มีไส้เป็นครีมหอมๆ ข้างใน ตัดหวานด้วยเปรี้ยวของลูกเกด คือเข้ากันดีมากครับ กินเพลิน เป็นขนมที่ได้ชิมแล้วก็ซื้อติดกลับมาไม่ได้มาก เพราะเรื่องของวันหมดอายุ shelf life ที่อยู่ไม่ค่อยได้นานและไม่อยากจะเพิ่มน้ำหนักกันข้ามวันข้ามคืน เป็นขนมที่อยากกลับไปซื้อมากินอีกมากกกกๆๆๆๆ (ตอนที่เขียนบล็อกนี้ท้องก็ร้องไปหลายรอบแล้ว)
ถ้าซื้อไม่ทันจากที่ฟาร์มนี้ ก็มีขายที่สถานี JR Sapporo เหมือนกันครับ หรือตามร้านขายของฝากในสนามบินใหญ่ ๆ แต่อาจจะไม่มีขายแยกซองเล็ก ๆ ให้ชิมก่อน เลยอยากเสนอว่า ถ้าอยากจะชิมขนมจริง ๆ ซื้อที่ฟาร์ม ตัดสินใจได้แล้วค่อยไปหาซื้อในตัวเมืองหรือสนามบินได้ (เผื่อเวลาซื้อให้ดีล่ะ!)
เส้นทางต่อไปก็จะเป็นเส้นทางกินข้าวแล้วครับ บรรยากาศหน้าร้อนที่ฮอกไกโดช่วงเดือนมิถุนายนนี้ก็ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ เดินเที่ยวได้สบาย ๆ เลย เที่ยวเป็นทัวร์ 1 วัน ไม่ได้ให้บรรยากาศอึดอัดแม้แต่น้อย นั่งรถต่อมาประมาณ 20 นาที ก็เดินทางมาถึง แล้วครับ
ที่นี่เป็นโรงแรมค่อนข้างใหญ่ มีห้องอาหารที่มีบริการบุฟเฟ่ต์อาหารกลางวันที่ใหญ่มาก เข้าใจว่าบริษัททัวร์เลยมาใช้บริการที่นี่ เวลาตรงนี้ค่อนข้างเหลือเฟือครับ 1 ชม. 20 นาที ให้ค่อย ๆ นั่งทานข้าว และเดินสำรวจรอบโรงแรม
อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย เป็นบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติครับ รสชาติก็โอเคเลย ตรงนี้ก็กินให้อิ่มเต็มที่แล้วก็เตรียมไปเดินทางกันต่อได้
ออกมาหน้าโรงแรม ลงบันไดไปทางซ้ายมือจะมีเป็นซุ้มต้นไม้ให้ถ่ายรูปครับ ตรงนี้จะเป็นป่า+สวนใหญ่ ๆ ให้เข้าไปถ่ายรูป เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เลยก็ว่าได้ ตรงนี้เรียกว่า “Ningle Terrace”
เข้ามาก็จะเห็นเป็นร้านค้ากระท่อมเล็ก ๆ จำหน่ายสินค้าแฮนด์เมด ราคาก็ค่อนข้างสูงหน่อย แค่ได้มาเก็บภาพและบรรยากาศตรงนี้ก็ฟินแล้วครับ
เสร็จสิ้นจากตรงนี้แล้ว ก็นั่งรถต่อไปอีกประมาณ 20 นาที ก็เป็นที่ตั้งของฟาร์ม Tomita ครับ ฟาร์มนี้ขึ้นชื่อเรื่องของลาเวนเดอร์ แน่นอนว่าพูดถึงลาเวนเดอร์ ส่วนใหญ่ก็มักจะพูดถึงฟาร์ม ๆ นี้ ที่ต้องมาชิมช็อปใช้จ่ายที่นี่
ฟาร์ม Tomita
ทัวร์ให้ระยะเวลาตรงนี้ประมาณ 55 นาทีครับ ตามอัธยาศัย ซึ่งเพียงพอกับการเดินชมสวน ถ่ายรูปรอบ ๆ เลือกซื้อของฝากหรือทานซอฟต์ครีม ที่นี่ก็จะมีซอฟต์ครีมลาเวนเดอร์รสยอดนิยม และรสชาติอื่นๆ ให้กินกันคลายร้อน
ช่วงที่เดินทางคือประมาณต้นร้อนของฮอกไกโด (ต้นเดือนมิถุนายน) ฟาร์มดอกไม้พวกนี้จะยังไม่เบ่งบานแบบสุด ๆ ครับ โดยเฉพาะลาเวนเดอร์ ก็จะมีพืชพันธุ์บางชนิดที่ได้ให้เห็นบ้าง ส่วนตัวก็ไม่ได้ถึงขั้นผิดหวังอะไร เพราะได้ออกจากเมืองมาเห็นกับความสดชื่น ทุ่งหญ้า แค่นี้ก็เพลินมากแล้วครับ
สวนชิกิไซโนะโอกะ (Shikisaino-Oka)
สถานที่สุดท้ายของทัวร์วันนี้ครับ “ชิกิไซโนะโอกะ” ที่นี่ก็เป็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสายพันธุ์เช่นกัน ระยะทางก็ห่างจากฟาร์ม Tomita 30 นาที เรียกว่ามาโซนนี้สามารถรับชมได้หลากหลายสวนเลย
จุดเด่นของสวนที่นี่ คงเป็นเรื่องลักษณะความชันของเขา ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ไม่เหมือนที่อื่นครับ และดอกไม้ตรงนี้จะค่อนข้างมีหลากหลายสายพันธุ์ และเข้าใจว่าถ้ามาถูกช่วงเวลา ช่วงที่บานเต็มที่น่าจะได้เห็นการไล่สีของดอกไม้แบบสุดๆครับ มีเวลาเดินประมาณ 45 นาที สามารถเข้าห้องน้ำ และเลือกซื้อของฝากได้จากจุดนี้เช่นกัน ทางไกด์ก็กำชับมาว่าให้ทำธุระเนิ่นๆ เนื่องจากเสร็จสิ้นจากตรงนี้แล้ว รถจะยิงยาว 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่อไปจุดพักรถและเข้าสู่ตัวเมืองซัปโปโรต่อไปครับ
ทางกลับก็จะผ่านถนน Biei ซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นไม้ที่เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม เราจะไม่ได้ลงไปถ่ายแต่คนขับจะชะลอรถให้ได้ถ่ายรูปจากบนรถ ภาพที่ได้ก็จะประมาณนี้ครับ…
จบทั้งทริปก็ได้เริ่มมืด ๆ พอดีครับ ผมเองค่อนข้างสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเพราะว่ามีบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างรออยู่คืนนี้ ความหิวค่อย ๆ ถามหาอยู่เรื่อย ๆ ครับ แต่ก่อนจะกลับเข้าไปที่ซัปโปโร ก็จะมีแวะพักเข้าห้องน้ำที่จุดจอดรถ Sunagawa Highway Oasis 20 นาที
ตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดพักรถที่ใหญ่ดีครับ มีเหมือนมาร์ทเล็ก ๆ ให้ซื้อของฝาก มีร้านขายเบเกอรี่ชื่อดัง Kitakaro (北菓楼) และขายอาหารปรุงสำเร็จอยู่ในนี้ด้วยเผื่อใครทนพิษความหิวไม่ไหว
จุดลงรถตอนเข้าเมือง Sapporo เราสามารถเลือกได้ครับว่าจะให้ไปจอดที่ไหน ด้วยความที่ร้านอาหารที่จะไปทานนั้นอยู่ใกล้กับ Sapporo Factory เลยขอให้รถไปส่งที่ Sapporo Factory ครับ
เดินทางมาถึง Sapporo Factory ตอน 19.25 น. ครับ จองโต๊ะไว้ตอน 19.45 น. เผื่อไว้พอสมควรเพราะไม่แน่ใจเรื่องสภาพการจราจร
ตอนลงจากรถ มีอะไรที่สะดุดตาผมมากครับ เหตุผลที่ญี่ปุ่นยังคงเสนอฟรีวีซ่าให้คนไทย ก็เพราะว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องพลังแห่งการช็อปปิ้งของคนไทยเลย !” มีคนละหลายถุง 555
มื้อค่ำ Bier Keller บุฟเฟ่ต์เนื้อย่างเจงกีซข่าน
ตอนแรกไม่ได้วางแผนจะกินบุฟเฟ่ต์ แต่ร้านส่วนใหญ่ที่รองรับแขกได้เยอะ ๆ มักจะเป็นร้านลักษณะนี้ เลยให้เพื่อนจองร้าน สาขา Sapporo Kaitakushi ซึ่งอยู่ภายใน Sapporo Factory โดยจองผ่านตั้งแต่ช่วงเที่ยง (สามารถจองวันนั้นได้เลย) โดยร้านที่เลือกไปทานเป็นบุฟเฟ่ต์เนื้อเจงกีซข่าน (แกะ) และมีหมู, เนื้อ ตามราคาของเซ็ต หัวละ 3,240 เยน ร้านนี้มีหลายสาขาครับ มีที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรก็มี
เข้ามาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงครับ พนักงานมาจัดการเตาอะไรให้เรียบร้อย เสิร์ฟเมนูพื้นฐานมาให้เราละเลงกันได้ จังหวะนี้เงียบมาก เพราะต่างคนต่างหิว
เครื่องดื่มก็มีเป็นเบียร์ให้ทานกับเนื้อฟิน ๆ ด้วย
รสชาติอาหารที่นี่ถือว่าโอเคครับ กลาง ๆ ด้วยความที่ในรายการอาหารที่เป็นบุฟเฟ่ต์ไม่มีของหวานอะไรมาตัดรสชาติเนื้อ มีแต่ผักกับเนื้อเป็นส่วนใหญ่ กินไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะมีเลี่ยนหน่อยครับ แต่ภาพรวม ทั้งบรรยากาศ รสชาติ โอเคมาก ถือว่าทำตามภารกิจสำเร็จ ได้มาทานอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ “เนื้อเจงกีซข่าน” !
จากร้านอาหารไปจนถึงที่พักก็ไม่ได้ห่างกันมากครับ เลยตัดสินใจใช้วิธีเดินย่อย โดยอ้อมไปทางเส้นทาง Sapporo Clock Tower เพื่อที่จะได้ชมหอนาฬิกายามค่ำคืนด้วย ก่อนจะเดินทางกลับไปยังที่พักครับ
ยังมีเรื่องราวการท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้นำเสนออยู่อีก !!
ยังไงรอติดตามการเดินทางท่องเที่ยวเกาะฮอกไกโดในตอนต่อไปด้วยนะครับ !