เฟรมมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เกาหลีเรื่องหนึ่งในคลาสเรียนภาษาเกาหลีครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ออกฉายเมื่อปี 2008 หนังอาจจะเก่าไปนิดแต่พอได้ชมแล้ว เรื่องนี้สะท้อนอะไรหลายๆอย่างดี ตอนที่ดูนั้นเป็นภาษาเกาหลีครับ แต่ตอนที่ดูก็คิดในใจว่าหนังเกาหลีหลายๆเรื่อง ก็น่าจะถูกนำมาพากย์เป็นภาษาไทย และผมก็เจอมันจริงๆ เรื่องนี้มีชื่อว่า “อีทีซ่า ป่วนขาโจ๋” (울학교 이티) ครับ
อีที นั้นมาจากภาษาอังกฤษ E และ T นี่ล่ะครับ ที่มาต้องไปดูเนื้อเรื่อง เป็นเรื่องราวของ คุณครูสอนวิชาพลศึกษา ที่ออกแนวเฮ้วๆ ได้อารมณ์ของคุณครูฝ่ายปกครอง คอยตักเตือนนักเรียนแรกๆก็ไม่ได้ตั้งใจสอน และค่อนข้าง บ้ายอ นักเรียน เวลานักเรียนขอให้เล่าเรื่องนอกเหนือจากบทเรียน
จากที่ปัญหาการแข่งขันทางการศึกษาของเกาหลี เริ่มมีการแข่งขันกันมากขึ้น นักเรียนในห้องเรียนห้องนี้ ส่วนใหญ่ก็จะได้มาจากการเรียนพิเศษ นักเรียนก็เบื่อ ไม่สนใจการเรียนที่โรงเรียนมาโรงเรียนเพื่อคาบที่ให้มาเรียนด้วยตนเอง (ในเกาหลีจะมี Self study class (자율학습) ให้เรียนด้วยตัวเองแล้วมีคุณครูมาคอยคุม ถ้าเป็นที่ไทย อาจจะเทียบได้กับการมาเช็คเวลาในคาบกิจกรรม)
ผนวกกับการว่าจ้างครูพลศึกษาเริ่มลดน้อยลง ความต้องการครูสอนวิชาภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้นทำให้คุณครูพละคนนี้เริ่มถูกกดดันให้ลาออกจากโรงเรียน แต่คุณครูท่านนี้ก็ไม่ย่อท้อ ลองเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มสักตั้ง และกลับมาสอนนักเรียนอีกครั้งในฐานะคุณครูสอนภาษาอังกฤษ English Teacher …. แต่สิ่งที่ตอบรับ กลับเป็นท่าที่ที่เพิกเฉยของนักเรียน ทำไมคุณครูเอาเนื้อหาที่ง่ายแบบนี้ออกมาสอน ทำไมไม่เอาข้อสอบมาสอน คุณครูก็บอกว่ามันยังไม่ออก แต่ก็เจอเด็กเถียงอีกว่า ข้อสอบมันมีแต่เฉพาะ “เด็กที่เรียนพิเศษ”เท่านั้น (ซึ่งสมัยนี้ ก็มีหลากหลายวิธีที่สถาบันพิเศษจะได้ข้อสอบมา)
คุณครูคนนี้เริ่มเข้าใจความเป็นไปของการเรียนสมัยนี้มากขึ้น ถึงกับลงทุนลองไปนั่งเรียนพิเศษแต่ความพยายามนั้นก็ไม่เป็นผล เด็กและผู้ปกครองก็ยังคงติดค่านิยม และเริ่มหมดความศรัทธาจนครูคนนี้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นครู หลังจากที่ค่านิยมของทุกคนที่มีต่อโรงเรียน กลับไม่ใช่สถานที่ทุกคน มาเพื่อเรียน…
เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนสังคมที่เรียนเยอะ เช่นเดียวกันกับบ้านเรา มีฉากหลายฉาก ที่จะเห็นการเรียนอย่างหนักของนักเรียน ม.ปลายเกาหลี ที่เค้าว่ากันว่า ช่วงที่เรียนหนักที่สุดช่วงนึง คือ ช่วงม.ปลายสำหรับคนเกาหลี บรรยากาศค่ำๆ ที่ยังเห็นที่เรียนพิเศษเปิดอยู่มากมาย ก็ไม่ต่างอะไรเช่นกันกับบ้านเรา
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ประเทศเรายังคงมีความได้เปรียบทางการศึกษา ผู้ปกครองที่ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอ ก็หมายความว่าไม่สามารถส่งลูกไปเรียนพิเศษได้ เหมือนกับฉากนึงของหนังเรื่องนี้ ที่ที่บ้านเป็นร้านขายผัก หญิงผู้เป็นแม่ที่พูดน้ำเสียงเชิงขอโทษ ที่สภาพการเงินครอบครัวไม่ค่อยดีกับลูกที่ตั้งใจมาขอเงินแม่ไปเรียนพิเศษ ก็ถูกปฏิเสธ และเดินออกไปจากบ้าน กับแม่ที่เดินตามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นคลอ .. “นี่ลูก เงิน เงิน เอาเงินไปด้วย… “ ช็อตนี้กินใจผมมากครับ
ปัญหานี้ ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศที่พัฒนาอย่างเกาหลี แต่ผมก็คิดผิดจริงๆครับเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง หลับหูหลับตาเรียน มีห้องให้เช่าเพื่ออ่านหนังสือมีติวเตอร์ อะไรค่อนข้างคล้ายๆกับบ้านเรา มีช่องการศึกษาที่พอใกล้ช่วงสอบ เด็กจะไปดาวน์โหลดข้อสอบและติวอยู่หน้าจอโทรทัศน์ มีคลาสที่เรียนด้วยตัวเองอย่างที่ได้กล่าวไป กิจกรรมก็น้อย (บ้านเราต้องยอมรับว่าวันหยุดเยอะ ที่เป็นผลมาจาก วันสำคัญของชาติ วันสำคัญทางศาสนา ฯลฯ) ที่เกาหลี วันหยุดนี่น้อยมากๆครับ
ผมตั้งใจเขียนเรื่องนี้ ในวันครู ถ้าดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว จะมีอีกหลายบทบาท ที่คุณครูพละคนนี้ได้พยายามและทุ่มเทเพื่อนักเรียน พยายามจะเป็นคุณครูที่อยู่ในอุดมคติของนักเรียน เหมือนกับที่นักเรียนไปเรียนพิเศษ แม้ว่าจะพยายาม สุดท้ายมันก็ติดอยู่ที่ “ทัศนคติ” ทำให้ยังไง เค้าก็ไม่สามารถรู้สึกถึงความเป็นครูไปได้มากกว่านี้ สื่อให้เห็นว่า ยังมีคุณครูดีๆ อีกหลายท่าน ที่ให้ความทุ่มเทกับนักเรียน เพียงแต่ท่านไม่สามารถบอกได้ว่า คุณครูเตรียมการสอนนี้ให้กับเราอย่างไรคุณครูทุ่มเทแค่ไหน ได้เพียงแต่ทำเหมือนกับว่ามันเป็นหน้าที่ แต่เบื้องหลังแล้ว ผมคิดว่า คุณครูหลายๆท่าน คงมีเรื่องราวไม่ต่างอะไรจากในภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้ว่า สถานที่เรียนพิเศษ จะให้อะไรกับเรามากก็ตาม แต่สิ่งที่มันได้นอกเหนือจากสิ่งที่เรียนพิเศษมันก็ย่อมต้องมีแน่นอน… สิ่งที่ผมคาดหวัง ก็ขอให้ประเทศของเรา ไม่ถึงขั้นนั้น ขอให้คุณครูทุกท่านมีกำลังใจที่ดีจากการทำงานและไม่หมดกำลังใจ เป็นต้นแบบให้กับพวกเรา และเด็กๆรุ่นหลังต่อไปทุกคน
ขอเป็นกำลังใจให้คุณครูไทยทุกคนครับ
ปล.ใครอยากดูเรื่องนี้ เอาชื่อภาพยนตร์ไปลองค้นใน Google ดูนะครับ