Homeไดอารีท่องเที่ยวเที่ยวญี่ปุ่น เส้นทางซากุระนารา - โกเบ (ตอนที่ 3)

[เที่ยวญี่ปุ่น 2018] เส้นทางซากุระนารา – โกเบ (ตอนที่ 3)

เดินทางมาถึงตอนที่ 3 ครับ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เราไปตามรอยซากุระตั้งแต่ในตัวเมืองโอซาก้า ไล่มาจนถึงเกียวโต วันที่ 3 ของการเดินทางเรียกว่า “แน่นหน่อย” เพราะเราจับยัดสองเมืองใหญ่ได้แก่ “นารา (Nara)” และ “โกเบ (Kobe)” เข้าไว้ด้วยกัน จะสมบุกสมบันกันแค่ไหนมาลองติดตามกันครับ

ต้องเกริ่นก่อนว่า ระยะทางจากเมืองนารา ไปยังเมือง โกเบ ค่อนข้างไกลครับ จะว่ามันอยู่คนละฝั่งเลยก็ว่าได้ แต่อยากให้ทริปรอบนี้สมบูรณ์ ได้เที่ยวเมืองใหญ่ๆในย่าน Kansai ทั้งหมด เรายอมสู้เพื่อที่เราจะได้บรรยากาศของทุกเมืองมาฝากคุณผู้อ่านกัน

เส้นทางจาก Kobe ไป Nara ไม่ได้ใกล้ๆเลย

ออกเดินทางจากโอซาก้า (Osaka) ตรงไปนารา (Nara) การไปนาราจากโอซาก้า สามารถไปได้หลายวิธีครับ เนื่องจากมีรถไฟหลายสายที่ให้บริการ สาย JR สถานี Nara ก็ได้ หรือ สถานี  Kintetsu-Nara  ที่จะใกล้กับวัดหน่อย ใช้เวลา 1 ชม.ครึ่ง เสียค่าใช้จ่าย 740 เยน (ใครที่ซื้อ Pass ท่องเที่ยวของ Kansai Thru Pass (KTP) ก็สามารถมาลงที่นี่ได้ครับ เพราะเราจะขึ้นสาย JR ไม่ได้)

บรรยากาศสถานี Kintetsu-Nara

ตัวสถานี Kintetsu-Nara จะอยู่ติดกับตลาด Mochiidono Arcade หนึ่งในตลาดเก่าแก่ของเมืองนารา เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ขายของฝากทำมือให้เดินเพลินๆ แต่จะให้เริ่มทริปด้วยการช็อปปิ้งก็เกรงว่าจะผิดแผนไปหมด เราเลยเปิด Google Maps หันหน้าไปทางทิศที่ตรงไปทางวัดโทไดจิ (Todaiji) ครับ

การเดินทางในเมืองนารา สามารถเดินทางด้วยรถบัสได้ครับ ใครสะดวกแบบไหนสามารถลองได้เลย แต่คำแนะนำส่วนใหญ่สำหรับนักท่องเที่ยวคือการเดินกินลมชมไม้ ดูวิวไปเรื่อยๆ เพราะว่าเส้นทางไม่ได้เดินยาก ถนนเรียบๆ เดินสะดวก จากสถานีไปที่วัดก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาที (ถ้าไม่มัวถ่ายรูปกับกวางระหว่างทางก่อนนะ)

วัดหลวงพ่อโตแห่งนารา โทไดจิ (Todaiji temple)

วัดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองนาราเลยครับ เป้าหมายของนักเดินทางที่เดินทางมาที่เมืองนี้ก็เพราะวัดนี้เลย เพราะที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ความสูงกว่า 14.7 เมตร ตัวอาคารเป็นไม้ทั้งหลังสวยงาม ในฐานะพุทธศาสนิกชนการได้มากราบไหว้ขอพรพระพุทธรูปในต่างแดนก็เสมือนเป็นมงคลให้กับชีวิต และขอให้เราโชคดี ปลอดภัยตลอดการเดินทาง

วัดโทไดจิ (Todaiji-temple)

เวลาทำการ
เดือน พ.ย.-ก.พ. เวลา 8.00 – 16.00 น.
เดือน เม.ย.-ก.ย. เวลา 7.30-17.30 น.
เดือน ต.ค. 7.30-17.00 น.
ค่าเข้าชม 500 เยน

ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาชมในวัดอยู่เรื่อยๆเลยครับ โดยเฉพาะในหน้าที่มีดอกซากุระเบ่งบานอยู่ทั่วทั้งเมืองนี้ ถ่ายตรงไหนรูปภาพก็มีแต่ความสดชื่น

เดินเข้ามาในอาคารก็จะเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ครับ เข้ามากราบไหว้กัน

รอบๆในตัวอาคารก็จะมีรูปปั้นขนาดใหญ่ น่าเกรงขามของเทพซึ่งปกปักรักษาวัดแห่งนี้

ทางออกข้างหน้าก็จะมีจุดที่ให้บูชาเครื่องราง มีหลายแบบให้เลือกตามความเชื่อ ก็สามารถมาเลือกหาบูชาได้ ราคาอยู่ที่ชิ้นละประมาณ 500 เยน  ออกมาข้างหน้าก็จะมีพระพุทธรูปอีกองค์ที่มีความเชื่อว่าหากใครไปลูบแล้วก็จะปราศจากโรคภัย สุขภาพแข็งแรงครับ

เดินออกมาจากวัดแล้วให้ออกมาตามทางครับ แล้วก็อย่าเพิ่งรีบเดินออกไปจากตัววัด เพราะยังมีอาคารที่อยู่ข้างๆวัดให้เข้าไปชมวิวสวยๆ จากมุมสูงกันด้วยครับ อาคารนีี้มีชื่อว่า Nigatsudo hall 

เดินขึ้นบันไดมา ก็จะได้เห็นความสวยงามจากมุมบนครับ ตรงนี้ยังมีจุดให้บริการน้ำดื่มและห้องน้ำ มีร้านค้า ใครที่อยากจะมาพักผ่อน พักขา ก็มีจุดให้นั่งพักในอาคารนี้ครับ

ออกมาจากวัด ผมเลือกเดินผ่านส่วนที่เป็นสวนสาธารณะครับ ตรงนี้เราก็จะได้เห็นน้องกวางอยู่เป็นหย่อมๆ ขากลับนี้ผมเดินสวนกลับกับคนนับร้อยที่กำลังทะยอยเดินเข้ามาชมวัดครับ จริงๆแล้วนอกจากวัดก็ยังมีวิหาร มีเจดีย์เล็กๆ อยู่เต็มเมืองนี้ไปหมดเลย เข้าใจว่าคนเลือกไปแวะตรงนั้นก่อนแล้วตรงเข้ามาในตัววัด แต่ผมเลือกตรงมาที่วัดก่อนก็ตัดปัญหา ที่ต้องมาจ๊ะเอ๋กับทัวร์ต่างๆ สำหรับโบสถ์วิหารต่างๆนั้น ตอนที่มาญี่ปุ่นครั้งแรกผมได้เขียนแนะนำไว้บ้างสามารถไปย้อนติดตามกันได้

ผมย้อนกลับมาที่ตลาด Mochiidono อีกครั้ง ซึ่งอยู่ติดกับสถานี มาตามหาของกินมื้อเที่ยง (จริงๆก็แอบหิวตั้งแต่อยู่ในวัดแล้ว) ในวัดขายแกงกะหรี่ชามละราวๆพันเยน ก็รู้สึกว่าแพง บวกกับมีนักท่องเที่ยวต่อแถวรอเต็มไปหมด เลยเลือกกลับมาที่โซนนี้ ของกินเยอะดี!

ตามสัญชาติญานของนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้ภาษาบ้านเมืองเขา ก็ต้องมาตามหาร้านที่ง่ายต่อการชี้ครับ 555 ผมมาเจอร้านนี้ เป็นร้านขายข้าวหน้าต่างๆ ผมสั่งเป็นข้าวหน้าเทมปุระไป จำได้ว่าราคาประมาณชามละ 1,000 เยน (ไม่ได้ต่างอะไรกับในวัดเลย – -) รอคิวนิดหน่อย

ข้าวหน้าเทมปุระ

อย่าว่าอย่างงู้นอย่างงี้เลย ข้าวไม่นิ่มหอมอร่อยเท่าที่ควร กุ้งไม่กรอบ ยังไงแนะนำร้านอื่นแล้วกันนะ.. ไว้ไปหามื้อหน้าอร่อยๆกันต่อ ก็เป็นอันว่ามื้อนี้ได้พอรองท้องเท่านั้นคัรบ

เสร็จภารกิจจากนารา เอาจริงๆใช้เวลามากกว่าที่คิดครับ ถ้าค่อยๆเดินก็ใช้เวลาร่วม 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว แผนการเดินทางไปโกเบก็ยังคงดำเนินต่อไป..

จากสถานี Kitetsu-Nara จะมีรถไฟตรงไปที่ Kobe เลยครับ เป็น รถไฟแบบด่วนพิเศษ (Rapid Express) ไปลงที่  สถานี Kobe-Sannomiya  ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ครึ่ง 970 เยน นั่งกันไปยาวๆเลยล่ะครับ

ป้ายชานชาลา 2 : บอกขบวนรถไฟที่จะตรงไปสถานี Kobe-Sannomiya

นั่งรถไฟยาวเลยครับทีนี้ ก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่ แต่หิวมากกว่า พอมาถึง Kobe-Sannomiya รีบเดินเข้าห้างหาของกินทันที ก็มาเจอขนมปังน่าทานเลยจัดไปก่อน

ออกมาจากนาราบ่ายสามครึ่ง มาถึงโกเบก็ปาไปราวๆ 5 โมงเย็นแล้วครับ แสงยังพอหลงเหลืออยู่บ้างแต่ก็เตรียมจะมืดแล้ว ผมออกมาจากสถานีแล้วมุ่งหน้ามาทางย่านบ้านพักคนต่างชาติ เราเรียกโซนนี้ว่า “Kitano” ครับ ถนนที่เป็นลักษณะทางราบชันขึ้นไปเรื่อยๆนี้จะทำให้เราได้เห็นร้านค้า บ้านพักชาวต่างชาติ ซึ่งสมัยก่อนเมืองนี้เป็นเมืองท่าสำคัญ จึงทำให้มีชาวต่างชาติมาอาศัยอยู่ ขึ้นมาข้างบนเราก็ยังได้เห็นวิวโกเบสวยๆกันด้วย

เต็มไปด้วยซากุระบานเต็มไปหมดเลยครับ ตัดกับแสงช่วงเวลาโพล้เพล้แบบนี้ มันเป็นแสงสีที่สวยจริงๆ

ทางขึ้นไปศาลเจ้าครับ ถ้าขึ้นไปได้สูงกว่านี้ก็จะยิ่งได้เห็นวิวเมืองที่ชัดและสวยกว่านี้ แต่ทว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้นั้น ศาลเจ้าก็ได้ปิดไปเรียบร้อยแล้ว

บ้านเรือนในย่าน Kitano

เส้นทางเดินลงมาก็เริ่มมืด แต่ตรงถนนก็มีการประดับไฟแล้ว สวยงาม โรแมนติก

ร้าน Starbucks สาขา Kitano : อีกหนึ่งจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปด้วยความคลาสสิคของตัวอาคาร

ดึกแล้วสีสันของโกเบที่ห้ามพลาดเป็นอย่างยิ่งเลยก็คือ แสงไฟจากอาคาร Kobe tower ที่สามารถรับชมได้จากฝั่ง Kobe Harborland ครับ เดินลงมาจาก Kitano ถึง  สถานี Kobe-Sannomiya (JR Line)  ใช้เวลาประมาณ 20 นาที นั่งสาย JR มาลงที่  สถานี Kobe  ซึ่งอยู่ห่างออกมา 2 ป้าย 120 เยน

พอออกมาจากสถานี Kobe แล้ว ก็ให้เดินตามหาป้าย “Kobe Harborland” เดินมาจะเห็นทางเชื่อมเป็นห้าง ให้เดินตรงมาเรื่อยๆเลยครับ (ถ้าจะให้ดีเปิดแผนที่ใน Google Maps ดูทิศประกอบ) เดินมาจนเห็นบันไดเลื่อนบอกทางไปสวนสนุกอันปังแมน (Anpanman Children’s Museum) ก็ออกมาได้เลยครับ ออกมาดูวิวข้างนอกแล้วค่อยเดินต่อไป Harborland

ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับ Kobe Tower ก่อนจะปิดทริป นารา-โกเบ ใน 1 วันครับ

ทริปส่งท้ายก่อนกลับเกาหลี – พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โอซาก้า

เช้าวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเช็คเอาท์ เตรียมเดินทางกลับแล้วครับ แต่เนื่องจากเป็นไฟลท์ดึก เลยได้วางแผนว่าจะเที่ยวตอนเช้าก่อนมุ่งหน้าไปที่สนามบิน

ก่อนกลับก็มาอุดหนุนผ้าสไตล์ญี่ปุ่นเป็นของฝากให้ที่บ้านครับ

เช้าวันสุดท้ายของการเดินทางมักจะเป็นปัญหาสำหรับนักเดินทาง เพราะหมายความว่าคุณจะมีกระเป๋าเป็นภาระ 1 อย่าง ที่จำเป็นต้องแบกไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา โดยเฉพาะวันสุดท้ายของจะเยอะเป็นพิเศษ เส้นทางที่ผมจะไปในวันนี้คือ  สถานี Ikeda  ซึ่งเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วย (Cupnoodles Museum Osaka) ซึ่งจากที่พัก ผมจะต้องผ่านสถานี Osaka ครับ ซึ่งจากสถานี Osaka เราสามารถนั่งรถไฟต่อไปสนามบินได้ เลยตัดสินใจ จะไปหาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าที่สถานี Osaka ซึ่งมองหารีวิวจากอินเทอร์เน็ตก็พบว่ามีบริการฝากกระเป๋าอัตโนมัติอยู่หลายจุดด้วยกันในสถานี

เดินทางมาถึงที่ Osaka station ตามหาล็อคเกอร์ก็พบว่า เอาเข้าจริงๆแล้ว ตู้เก็บของอัตโนมัติไม่ได้หาเอาง่ายๆเลย คนมาใช้บริการกันเยอะมาครับ เช็คจากตู้ Kiosk แล้ว ก็พบว่าล็อคเกอร์เต็มไปด้วยกากบาทเยอะมาก ผมเลยตัดสินใจเดินออกจากสถานี Osaka มาทางฝั่งสถานี Umeda ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันครับ

ฝ่ามวลมหาประชาชน ข้ามมาอีกอาคารเป็นอาคารของสถานี Umeda ผมก็เจอกับ ล็อคเกอร์อัตโนมัติ อยู่หลายจุด ซึ่งจะเป็นหน้าจอสัมผัสครับ ตู้ไหนที่ฝากได้ตัวอักษรมันจะชัด ไม่ได้เป็นสีเทาเหมือนปุ่มที่กดไม่ได้   โดยเราสามารถเลือกกดฝากของ แล้วเลือกตำแหน่งตามที่ต้องการ ขนาดของตู้ที่จะใส่ได้ครับ อัตราค่าบริการ 700 เยน สำหรับตู้ขนาดกลาง 500 เยนสำหรับขนาดเล็ก สามารถชำระผ่านเหรียญ ธนบัตร และผ่านบัตร IC Card (บัตรเดินทางได้)

เมื่อเราเลือกตู้และชำระเงินแล้ว ตู้จะเปิด ให้เรานำของไปใส่แล้วสไลด์ปุ่มล็อค เพียงเท่านี้ของของเราก็จะฝากไว้อย่างปลอดภัย สิ่งสำคัญคือเราจะได้สลิปที่มีรหัส QR Code และบอกตำแหน่งของตู้ เนื่องจากว่าที่นี่มีตู้ฝากของเยอะมากกกกกกกกก.. โอกาสที่เราจะตามหาไม่เจอก็สูงด้วยครับ ฉะนั้น ไม่ว่าจะฝากอะไรไว้ที่ไหน สิ่งสำคัญคือการถ่ายรูปบริเวณที่เราฝากของเอาไว้เยอะๆ ถ่ายรูปของของเราเอาไว้ด้วยกันของหายต่างๆ (แม้ว่าเหตุการณ์นั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นก็เถอะ!) เมื่อเราเที่ยวเสร็จขากลับมาเอากระเป๋าก็ง่ายขึ้นแล้วครับ เพียงแค่เอา QR Code ที่ปรากฏในใบเสร็จไปสแกน ตู้ก็จะทำการเปิดทันที !

ทางขึ้นไปชานชาลาที่ 4-5 (Takarazuka Line)

จุดที่เราจะนั่งรถไปพิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วยนั้น ก็คืออาคารสถานี Umeda พอดีครับ (เอาจริงๆแล้วจุดที่ฝากกระเป๋าก็แทบจะใกล้กับจุดที่ต้องมาขึ้นรถไปต่อพอดีเลย) เราจะนั่งจาก  สถานี Umeda  ไปลงที่  สถานี Ikeda  ใช้เวลา 18 นาที นั่งสาย Hankyu (ชานชาลาที่ 4-5) ค่าใช้จ่าย 270 เยนครับ

นั่งรถไฟจนมาถึงสถานี Ikeda สถานีนี้ ร่มรื่น และไม่แออัด น่าอยู่อีกที่หนึ่งเลยล่ะครับ

สังเกตป้ายบอกทาง ซึ่งจะอยู่หลบๆและเล็กมาก เดินลงบันไดและออกมาจากสถานีจนได้ ก็ข้ามทางม้าลายใต้สะพาน แล้วก็เข้าซอยมาเลยครับ จะเห็นป้ายคอนเฟิร์มตรงทางเข้าอีกรอบ

เดินมาประมาณ 10 นาที ก็จะเห็นหน้าอาคาร Cup Noodles Museum แล้วครับ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไม่มีค่าธรรมเนียมเลย แต่จะมีพนักงานคอยบอกเราว่า ถ้าเราสนใจจะออกแบบ ปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นของตัวเอง พร้อมเอาผลงานกลับบ้านนั้น ให้เข้าไปข้างในไปต่อแถว.. ถ้าไม่ได้สนใจตรงนี้ก็เข้าไปชมเฉยๆอย่างเดียวก็ได้ครับ

ตรงนี้ก็จะเต็มไปด้วยเรื่องราวของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปครับ ถ้าจะให้เจาะจงเขาจะพูดถึงที่เป็นบะหมี่ถ้วย และของบริษัท Nisshin เจ้าแรกที่ทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในญี่ปุ่นครับ

ภายในยังมีการฉายภาพยนตร์ความเป็นมาของการคิดค้นการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป การนำบะหมี่ลงบรรจุภัณฑ์ที่เป็นถ้วยเพื่อการเก็บรักษาและการจำหน่ายในยุคแรกๆ ว่าผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง เป็นการ์ตูนซึ่งดูเพลินๆดีครับ แม้ว่าผมเองจะฟังไม่ออกเลย  ในนี้ยังมีส่วนที่จำลองสถานที่ที่ผู้คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “Momofuku Ando” ใช้ในการคิดค้นพัฒนาบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูปด้วย

ดูไปก็นึกหิวบะหมี่ไปครับ วินาทีนั้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะกิน .. มีข้อมูลที่น่าสนใจที่ผมไปพบเข้าในพิพิธภัณฑ์ก็คือ จำนวนการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บ้านเราติด TOP 10 หนึ่งในประเทศที่บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุดในโลกล่ะครับ จำได้ว่าสถิตินี้ผมเห็นตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย วิชา Food processing เป็นตัวเลขที่น่าตกใจว่าเรากินกันเยอะมาก แต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าบ้านเราบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถือเป็นเมนูพระเอกช่วยชีวิตทุกสิ้นเดือน!

ปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทั่วโลก

ในส่วนของคนที่ต้องการออกแบบบะหมี่ถ้วย หนึ่งเดียวในโลกนี้ ก็สามารถต่อแถวแล้วเข้าไปเลือกวัตถุดิบกันได้ตามใจชอบครับ โดยมีค่าสำหรับการทำ 300 เยน ในวันนั้นแถวยาวครับ และไม่มีพื้นที่ให้ได้ละเลงสมใจนึกเท่าไหร่ เลยได้แต่ถ่ายคิวมาแล้วก็รีบเดินทางกลับ เตรียมหาอะไรอร่อยๆกินนั่นเอง

คนที่เดินทางออกมาจากพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แน่นอนเขาก็ต้องนึกอยากกินอะไรเป็นเส้นๆ อย่างราเมง ผมเองคือหนึ่งในนั้น มีความอินกับเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์นี้เป็นพิเศษ เลยจะไปหาร้านราเม็งแถวนั้นกิน ซึ่งออกมาก็พบว่ามีคนเต็มร้านไปหมดในระดับที่ต้องรอคิว ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนเมนูแล้วไปหาที่กินที่อื่นแทนแถวๆใต้สะพาน

ก็มาเจอกับร้านนี้ครับ..

ผมพยายามอ่านภาษาอังกฤษ ใช่แล้วครับ YAYOIKEN .. เฮ้ย มันยาโยอิเคน จะเหมือนอะไรกับยาโยอิบ้านเราหรือเปล่านะ ไม่เก็บความสงสัยไว้นานเท่าไหร่ เดินเข้าไปในร้านเลยครับ

เข้ามาก็เล็งเมนูเอาไว้ในใจตั้งนานแล้ว ก็มาสะดุดตรงที่ว่าปุ่ม Kiosk ที่ให้กดสำหรับสั่งอาหาร มีปุ่มเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาไทย !!

มุมล่างซ้าย เลือกได้เลย อังกฤษ จีน และไทย!!

วิธีการสั่งอาหารในร้านนี้ ไม่ยากเลยครับ เพียงแค่สั่งอาหารผ่านตู้นี้ ที่ย้ำอีกครั้งว่า “มีภาษาไทย!” จิ้มๆเมนูที่อยากกินแล้วก็ชำระเงิน เราก็จะได้คูปองออกมา ไปตามหาที่นั่งแล้วเรียกพนักงาน ให้เอาคูปองให้พนักงานแค่นี้ก็ได้ทานแล้วครับ ราคาสมเหตุสมผล กับปริมาณที่เยอะ เป็นหนึ่งในร้านในดวงใจเลย (อ้อ… ข้าวสามารถเติมได้ฟรีไม่อั้น ในร้านมีหม้อหุงข้าวใหญ่ๆอยู่)

ได้มาแล้วครับกับเมนูชุด หมูชุบแป้งทอด (Pork Loin Cutlet Teishoku) ของผม จานใหญ่จานนี้ 790 เยนเท่านั้นครับ!

กินข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็วางไว้เฉยๆครับ พนักงานจะมาเก็บโต๊ะให้เอง ผมเองก็ไม่รอช้าทำเวลา รีบเดินทางกลับไปสถานี Umeda เพื่อไปรับกระเป๋า แล้วลากเดินต่อมาอีกอาคาร นั่นก็คือ Osaka เพื่อมุ่งหน้าไปสนามบินคันไซครับ

สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ที่เดินทางไปสนามบินคันไซ จากสถานี Osaka ก็คือ …
1. ไปขึ้นที่ชานชาลา 1-2 (Osaka Loop Line)
2. จะไปลงที่สถานี Kansai Airport (สนามบิน) ให้ไปขึ้นรถตู้ขบวนหมายเลข 1 ถึงหมายเลข 4 เท่านั้น! .. เพราะตู้ขบวนหมายเลข 5-8 จ จะสำหรับผู้ที่เดินทางไปสถานี Wakayama ครับ โดยเมื่อถึงสถานี Wakayama รถมันจะหยุดและแยกเป็นอีกขบวน

จากนั้นก็เช็คขบวนให้ดีๆครับ ไปต่อแถวที่ตู้ 1-4 ไว้เนิ่นๆได้เลย จะมีเขียนที่พื้นอยู่ เมื่อรถไฟมาแล้วก็รีบจับจองที่นั่งเพราะการเดินทางอาจจะนานทำให้เมื่อยล้าเหนื่อยกันได้ครับ

..

จบสั้นๆ ดิื้อๆ สำหรับการเดินทางในนารา-โกเบ และขอรวบยอด เพิ่มการเดินทางวันสุดท้ายในพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ครับ

หวังว่าข้อมูลในบล็อกนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่เดินทางไปท่องเที่ยวในย่าน Kansai และหาข้อมูลการเดินทางเพื่อชมดอกซากุระกันนะครับ

อย่าลืมแชร์หากเห็นว่าบล็อกนี้เป็นประโยชน์ หรือเข้ามาพูดคุยกันในแฟนเพจก็ได้นะครับ

Facebook : Framekung.com

สารบัญท่องเที่ยวในญี่ปุ่น : ฤดูใบไม้ผลิ (ปลายมีนาคม)

บทความที่เกี่ยวข้อง

ติดตามเรื่องอื่นๆ