My Year In Review 2019 : เริ่มต้นกับสิ่งใหม่ๆ

ก่อนจะเริ่มเขียนรีวิวแต่ละปี ผมอยากจะเริ่มจากสิ่งที่เขียนไว้เมื่อปลายปีก่อน มาลองอ่านดูอีกครั้งว่า เราหวังให้ปีใหม่ของเราเป็นยังไง อยากทำอะไร อย่างน้อยก็ทำให้เราได้รู้ว่าที่ผ่านมา “2019 สำหรับเราแล้วเป็นปีแบบไหน” ก้าวไปข้างหน้า อยู่กับที่ หรือมีอะไรให้ปรับปรุง มาย้อนดูก็พบว่าผมเขียนว่าสิ่งที่อยากทำในปี 2019 ไว้ 3 อย่างใหญ่ ๆ 

1. อยากสร้างนิสัยเขียนบล็อก/ บทความให้ดี
  สรุปปี 2019 : ช่วงต้นปีพยายามจะหาคอนเทนต์อะไรใหม่ๆเข้ามา แต่สุดท้ายติดที่ไม่ได้ลงมือทำ หรือคิดเยอะไป คิดมากไป คิดใหญ่ไป เลยไม่ได้มีอะไรให้ติดตามกันต่อสักที รู้สึกว่าชีวิตจะมองหาความเป็นเพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์เข้าไปทุกวัน ไม่ถูกใจก็ไม่เอาบทความขึ้นเลย… ช่วงขยันก็ขยันมาก ขี้เกียจก็ขี้เกียจมาก คิดว่าน่าจะต้องหารูปแบบชีวิตที่ให้สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้และไม่กระทบกับงานประจำ ก็คิดว่าจะหาทางออกให้ได้ในปีหน้า 2020

2. หาประสบการณ์ใหม่ๆ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ (ที่ไม่ใช่วิชาการ)
   สรุปปี 2019 :  เป้าหมายหลักของข้อนี้จริงๆ คือการออกมาจากคอมฟอร์ทโซน แต่คำว่า “คอมฟอร์ทโซน” ดูจะเป็นกำแพงที่ใหญ่ไปเสียหน่อยเลยอาจจะเจาะจงมาว่าให้ “ลองหาอะไรทำใหม่ๆ” ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้เรียนรู้ทักษะอะไรใหม่ๆ ที่มาเป็นสกิลติดตัวเพิ่มเติม แต่ก็ถือว่าได้ทำอะไรที่เพิ่งเคยทำครั้งแรกในชีวิตเยอะขึ้นมาอีกหน่อย เช่น เล่นสกีครั้งแรก, เรียนภาษาจีน (อันนี้อาจจะดูวิชาการไปหน่อย แต่เรียนแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์หลายอย่าง ช่วยให้เข้าใจรากคำภาษาเกาหลีเพิ่ม, เข้าใจคำศัพท์ง่าย ๆ ภาษาจีนเอาไว้ต่อยอดให้สามารถสื่อสารเบื้องต้นได้)​ ปีหน้าคงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับเรียนให้ต่อเนื่อง กับยังคงคิดจะค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆให้กับตัวเองต่อไป

3. พบปะ คุยกับคนที่มีความชอบคนละแบบ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ
   สรุปปี 2019 :  ปีนี้เปลี่ยนงานเลยทำให้ได้ต้องรู้จักคนเยอะขึ้น ก็โชคดีที่เพื่อนร่วมงานหลายคนโอเคมาก เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยในเกาหลีเป็นระยะเวลานานเลยทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตไม่แตกต่างกัน เจออะไรมาเหมือน ๆ กันเลยทำให้คุยกันรู้เรื่องเป็นพิเศษ มีกิจกรรมที่ไปสันทนาการ เล่นดาร์ท กินข้าวด้วยกัน (โชคดีอีกต่อ คือกลุ่มนี้เน้นกิน ไม่เน้นแอลกอฮอล์) เลยทำให้ชีวิตในที่ทำงานมีอะไรผ่อนคลาย มีสังคมการทำงานใหม่เพิ่มขึ้นมา ส่วนปีหน้าจะหาคนที่มีความชอบคนละแบบ หรือหาใครมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ไปขวนขวายหาตามหาก็รู้สึกว่าข้อนี้จะทำได้ยากเหมือนกัน ปีหน้าปีใหม่นี้ก็คงจะไม่ได้เน้นข้อนี้เท่าไหร่ (คิดว่า)


ปี 2019

ปีที่ออกจากคอมฟอร์ทโซน (จริงๆ)
ที่ทำงานใหม่ ย้ายบ้านใหม่ เพื่อนที่ทำงานใหม่

กลับมาย้อนดูตัวเองปีนี้คิดว่าเป็นปีที่ “ออกจากคอมฟอร์ทโซน” ได้เยอะมากกว่าที่คิดแฮะ ด้วยความตั้งใจและเหตุการณ์พาไป

ได้ลองไปที่ใหม่ๆ เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ตั้งแต่ย้ายงาน ย้ายบ้าน ไปเที่ยวสถานที่ใหม่ ๆ หลายอย่างที่มันไม่ได้วางแผนไว้ หรือไม่คิดจะลองทำเราก็ได้เริ่มต้นทำ

เริ่มต้นปีด้วยภาวะหมดไฟ : เอายังไงกับชีวิตที่เกาหลีต่อดี?

ช่วงก้าวผ่านปี 2018 มาปี 2019 เอาจริง ๆ คิดว่าสภาพทางอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวนเยอะ เพราะบริษัทที่ทำงานเดิมก็มีการเปลี่ยนแปลงในองค์กร เปลี่ยนรูปแบบการทำงาน-ลดพนักงาน เพื่อน ๆ ที่เคยทำงานด้วยกันก็หายไปหมด พอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนเยอะ เหมือนมีอาการช็อคเล็กๆ เกิดความรู้สึกดาวน์ลงมา มีบางวันที่ไม่ค่อยอยากกินอะไร ตื่นมาก็ไม่รู้จะทำอะไร ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองน่าจะเข้าข่าย ‘หมดไฟ’ ไปกับการทำงานที่เดิม เลยเริ่มมองหาที่ทำงานใหม่มาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ช่วงต้นปี

ในขณะที่คนรอบข้างที่คลุกคลี ไปไหนไปกันอย่างรุ่นน้องที่ได้รับทุน ใช้ชีวิตอยู่ในเกาหลีด้วยกัน 3-4 ปี เมื่อเรียนจบก็ทยอยกลับไปทำงานที่ประเทศไทยบ้าง ทำงานกันบ้าง กลุ่มคนที่เราแฮงก์เอ้าท์ด้วยประจำก็ต้องเริ่มห่างเหินกันไป เราก็เลยเหมือนต้องหากลุ่มที่แฮงก์เอ้าท์ใหม่ ๆ หรือไม่ก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แต่ที่บ้าน เป็นมนุษย์ติดห้อง

งานรับปริญญาของน้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ ปีนี้ทำบง (แท่งไฟ) ไปเป็นของที่ระลึกให้

ช่วงต้นปีพออารมณ์ไม่ค่อยนิ่ง ก็หาอะไรทำไปเรื่อย ๆ ทำในสิ่งที่อยากทำ ในขณะเดียวกันก็หาข้อมูลสมัครงานไปเรื่อย ๆ โชคดีที่มีตำแหน่งงานที่สนใจเข้ามาช่วงต้นปี เลยใช้เวลาต้นปียุ่ง ๆ ไปกับการเตรียมเอกสารสมัครงาน อัปเดต CV ใหม่ เตรียมสัมภาษณ์ ด้วยงานที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “เกมมือถือ” ก็ได้ถามตัวเองเหมือนกันว่า เราจะเหมาะกับสายนี้หรือเปล่า ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ได้คิดและวางแผนเกี่ยวกับ career path อีกครั้ง ผมรู้สึกว่าตลาดเกมในเกาหลีค่อนข้างใหญ่ และเกมก็เป็นสื่อที่ค่อนข้างน่าสนใจ ผู้เล่นเข้าถึงทุกวัย เลยคิดว่าอยากจะเข้ามาศึกษาตลาดเกมทั้งไทยในเกาหลีเต็มตัว เลยทำให้งานที่สองเป็นงานเกี่ยวกับเกม

บริษัทใหม่ : วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป

วันแรกของที่ทำงาน เต็มไปด้วย Welcome Box Kit อลังการงานสร้าง

ด้วยวัฒนธรรมการทำงานของบริษัทที่เปลี่ยนไป ผมได้พูดเยอะขึ้น จากแต่ก่อนอยู่กับ Slack (โปรแกรมแชทที่ใช้ภายในองค์กร) เวลาจะติดต่อใครหรือสงสัยอะไร ก็พิมพ์คุยกันอย่างเดียว (แม้จะนั่งตรงข้ามกันก็เถอะ) เลยรู้สึกว่าการพูดน้อยลงมาก ภาษาเกาหลีไม่ขยับ แต่พอเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ เปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ ก็ต้องเริ่มจักคนที่ร่วมทำงานด้วย วิธีการทำงานของเราก็เปลี่ยนไป จากแต่ก่อนนึกคิดอยากจะทำอะไรก็สามารถทำได้ทันที พอมาอยู่ในองค์กรที่ใหญ่ขึ้น ความคิดของเราก็จะต้องผ่านการนำเสนอ ต้องมีการโน้มน้าว แสดงให้เห็นกระบวนการเป็นขั้นเป็นตอน สิ่งที่ทำก็ต้องและอยู่ในรูปแบบที่สามารถประเมินเป็น KPI ได้ ก็เป็นอีกวัฒนธรรมขององค์กรใหม่ที่ได้เรียนรู้จากงาน

ย้ายบ้าน

เรื่องย้ายบ้าน เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรามาก และให้เลือกได้ก็ไม่คิดอยากจะย้ายเท่าไหร่ บ้าน (หรือจริง ๆ คือห้องเช่า) เป็น คอมฟอร์ทโซนใหญ่ ๆ ที่ไม่อยากจะไปแตะต้อง ที่อยู่เดิมนอนได้สบาย ตื่นไปทำงานได้ทุกวันก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว แถมอยู่มาก็ตั้งนาน 3 ปี ก็คุ้ยเคย ผูกพันกับย่านแถว ๆ นั้น แต่ด้วยที่ทำงานใหม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายค่าบ้านให้บางส่วน กับมาลองคำนวณระยะเวลาในการเข้างานตอนเช้า และค่าโดยสาร รู้สึกว่าเราจะประหยัดได้ทั้งสองอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายและเวลาเดินทาง ก็เลยคิดว่าควรลองดูสักตั้งหนึ่ง 

จังหวะค่อนข้างดีตรงที่ เพื่อนร่วมงานกำลังจะหาบ้านใหม่อยู่เหมือนกัน และบ้านหลังเก่าก็ต้องหาคนมาเช่าต่อ เลยตั้งใจว่าถ้าสภาพบ้านโอเคก็จะขอต่อเลย มาดูก็พบว่าค่อนข้างใหญ่กว่าเดิมเยอะมากกก… เป็นความฝันเล็ก ๆ ที่อยากจะเปิดประตูบห้องมาแล้วไม่ชนสิ่งของอะไร 555 (บ้านหลังเก่าเล็กขนาดนั้น) ก็เลยเทใจมาทางบ้านของเพื่อนร่วมงาน อย่างไม่ค่อยลังเลและไม่คิดจะหาที่อื่นเท่าไหร่ (เป็นคนขี้เกียจเดินเลือกบ้านมาก เพราะรู้ว่าถ้าช้อยส์เยอะจะลำบากใจทีหลัง)

จัดการเรื่องที่ใหม่เสร็จก็ไม่ยาก ยากตรงย้ายของจากบ้านเก่าไปยังบ้านใหม่ ปกติการย้ายบ้านในเกาหลี สามารถทำได้ 3 วิธีใหญ่ ๆ คือ 1. ขนเอง 2. ส่งไปรษณีย์ 3. ให้บริษัทรับขนย้ายบ้านโดยเฉพาะมาช่วยจัดการให้

รอบนี้ผมเลือกใช้บริการแบบที่ 3 แต่บริษัทรับขนของ เขาก็จะมีให้เราประเมินด้วยเหมือนกันว่าของที่มีติดตัวอยู่กับเรามีอยู่ทั้งหมดกี่กล่อง ด้วยความที่ของที่มีอยู่มันก็ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในกล่อง เลยกะไม่ถูกและตีไป 13 กล่อง แต่แพ็กเอาจริงๆ ได้ 20 กล่อง !! ลุงที่มาขนของวันนั้นถึงกับบ่นรุนแรงพอสมควร เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเป็นอย่างนั้น เลยให้เงินเพิ่มไปเบ็ดเสร็จหมดไป 230,000 วอน (~6 พันบาท) พอย้ายก็ได้เรียนรู้ว่า “ของเยอะจริง จะเก็บเอาไว้แบบนี้จนถึงเมื่อไหร่ ถ้ามีเวลาควรเอาไปทิ้งบ้าง!”

 

เรื่องเที่ยวๆ

ช่วงต้นปีได้ไปเที่ยวที่ประเทศสิงคโปร์​ นั่งตรงจากเกาหลีไปด้วยสายการบินของประเทศเกาหลีอย่าง Asiana Airlines (ครั้งแรกที่นั่งสายการบินนี้อีกเช่นกัน) บริการทุกอย่างก็มาตรฐาน ข้าวยำอร่อยสมคำร่ำลือ ส่วนถ้าให้พูดถึง “สิงคโปร์” นั้นเป็นประเทศที่ซ่อนธรรมชาติไว้อยู่ทุกที่ บ้านเมืองไม่ได้ดูทันสมัยเหมือนในกรุงโซล แต่มีความเป็นระเบียบ และดูสะอาด แต่ไม่ค่อยเหมาะกับเราตรงสภาพอากาศที่ร้อน (เป็นคนขี้ร้อนมากกกกกก…) ส่วนใหญ่ก็จะหมดเวลาไปกับการเดินชมเมือง ใช้ Google Maps จิ้มไปตามพิกัดสถานที่ต่าง ๆ

ส่วนมื้อนี้หมดไป 4 พันกว่าบาท กินกันสองคน ก็เลยขอจารึกไว้ตรงนี้ว่าเป็นการกินชาบูที่แพงที่สุดครั้งหนึ่ง (ตอนกดจิ้มก็สั่งด้วยความหิว และเป็นคนชอบทานเครื่องใน เลยจิ้มไม่หยุดเลย เกาหลีหาเครื่องในกินยากมาก)

Clarke Quay
Damiao Hot Pot สาขา Clarke Quay

อีกทริปคือ “ทริปญี่ปุ่น” ที่ฮอกไกโด จำได้ว่าเข้างานไปไม่กี่สัปดาห์ก็ต้องขอลาไปเกือบ ๆ อาทิตย์ เพราะทริปญี่ปุ่นนี้ ตั้งใจไว้จะไปนานมาก เหตุที่ต้องเป็นช่วงนี้ก็เพราะว่าจะไปตรงกับฤดูร้อน ช่วงที่ดอกไม้ต่าง ๆ บานที่เกาะฮอกไกโด เรื่องทริปญี่ปุ่น เขียนไว้ค่อนข้างละเอียด ในบล็อกตอน Hokkaido เที่ยวเกาะฮอกไกโด ฤดูร้อน เที่ยวเอง ไม่ขับรถ ตอนที่ 1 !

และนอกจากต่างประเทศ ปีนี้รู้สึกโชคดีที่ได้เที่ยวไทยบ้าง ! เพราะเวลาคนเกาหลี หรือเพื่อน ๆ ต่างชาติมาถาม คำถามพวกแนว “แนะนำที่เที่ยว ทะเลให้หน่อย” หรือแนว “จะไปเที่ยวไหนดี จะไปกระบี่, ภูเก็ต หรือ พัทยา” เราก็จะได้พอให้ข้อมูลได้บ้าง ปีนี้ช่วงกลางปีเลยตัดสินใจไปเที่ยว “กระบี่” เป็นการเที่ยวทะเลใต้ด้วยตัวเองครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ อยากจะเขียนบล็อกเกี่ยวกับการเดินทางมากแต่เวลาไม่ค่อยเอื้ออำนวย เพราะรอบนี้ไปแบบไม่มีรถยนต์ส่วนตัวเลย มีซื้อทัวร์ด้วย มีนั่งรถตู้ด้วย แต่ทุกอย่างก็เพอร์เฟ็กต์มาก เที่ยวเหมือนเป็นคนต่างชาติคนหนึ่ง ที่โหยหาอาหารไทย นวดไทย สนุกกับการเดินสำรวจของในร้านสะดวกซื้อ

ทริปที่กระบี่

เปลี่ยนคอม เปลี่ยนมือถือ
คอมเปลี่ยนจากวินโดวส์ไปแมค มือถือเปลี่ยนจาก iOS ไป Android

ตอนจะเขียนพาร์ทนี้ก็เอะใจว่า มันควรจะเขียนดีไหม 555 แต่ก็อยากจะบันทึกเอาไว้หน่อย เพราะมันก็เหมือนเป็นอะไรที่เราออกมาจากความคุ้นชิ้นเดิม ๆ อยู่นะ ตลอดช่วงม.ปลายใช้แมค (iMac) ทำงาน พอมาเกาหลีก็มาซื้อ (Windows) Laptop เพราะต้องการเอามาใช้ต่อที่เกาหลี ก็ถือว่าห่างเหินกันเกิน 7-8 ปี ส่วน iOS ไป Android เนี่ย จากใจเลย ใช้ iOS มาก็ร่วม 10 ปีแล้ว การเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี่ น่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า ก็เลยลองเอามาคิดเล่นๆ … 

Mac Book Pro Refurbished Box
หน้าตาของกล่อง Mac Book Pro Refurbished คือจะไม่มีลวดลายอะไรเลย ดูเรียบไปอีกแบบ

ช่วงต้นปีมีไฟอยากจะทำคอนเทนต์สูงมาก มีโปรแกรมเจ๋งๆ หลายตัวที่อยากเล่นในแมค อยากกลับไปใช้อีกรอบ (เคยใช้แมคมาตลอดช่วงม.ปลาย) เลยตัดสินใจไปถอยเครื่อง Mac Book Pro ที่เป็นรุ่น Refurbished​ (Refurbished คือ เครื่องที่เคยมีปัญหาแล้วผ่านการซ่อมจาก Apple แล้วมาทำแพ็คเกจใหม่ มีประกันจาก Apple 1 ปี) เลยประหยัดค่าใช้จ่ายลงมาได้หน่อยเทียบกับ Spec ทำงานได้คล่องตัวดี เร็ว แต่ก็ติดปัญหาเหมือนเดิมที่ทำงานกับคนเกาหลีจะต้องใช้โปรแกรมเวิร์ดของคนเกาหลี (Hanword) และสารพัดปลั๊กอิน ก็เลยยังต้องมี Notebook ที่ติดตั้งได้เฉพาะบนวินโดวส์อยู่, แน่นอนรุ่นใหม่ มันก็คงเร็วเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าใช้ต่อไปเรื่อยๆ อีกแค่ไหนถึงจะรู้สึกว่าช้า แมครุ่นใหม่ ๆ ก็จะน่าเบื่ออยู่เรื่องเดียวคือพวกพอร์ทต่าง ๆ ไม่มีอะไรให้นอกจาก USB-C ทำให้ต้องพวก Dock อะไรไปด้วย

 

ตรงข้ามกันคอมเปลี่ยนจากวินโดวส์ไปแมค, มือถือเปลี่ยนจาก iOS ไป Android ตอนแรกก็คิดว่าอยากลองเพราะเบื่อความจำเจอะไรบางอย่าง ตอนที่จะเปลี่ยนงานใหม่ รู้ตัวว่าจะต้องได้โหลดเกมมาเล่นเยอะ น่าจะต้องได้หาเครื่องใหม่ไว้สำหรับเทสต์เกมโดยเฉพาะ เลยเล็ง ๆ มือถือฝั่ง Android ราคาย่อมเยาสำหรับทดสอบเกม ก็มาเจอ One Plus 7 Pro ที่ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่รู้ไปเจอรีวิวจากไหน แต่เห็นแล้วรู้สึกว่า “เฮ้ยย อันนี้มันคุ้มมาก!” และด้วยความที่มือถือ Android รุ่นใหม่ ๆ ใส่ 2 ซิมได้ ก็เลยทำให้การใช้ชีวิตในเกาหลีง่ายขึ้นไปอีก เพราะปกติแล้วเวลาที่ทำธุรกรรมในไทย ก็จะต้องมีส่งเลข OTP ไปทาง SMS การที่มีมือถือ 2 ซิมมันก็สามารถรับข้อความได้ทันที สะดวกรวดเร็ว (แม้ว่า iPhone จะมี eSim แต่การที่ต้องไปลงทะเบียนที่ศูนย์โทรศัพท์ที่เปิดเฉพาะวันธรรมดา ไม่ได้สามารถทำเรื่องได้ทุกที่ ทุกเวลาเหมือนกับที่ไทย เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยงมาก)

 

จากตอนแรกที่บอกว่ามันจะเป็นเครื่องรอง กลายมาเป็น “เครื่องหลัก” เพราะการใช้งานมันค่อนข้างสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนเกาหลี เพราะว่าเกาหลีจะมีบริการอะไรต่างๆ มากมาย แอพสะสมแต้ม, แอพธนาคาร, Mobile Payment, NFC  หลายอย่างที่รองรับเฉพาะ Android พอเปลี่ยนมาใช้ ก็ทำให้การจัดการชีวิตง่ายขึ้น เร็วขึ้น สแกนลายนิ้วมือนี่ก็ยังดีกว่าสแกนใบหน้าในความรู้สึกส่วนตัว สรุปการเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ใหม่ก็ทำให้ชีวิตทำงานง่ายขึ้น …​แต่ก็สูญเสียความเป็น Ecosystem ของอุปกรณ์ไปหลายอย่างเลย อย่างหนึ่งก็ Apple Watch นี่แหละที่ตอนนี้เน้นเอาไว้ดูเวลากับบันทึกการออกกำลังกายอย่างเดียว

 

หากิจกรรมคลายเบื่อ

เอามารวมกันในหัวข้อนี้ เพราะมันก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ยังไม่ได้ใช้ระยะเวลาจริงจังกับมันได้นานนัก ช่วงปลายปีเลยได้มาเริ่มเรียนภาษาจีน เหตุผล 2 ข้อคือ 1. อยากให้ตัวเองไม่รู้สึกจมกับงานมากเกินไป มีประเด็นใหม่ ๆ ให้ผ่อนคลายสมอง 2. อยากสนทนาภาษาจีนพื้นฐานได้ เวลาไปเที่ยวประเทศที่ใช้ภาษาจีน เรียนแค่ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก่อนเข้างาน (ที่เรียนอยู่ใกล้ที่ทำงาน)

ความรู้สึกแรกที่ได้เรียนคือ “นี่มันคือตัวฉันที่เกาหลีเมื่อ 8 ปีที่แล้ว!” จากที่ไม่รู้อะไร ไม่มีพื้นฐานเลย การจะเริ่มต้นจำคำศัพท์อะไรได้แต่ละคำก็ค่อนข้างยากมากเลย แต่ก็ไม่รู้สึกกดดันอะไรตัวเองมาก คงเรียนให้ต่อเนื่องเพื่อรู้คำศัพท์พื้นฐานไปก่อน หาซีรีย์ไต้หวันมาดูเล่น เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเรียน เลยได้มีโอกาสดูเรื่อง Before We Get Married (我們不能是朋友) เห็นว่าเรื่องนี้คนดูเยอะและพูดถึงกันช่วงต้นปี กับเรื่อง The Teenage Psychic (通靈少女) อันนี้เพื่อนไต้หวันแนะนำมา เป็นซีรีย์เก่าหน่อยแต่แฝงข้อคิดไว้ค่อนข้างดี จากปกติที่ไม่ดูซีรีย์อีกก็ได้เปลี่ยนนิสัยเล็ก ๆ ให้กลับมาสนใจกับการดูซีรีย์บ้างกับฝึกการฟัง

และกิจกรรมใหม่ ๆ ที่ได้ทำก่อนจะข้ามสู่ปีใหม่ ก็ได้ไปหากิจกรรมทำอย่างหนึ่งคือ “เล่นสกี” กับ “ปีนเขา”  สองกิจกรรมยอดนิยมของคนเกาหลี การปีนเขาเนี่ย ไม่เคยคิดที่จะปีนเลย เหมือนเดิม เป็นคอมฟอร์ทโซนที่ใหญ่มาก !! ต้องเตรียมตัว เตรียมร่างกาย ตื่นเช้า พี่ที่ทำงานคนไทยชวนไป ตอนนั้นคือตอบตกลงไว้ก่อนเหมือนเป็นการกระตุ้นให้ตัวเองออกมาทำอะไรบ้าง

เดินทางออกจากโซลแต่เช้าไปเมือง เริ่มตั้งแต่เช้าถึงเย็น โหยยย.. ไม่ได้เหนื่อยแบบนี้มาในรอบ 10 ปี ! เอาเป็นว่าจำไม่ได้เลยว่าเหนื่อยล่าสุดคือครั้งที่เท่าไหร่

การค่อย ๆ ปีน เหยียบหินไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นปลายทางนี่เหนื่อยจริง แต่เมื่อขึ้นไปถึงยอดแล้ว มันก็ฟินอย่างว่าจริง ๆ และถ้าข้างบนมีของอร่อยเป็นรางวัลรออยู่ การปีนเขาครั้งที่ผ่านมามันสมบูรณ์แบบมาก แต่ก็นะ ปวดขาไปเต็ม ๆ 3 วัน

เล่นสกีก็ได้คำแนะนำมาจากรุ่นพี่เช่นกัน อยู่เกาหลีมา 7 ปี ไม่เคยมีโอกาสได้ลองเล่นสกีเลย เลยคิดว่าอยากจะลองดู เลยได้ไปจองคอร์สเรียน 2 ชั่วโมง เช่าชุด อุปกรณ์ ไปลองเล่นดู ก็พบว่ามันสนุกบนความเสี่ยงจริง ๆ ตอนเล่นก็ต้องเอาลูกบ้าใส่ไปเยอะ ๆ อย่าไปกลัว ก็จะทำให้พอเล่นได้ พูดอย่างงี้ก็ใช่ว่าจะเล่นได้เยอะ หรือเรียนรู้ได้เยอะ แค่น้ำจิ้มอย่างเดียว กับพอได้รู้ว่า “อ๋อ สกีมันเป็นแบบนี้นี่เอง !”

 

มาย้อนดูตัวเองแบบนี้เรื่องเล่าเรามีเยอะมาก แต่สุดท้ายคือไม่เคยคิดจะแบ่งเวลามาเขียนให้เท่าไหร่ ที่รู้สึก regret กับตัวเองอย่างหนึ่ง คือ ไม่ได้เล่าเรื่องชีวิตจุกจิก ๆ ในเกาหลีเยอะมาก และคิดว่าปี 2020 น่าจะแบ่งเวลาสำหรับการเขียนเรื่องราวชีวิตที่นี่ไว้บ้าง

 

สิ่งที่อยากทำในปี 2020

  1. จัดการเวลา

เหมือนเดิม จะพยายามจัดการเวลาตัวเองให้ดีขึ้น เอาเวลาว่างมาเขียนบล็อก เขียนบทความให้เป็นกิจวัตรมากขึ้น

  1. จัดการเงิน

ไม่เคยมีแผนนี้อยู่ในปีไหน แต่ก็ทำพวกรายรับ-รายจ่ายมาเรื่อยๆ คิดว่าน่าจะต้องหาทางการใช้เงินที่ดีกว่านี้ แม้ปี 2020 จะมีอะไรหลายอย่างไม่แน่ไม่นอน แต่ก็ไม่ควรประมาทกับการใช้จ่าย

  1. ท้าทายกับสิ่งใหม่ ๆ

ยังบอกไม่ได้อีกนั่นแหละว่าในปี 2020 จะได้เจอกับอะไร จะไปท้าทายอะไร ขอแค่ถ้ามีอะไรที่น่าสนใจ ก็พยายามจะบอกกับตัวเองว่าให้ทำ ๆ ไปเถอะ ! เริ่มต้นไปก่อน !

 

สิ่งที่อยากบอกกับตัวเองและแชร์กับคนอ่าน

บางทีจังหวะก็สำคัญ แต่ไม่สำคัญเท่าได้ลงมือทำไปก่อน

ขอให้ปี 2020 (2563) เป็นปีที่เต็มไปด้วยพลังดี ๆ ขับเคลื่อนทั้งปีไปได้อย่างมีความสุขนะครับ 🙂

Hokkaido เที่ยวเกาะฮอกไกโด ฤดูร้อน เที่ยวเอง ไม่ขับรถ ตอนที่ 1 !

ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เกาะฮอกไกโดอีกครั้งครับ หลังจากที่เคยมีโอกาสไปเมื่อ 4 ปีก่อนในหน้าหนาว รอบนี้อยากเปลี่ยนบรรยากาศลองไปฮอกไกโดหน้าร้อนดูบ้าง ก็เลยได้จัดทำทัวร์ย่อม ๆ กับสมาชิกร่วมเดินทาง 9 คน รวมผมด้วยก็เป็น 10 คน เรียกว่าเป็นการฟอร์มทีมการเดินทางที่ ‘ยิ่งใหญ่’ มาก เลยมีโจทย์ให้คิดตามมามากมาย

แน่นอนครับว่าถ้าสมาชิกร่วมเดินทางไปด้วยมีจำนวนเยอะ ก็จะมีเรื่องที่ต้องให้คิดหลายเรื่องหน่อยครับ เช่น

  • ที่พัก 
    • เรื่องที่ต้องคิดส่วนใหญ่ก็จะไม่พ้น จำนวนสมาชิก การจัดสรรห้อง รูปแบบห้อง รูปแบบที่พัก หรือบางทีก็มีปัจจัยเรื่องราคา มีดีลพิเศษก็ต้องเลือกเก็บเอาไว้ก่อน ส่วนจะจองโรงแรม หรือ AirBNB ก็ต้องบอกว่า Case-by-case  สามารถรองรับคนพักได้เยอะ (6-15 คน) หารเฉลี่ยก็ราคาไม่แพง มีตัวเลือกเยอะ บางที่ห้องมีขนาดใหญ่ แต่ห้องน้ำมีจำนวนน้อย ก็จะไม่สะดวกในการทำธุระพร้อมกัน (นึกภาพตามว่า 10 คน จะต้องอาบน้ำตอนเช้า ในขณะที่ห้องอาบน้ำอาจมี 1 หรือ 2 ห้อง) ฟังดูแล้วไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร ถ้ามาหลายกลุ่ม การจัดสรรห้องพักเป็นห้องๆ หรือจองผ่านโรงแรมก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
  • อาหารการกิน ร้านอาหารในญี่ปุ่นเด็ดๆ ส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้รองรับนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มเสียทุกร้าน การหาร้านอาหารอาจจะต้องเล็งจากจำนวนสมาชิกเป็นหลัก
    • ก็ต้องอาศัยหาอ่านรีวิวหรือเน้นเดินกิน แวะกินเป็นหลักอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ในรีวิวนี้จะแนะนำร้านอาหารที่อยู่ในทริปเพื่อประกอบการตัดสินใจ สำหรับใครที่คิดจะทำทัวร์เที่ยวเองย่อมๆสำหรับครอบครัวหรือเดินทางเป็นหมู่คณะ
    • จำนวนคนเยอะ อีกสิ่งที่ควรเช็คคือ รสนิยมการกิน ข้อจำกัดอาหารต่างๆ ที่แตกต่างกัน ก็ต้องหาร้านอาหารที่มีเมนูหลากหลาย หรือเป็นบุฟเฟ่ต์ หรือจัดสรรเวลาสำหรับการทานอาหารแยกกันตามความชอบ
  • การเดินทาง
    • จะสะดวกทุกอย่างหากมีใครสักคนที่สามารถขับรถได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ผม การไปดูดอกไม้ในช่วงหน้าร้อนที่ฮอกไกโด เป็นความฝันของผมเลย แต่ติดที่ว่าการจะเดินทางไปในละแวกโซนดอกไม้ เท่าที่ได้ยินมาคือการเดินทางด้วยรถส่วนตัวจะเดินทางสะดวกมาก เลยเป็นความท้าทายของผมที่จะต้องหาวิธีการเดินทางโดยไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งก็จะมีทัวร์ญี่ปุ่นกับไกด์ท้องถิ่นที่พอเป็นทางออกได้ จำนวนสมาชิกยิ่งเยอะเท่าไหร่การเดินทางต้องระวัง โดยเฉพาะที่ต้องเดินทางโดยใช้รถไฟ – รถบัส จะพลัดหลงกันระหว่างทางได้ง่ายเพราะช่วงที่คนพลุกพล่านก็เยอะจริงๆ รวมไปถึงความตรงต่อเวลา หากจัดทริปท่องเที่ยวหลายคนจะต้องคอยเป็นหูเป็นตา เตือนกันตลอดเวลา ว่า “ห้ามสาย!”
  • แผนการเดินทาง
    • ถ้าจำนวนสมาชิกยิ่งเยอะเท่าไหร่ การบรีฟรายละเอียด ภาพรวมทริปทั้งหมดล่วงหน้ามาก่อนเดินทาง จะทำให้การสื่อสารกระชับขึ้น เข้าใจตรงกัน อาจจะร่างเหมือนกับทัวร์คร่าวๆ การแต่งตัวในแต่ละวันเป็น Guideline วันไหนมีช็อปปิ้ง วันไหนเดินเยอะ หรือวันไหนกินปิ้งย่าง ก็จะได้เลือกการแต่งตัวที่เหมาะสมในแต่ละวันได้
  • อินเทอร์เน็ต
    • ยุคนี้ต้องเร็วครับ มีอะไรต้องถ่ายทอดลงโซเชียล แม้ไม่ได้ติดโซเชียลแต่การจะติดต่อสื่อสารกันระหว่างกลุ่ม ใครตกหล่นอยู่ตรงไหน หรือนัดแนะเวลา มันก็ยังจำเป็นต่อการเดินทางอยู่ดี จำนวนเยอะเท่าไหร่ ควรกระจายไว้ครับ ครั้งนี้ผมเช่าเป็น Wifi พกพา (Portable Wifi) มาใช้ แต่จำนวนก็ไม่เพียงพอกับการใช้งาน แถมต้องอยู่ติด ๆ กันเพื่อให้สัญญานทั่วถึงตลอดเวลา เลยคิดว่าการเดินทางหากสะดวกก็ควรจะมีซิมอินเทอร์เน็ตสำหรับเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศไว้ประจำเลยของใครของมัน

ถ้าพอจะจับแนวทางตรงนี้กันได้แล้ว การจัดทริปเล็กๆ เพื่อเดินทางกับครอบครัว เพื่อน ญาติพี่น้อง ก็ไม่น่าจะเหนื่อยอย่างที่คิดนะครับ (หวังว่า) …

วันที่ 1 : เดินทางสู่เกาะฮอกไกโด

ทริปนี้บอกเลยว่าพิเศษเหมือนเดิม ผมได้เพื่อนญี่ปุ่น 2 คนมาร่วมเดินทางไปด้วย คนหนึ่งเป็นขาประจำที่เดินทางไปญี่ปุ่นที่ไรจะได้รับการช่วยเหลือตลอด ถิ่นกำเนิดคือโอซาก้า แต่ว่าตัวเองก็อาสาพามาเที่ยว ตีตั๋วมาฮอกไกโดโดยเฉพาะ อีกคนเป็นเพื่อนของเพื่อน บ้านเกิดคือฮอกไกโด เมืองซัปโปโร ด้วยความที่เพื่อนกลัวว่าตัวเองจะนำทางได้ไม่ดี เลยไปชวนเพื่อนเจ้าถิ่นมาร่วมแจมด้วย

ผมเดินทางออกจากเกาหลี มาเจอกับกลุ่มป้า ๆ ที่เดินทางมาจากประเทศไทยครับ เราก็ได้มีการนัดแนะ เวลาที่จะถึงโดยคร่าวๆ เมื่อผมถึงสนามบิน ผ่านทุกกระบวนการตม. มาเรียบร้อยแล้ว เราก็จะมาอยู่ในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ Terminal 2 ของสนามบินชิโตเสะ (New Chitose Airport) ครับ ผังของสนามบินก็จะมีสองอาคารใหญ่ๆ Terminal 1 และ Terminal 2 ที่เชื่อมหากัน แต่เมื่อผมออกมาก็พบว่าไม่เจอใครเลย !! คิดว่าเป็นเซอร์ไพรส์แต่ก็ไม่ใช่ ก็รออยู่ได้สักพัก จนออกสำรวจทั่วสนามบินก็ไม่เจอ ก็เลยกลับมาแถว ๆ ที่เดิม ก็พบว่าทุกคนมารวมตัวกันซื้อซอฟต์ครีม ละลายเงินเยนตั้งแต่ยังไม่เข้าเมืองกันเลย !

นั่งกินขนมกันเพลินจนลืมไปเลยว่ามีนัด !!

การเดินทางเข้าตัวเมืองจากสนามบินชิโตเสะ มีด้วยกันหลายวิธีครับ ผมเคยเขียนไว้ในบล็อกการเดินทางฮอกไกโดครั้งแรก ครั้งนี้จะต้องแบกกระเป๋าหลายใบด้วยกัน การเดินทางด้วยรถไฟอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เลยตัดสินใจว่าจะนั่งรถบัสจากสนามบินไปแทน

นั่งบัสจากสนามบิน Chitose เข้า Sapporo

การเช็คเส้นทางรถบัสสนามบิน ผมใช้วิธีการค้นหาเส้นทางจากใน Google Maps คร่าว ๆ ก่อน ว่ามีรถบัสผ่านไปโรงแรมของเราหรือเปล่า แม้ว่ารายละเอียดบน Google Maps จะไม่ได้บอกถึงขั้นว่าต้องขึ้นรถหมายเลขอะไร แต่ก็จะบอกป้ายที่ต้องลงได้ เป็นภาษาญี่ปุ่น ก็อาจจะเอาไป Google Translate แปลเป็นภาษาอังกฤษอีกที ให้เราไปค้นหาในเว็บ Airport Bus อีกครั้งหนึ่ง หรือจะใช้วิธีการถามโรงแรมโดยตรงเลยก็ได้ครับว่า เราควรต้องนั่งรถบัสไปลงป้ายไหนที่จะใกล้โรงแรมมากที่สุด

Lomousine bus from Chitose
เวลาค้นเส้นทางใน Google Maps ถ้ามีคำว่า Limousine Bus ก็พอจะเดาได้ว่าที่นี่มีรถบัสจากสนามบิน

จุดขึ้นรถบัสอยู่ชั้น 1 ของอาคาร Domestic (Terminal 2) เดินตามป้าย ลงบันไดเลื่อนมาที่จุดซื้อตั๋วได้เลย

บัสจากสนามบิน Chiose ไป Sapporo
หน้าตาของจุดจำหน่ายตั๋วรถบัส ที่มีทั้งตู้อัตโนมัติและสามารถซื้อผ่านเคาน์เตอร์ได้

เดินไปที่ เคาน์เตอร์​ Choubus Information แล้วก็แจ้งป้ายที่เราต้องการลง บอกจำนวนคน จ่ายเงินก็จะได้ตั๋วและรายละเอียดจุดขึ้นรถมาตามกระดาษในรูปข้างบนครับ ค่าใช้จ่ายในการเข้าเมือง 1,100 เยน/คน/เที่ยว และมีส่วนลดเมื่อซื้อ 4 ใบ (ตกใบละ 1,000 เยน)

จุดขึ้นรถก็จะเป็นชานชาลาที่ 14 ซึ่งอยู่ถัดไปจากเคาน์เตอร์ชำระเงิน ไม่ได้เป็นแบบระบุที่นั่ง ดังนั้นไปจัดระเบียบแถว ต่อแถวขึ้นรถบัสกันได้เลย

ข้อดีของรถบัสก็คือจะมีประกาศเสียงเป็นภาษาอังกฤษบอกทุกป้าย ทำให้ความกังวลลดลงไปหน่อย กว่าจะเดินทางเข้าตัวเมืองก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมงครับ ตามที่พนักงานเขียนไว้ในโน้ตเลย และลืมบอกอีกเรื่องก็คือ ! ขากลับ จะใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ เนื่องจากว่ารถบัสจะต้องจอดรับผู้โดยสารมากเป็นพิเศษ​บวกกับการจราจรที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เลยเขียนว่าขากลับสนามบินใช้เวลา 2 ชั่วโมง ! ผมเลยไม่ได้จองตั๋วรถขากลับเพราะผิดแผนจากเดิม เลยคิดว่าอาจจะได้นั่งรถไฟใต้ดินเข้าสนามบิน (เนื่องจากขากลับเป็นไฟลท์เช้า 08.40 น.) แต่ถ้าให้สรุปตอนจบเลย เรานั่งรถบัส Limousine แบบเดิมกลับมาที่สนามบิน โดยไปรอขึ้นแต่เช้า รอบเช้าสุดจากสถานีใกล้ที่พัก Susukino 05:18 น. (ซึ่งคนก็ไม่ค่อยเยอะอย่างที่คิด) รายละเอียดจะเอาไปสรุปอีกครั้งตอนท้ายบล็อก…

มุ่งหน้าสู่โรงแรม และตลาดปลา Nijo

โรงแรมที่เลือกใช้บริการทั้งทริปนี้ตั้งอยู่ใจกลาง Sapporo เป็นหน่ึงในเฟรนไชส์โรงแรม ที่เลือกที่นี่เพราะว่าสะดวกกับการเดินทาง ใกล้กับสวนสาธารณะ แหล่งช็อปปิ้ง (ใกล้มากกก เดินแค่ 5 นาทีถึง) ที่นี่คือ ตอนจองก็อาจจะดูให้ดีเพราะโรงแรมที่นี่มีหลายสาขา

มาถึงที่พักก็ยังได้แค่ฝากกระเป๋า แต่เราก็สามารถตบเท้าออกเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ ๆ ได้ก่อน เดินตามเพื่อนไป ตลาดปลา Nijo Fish Market ก็ถือว่าเป็นครัวซัปโปโร เพราะเป็นตลาดใหญ่ที่รวมอาหารสดไว้มากมาย ผมพยายามให้เพื่อนหาร้านที่ฝากท้องได้สำหรับมื้อเที่ยง ก็มาเจอร้านที่อยู่ในตรอกชื่อร้านว่า “魚屋の台所別邸”

เป็นร้านสไตล์ Izakaya คือเป็นร้านเล็กๆ ที่มีที่นั่งเป็นบาร์ให้นั่งทานกับโต๊ะรองรับได้ 2 โต๊ะใหญ่ ซึ่งก็พอดีกับลูกค้า 10 กว่าคนของเราพอดี นั่งกันเบียดหน่อยๆ แต่ก็ได้สั่งอาหารที่ต้องการมาคนละชาม

หน้าร้าน

ร้านนี้จะขายข้าวหน้าปลาหรือ Kaisendon ที่มักจะมีปลาหลายชนิดวางบนข้าว ให้เราราดซอสแล้วคลุกทานกับข้าว เฉลี่ยชามอยู่ที่ละประมาณ 1,500 ~ 3,000 เยน

Kaisendon ข้าวหน้าปลา ซัปโปโร

รสชาติอาหารแถวนี้ออกไปทางเค็มสักหน่อย ใครที่ไม่ทานเค็ม ไม่น่าจะชอบสไตล์นี้ โดยภาพรวมยังกลาง ๆ แต่เป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับคนที่หิวโซเซ ส่วนใหญ่ร้านค้าในตลาดจะเหมาะกับการซื้อของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่า เพราะเป็นย่านท่องเที่ยว ราคาย่อมสูงบ้าง ของบางอย่างสามารถหาซื้อได้ที่สนามบิน (ฝั่ง Domestic) ได้เช่นกัน แต่ถ้าใครอยากซื้อของแล้วเตรียมแพ็คใส่กระเป๋า ก็มาหาเดินได้จากตลาดเช้านี้ได้เลย

บรรยากาศ ตลาดเช้า Nijo Fish Market ซัปโปโร

กินข้าวเสร็จก็เดินย่อย มาสำรวจ ตรอกทานุกิโคจี (Tanukikoji) เป็นย่านช็อปปิ้งชั้นดีที่รวมร้านค้าไว้เป็นหลักร้อย เดินช็อปกันเพลิน ๆ ทั้งเครื่องสำอาง ร้านยา เสื้อผ้า รองเท้า ก็มาเดินเลือกได้สบาย ๆ อยู่ห่างจากตลาดประมาณ​ 10 นาที

ช็อปปิ้ง Sapporo ตรอก

ด้วยเป็นย่านช็อปปิ้ง ก็จะมีสินค้าบางรายการที่ถูกหรือนำมาจัดรายการ แพงถูกปนกันไป มีตรอกซอกซอยอยู่เต็มไปหมด จะว่าไปเดินช็อปปิ้งตรงนี้ก็เพลินดีครับ

ห้องพักที่โรงแรม WBF Sapporo Chuo

กลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ที่ชอบโรงแรมนี้จุดหนึ่งคือมีมุมให้ผู้ที่เข้าพัก สามารถเลือกตักผงอาบน้ำ เลือกกลิ่นที่ชอบ แล้วใส่ถุงนำไปใช้อาบน้ำที่ห้องได้ เข้าใจว่าทุกห้องพักจะมีเป็นอ่างอาบน้ำ รวมไปถึงกาแฟที่มีบริการตลอดเวลาก็รู้สึกว่าเตรียมความพร้อมไว้ให้ค่อนข้างดี พอถึงเวลาเช็คอินได้แล้ว ก็จะต้องมีจ่ายค่ามัดจำคีย์การ์ด และผมต้องการทานอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมด้วย ก็มาชำระเงินเพิ่มเติมได้ที่โรงแรมตอนเช็คอิน (บุฟเฟ่ต์หัวละ 1,300 เยน)

ห้องพักที่จองเป็นห้องแบบ “Twin room” เป็นห้องเตียงเดี่ยว 2 เตียง มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเป็นตู้เย็นขนาดเล็ก, เครื่องฟอกอากาศ มีโต๊ะทำงานเล็ก ๆ ให้ด้วย นอกจากนี้ก็มีโทรศัพท์มือถือ เข้าใจว่าไว้สำหรับใช้งาน อ่านไกด์ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ซึ่งเอาจริง ๆ ไม่ได้ใช้ครับ

ห้องน้ำมาตรฐานเลยคือมีอ่างอาบน้ำ สบู่ แชมพู คอนดิชันเนอร์ อะไรให้ครบหมด

มื้อเย็นที่ร้าน Ebiten Bunten

กลับมาพักที่โรงแรมได้สักครู่ ก็นัดเวลากินข้าวเย็นกันครับ สถานที่สำหรับมื้อเย็นก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักสักเท่าไหร่ เดินมาประมาณ 10 นาที มื้อเย็นนี้มาฝากท้องที่ร้าน “Ebiten Bunten” ซึ่งเป็นร้านเทมปุระที่อร่อยมากกก… ขอสปอยล์รสชาติอาหารตั้งแต่ยังไม่รีวิวอาหาร !

ร้านนี้ก็ถือว่ากว้าง รองรับลูกค้าได้หลายคน มีเป็นห้องแบบส่วนตัวเลยก็มี ด้วยความที่ตอนเราเดินทางไปเพื่อนโทรศัพท์ไปจอง เลยได้ห้องแยกมาพิเศษเลย สำหรับรายการอาหาร โชคดีที่มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษ และเมนูภาพทำให้การเลือกอาหารไม่ค่อยยากมาก จะมีเป็นเทมปุระหน้าต่างๆ ตั้งแต่ปู กุ้ง รวมมิตร (Kakiage) ราคาอยู่ที่ชามละ 900 เยน ไปจนถึง 3,000 เยน (เซ็ต) ตามขนาด

ในเซ็ตบางเซ็ตก็จะมีข้าว มีผักดอง เครื่องเคียงตามมาให้มากมาย รสชาติโอเคเลยครับ และถูกใจผมที่สุดคงจะเป็น “Kakiage” มันคล้าย ๆ กับทอดมัน ?? ข้างในมีไส้หลายอย่าง พอทานกับข้าวแล้ว กรอบ หอม อร่อย รสชาติเยี่ยมมากครับ

Kakiage Tempura Bowl (900 เยน)

ได้พาสมาชิกทัวร์ทานมื้อเย็นครบถ้วน ก็เป็นว่าไม่มีอะไรต้องห่วงสำหรับวันนี้แล้วครับ กลับโรงแรมแล้วไปพักผ่อนเตรียมตัวกันวันต่อไปได้ …

ห้องอาหารเช้าที่โรงแรม WBF Sapporo Chuo

การทานอาหารเช้าที่โรงแรมตอนเช้า บอกก่อนเลยว่าจะสะดวกสำหรับการเตรียมตัวเดินทางในแต่ละวัน ยิ่งสมาชิกหลายคนที่ตื่นนอนเช้า-สาย ไม่พร้อมกัน ใครสะดวกมาทานอาหารเช้าก่อน ก็สามารถเตรียมตัวทานได้ทันที กับตัวเลือกอาหารที่หลากหลายจะทำให้ไม่มีข้อจำกัดในการทาน และเลือกทานได้ตามความชอบ เป็นตัวเลือกที่คิดว่าเลือกมาถูกต้องมาก ๆ 555

ห้องอาหารที่โรงแรม WBF เปิดให้บริการเช้ามาก จำได้ว่า 07.00 น. ก็ลงมากินอาหารเช้ากันแล้ว และยาวไปจนถึง 9-10 โมง เราจะได้เป็นคูปองทานอาหารเช้า ลักษณะของอาหารเช้าก็จะมีหลากหลาย เป็นบุฟเฟ่ต์ให้เลือกตักทาน มาตรฐานสไตล์โรงแรมคือ ของคาว ของหวาน เครื่องดื่ม และพิเศษหน่อยสำหรับที่พักหลาย ๆ ที่ ที่จะต้องมีอาหารทะเล ซาชิมิ ปลาดิบ ไข่ปลา ผักนึ่งต่าง ๆ ให้เลือกทานได้ตามใจ

โซนอาหารเช้า เรียกว่าตกแต่งภายในได้น่ารัก มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะดี จบทริปเราก็มีการประเมินความพึงพอใจ คณะทัวร์ของเราพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ประทับใจมื้อเช้ามาก” 555

เสร็จภารกิจมื้อเช้าแล้ว ก็เตรียมเดินทางกันต่อครับ…

จองทัวร์ชมดอกไม้ที่เมือง Furano

จุดชมดอกไม้ ทุ่งดอกไม้ ลาเวนเดอร์ ที่โด่งดัง มีชื่อเสียงในเกาะฮอกไกโด ก็คงจะไม่พ้นย่านท่องเที่ยวสำคัญอย่าง “ฟูราโนะ (Furano)” ครับ ที่นี่ก็เป็นหนึ่งเมืองที่การเดินทางมีรถไฟอะไรเข้าถึงได้บ้าง (บางส่วน) แต่จากที่ทำการบ้านมา คนส่วนใหญ่เลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวด้วยเหตุผลที่ว่า สะดวกกับการเดินทาง ในเมือง Furano มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายอย่าง

พอมาพิจารณาเรื่องการเดินทางกับสมาชิกที่ร่วมเดินทางด้วยเป็นสิบ การจะใช้รถไฟเพื่อไปต่อรถบัสเข้าไปตามฟาร์มดอกไม้ต่างๆ ไม่น่าจะสะดวก (จินตนาการ ภาพก็ไม่ตามมา) เลยต้องมาหาข้อมูลว่าจะมีทัวร์แบบ 1 วัน ให้เราสามารถเดินทางได้สะดวกหรือเปล่า ก็มาเจอกับ “Chuo Bus : Sightseeing Bus” เป็นบริการรถบัสทัวร์ชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ทั่วเกาะฮอกไกโดะเลย โดยจะมีเป็นคอร์สให้เลือกในหน้า All Course List

รายละเอียดที่ต้องเช็คก็คือรูปแบบทัวร์ที่เราสนใจ เส้นทาง ระยะเวลา ที่สำคัญโดยเฉพาะช่วงฤดูกาลชมดอกไม้ จะมีการเขียนไว้ชัดเจนว่าระยะเวลาเดินทางคือช่วงไหน รายละเอียดเนื้อหาในเว็บไซต์นี้จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทุกปี (ลิงก์รายละเอียดในหน้าเว็บก็เปลี่ยนไปทุกปีด้วย) ราคาทัวร์ก็จะแตกต่างกันไปตามระยะเวลา

ที่ผมเลือกเดินทางก็จะเน้นการชมฟาร์ม ทุ่งดอกไม้สำคัญ ๆ ในระยะเวลา 1 วัน (09.00 ~ 19.30 น.) มีค่าใช้จ่ายตกคนละประมาณ 7,000~8,000 เยน

ตอนจองเราสามารถทำรายการจากปุ่ม Click here for reservation ได้เลย โดยกรอกรายละเอียดผู้เดินทาง, หมายเลยทัวร์ที่ต้องการ, จำนวนคนเดินทาง, ค่าใช้จ่ายทั้งหมด (คำนวณเองอ้างอิงตามจำนวนเด็กและผู้ใหญ่) แล้วก็กดส่งไป เข้าใจว่าก็จะมีการคอนเฟิร์มรายการจองอีกครั้ง และรายละเอียดจะส่งไปทางอีเมล

ผมได้รับข้อมูลตอนจองเสร็จผ่านทางอีเมล อ่านในรีวิวจาก Pantip ก็พบว่าก่อนเดินทางเราจะได้เอกสารยืนยันการเดินทาง แต่เนื่องจากผมไม่ได้รับ เลยให้เพื่อนโทรศัพท์ไปเช็คกับที่ Call Center ก็พบว่า “ไม่มีรายละเอียดการจองของคุณ” เพื่อนก็จัดการคอนเฟิร์มตารางให้อีกครั้งทุกอย่างก็ผ่านไปราบรื่น ก็เลยได้บทเรียนจากตรงนี้ว่า “ควรตรวจสอบการจองก่อนเดินทาง และเลี่ยงการจองวันหยุด เพราะบางทีพนักงานจะตกหล่นรายการจองระหว่างวันได้ (จำได้ว่าตอนจองไปจองวันอาทิตย์ค่ำๆ)” 

เดินทางขึ้นรถที่ Sapporo Station Bus Terminal

ทัวร์ 1 วันของที่นี่ ตอนจองจะเขียนเอาไว้ชัดเจนเลยครับว่า “ต้องมาก่อนล่วงหน้า 20 นาที” เราก็เดินออกจากที่พักตั้งแต่ 08.00 น.​ ล้อหมุน 09.00 น.​

เดินมาตามเส้นทางใน Google Maps จนมาพบกับตึกห้าง ESTA ใหญ่ ๆ นี้ครับ มาตามป้ายและบันไดใหญ่ ๆ ขึ้นมาจะเป็นจุดซื้อตั๋ว/แลกตั๋ว รถบัส-ทัวร์ต่าง ๆ ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่

ผมก็นำรายละเอียดการจองไปยื่นที่เคาน์เตอร์ พร้อมกับชำระเงิน เราสามารถชำระด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ครับ ตอนเดินทางเอาบัตร Krungthai Travel Card มาลองใช้ ปรากฏว่าจุดๆนี้ใช้ได้ครับ ! ด้วยความที่ผมเองอยากทดสอบขอบเขตข้อจำกัดของบัตรนี้ เลยลองเอามาใช้ตามจุดต่าง ๆ ตรงไหนใช้ได้-ไม่ได้ยังไง คงมีเขียนแทรก ๆ เอาไว้บ้าง แต่เดี๋ยวจะเข้าใจว่าเรา tie in บอกไว้ก่อนว่า “ไม่ใช่ !”

ตรงนี้มีห้องน้ำ ตู้น้ำ บริการอยู่ การมาก่อนเวลาเป็นสิ่งสำคัญมากเผื่อว่าใครจะติดทำธุระอะไร เมื่อใกล้เวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่ มาชูป้ายตัวอักษรภาษาอังกฤษ (หมายเลขทัวร์) ให้เราเรียงแถวแล้วเดินลงไปที่จุดขึ้นรถชั้นล่าง ก็จะมีรถมารอรับอยู่ ตำแหน่งที่นั่งก็เลือกได้ตามอัธยาศัย

ทัวร์ไม่ได้มีบริการอาหาร-เครื่องดื่มเหมือนบ้านเรา ก็อาจจะพกน้ำดื่มเล็ก ๆ น้อยมาได้ครับ จะมีไกด์ท้องถิ่นที่พูดภาษาญี่ปุ่นตลอดทั้งทริปให้นั่งฟัง และฝึกภาษากันเพลิน ๆ (ไม่มีภาษาอังกฤษเลยสักตัว) เพื่อนญี่ปุ่นผมร่วมเดินทางมาด้วย (ซึ่งก็เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเหมือนกัน ที่ได้มานั่งและใช้ทัวร์บริการในประเทศของตัวเอง) ที่ตลกอย่างหนึ่งคือ ทั้งคันนอกจากเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 10 ชีวิตแล้ว ก็มีนักท่องเที่ยวชาวจีนอีกราว ๆ 10​ชีวิต นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ผมสังเกตได้มี 2 คนถ้วน คือเพื่อนของผมและคุณป้าที่นั่งข้าง ๆ แม้ว่าทั้งคันแทบจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็ไม่ได้มีการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษช่วยแต่อย่างใด (เพราะทัวร์ที่เลือกมาไม่ได้เป็นแบบภาษาอังกฤษ) แต่ก็ดีที่เพื่อนของผมคอยส่งไลน์ อธิบายอยู่เรื่อย ๆ ว่า ที่ไกด์พูดนั้นหมายถึงอะไร หน้าที่ของผมคือการแปลเป็นภาษาไทย และส่งเข้าไลน์กลุ่ม สำหรับคนที่ต้องการคำบรรยายเพิ่มเติม

(อย่าเพิ่งงงว่าผมคุยกับเพื่อนญี่ปุ่นได้ยังไง ผมสื่อสารกับเพื่อนด้วยภาษาเกาหลีครับ เพื่อนฟังภาษาญี่ปุ่น มาเขียนเป็นเกาหลีให้ผม และผมสื่อสารภาษาไทยกับคณะอีกที)

ตารางทัวร์ 1 วันที่ Furano

09.00 ล้อหมุน
09.45 พักผ่อนที่จุดพักรถ Iwamizawa Rest Area (15 นาที)
11.20-11.45 จับจ่าย ช็อปปิ้งที่ Campana Rokkatei กลางสวนองุ่น (25 นาที)
12.05-13.45 เดินทางถึงโรงแรม New Furano (100 นาที) – ทานอาหารเที่ยงของโรงแรมแบบบุฟเฟ่ต์ – พักผ่อนถ่ายรูปตามอัธยาศัยที่ Furano Drama Museum, Ningle Terrace – ชมสวน “Yasashii Jikan” – Mori no Tokei – Kaze no Garden (ค่าเข้าชมแยกต่างหาก ¥700)
14.10-15.05 ฟาร์ม Farm Tomita (ตามอัธยาศัย 55 นาที)
15.35-16.15 ชมสวน Shikisaino-Oka ชมดอกไม้นานาพันธุ์ รวมถึงดอกลาเวนเดอร์ และทุ่งดอกไม้หลากสี ที่ได้รับคำนิยมและคำชมว่าจัดสวนไล่สีได้สวยงามที่สุด (ตามอัธยาศัย 45 นาที) – ถ่ายรูปกับแนวต้นไม้ในถนน Biei, ชมต้น Ken & Merry (10 นาที) – ถ่ายรูปกับต้น Seven star Tree (วิวจากบนรถ)
17.55-18.15 พักรถ ซื้อของฝากที่ Sunagawa Highway Oasis (20 นาที)
19.30 เดินทางกลับสู่ Sapporo Bus Terminal

 

จุดพักรถ Iwamizawa Rest Area

หลังเดินทางมาได้ชั่วโมงนิด ๆ เขาก็จะปล่อยให้เราเข้าห้องน้ำครับ จุดตรงนี้ก็จะมีร้านสะดวกซื้อ ห้องน้ำที่คนต่อคิวยาว สุภาพสตรีที่มั่นใจว่าตัวเองต้องเข้าห้องน้ำแน่ ๆ ก็ควรรีบไปจัดการให้เร็วที่สุด เพราะตรงนี้มีทัวร์หลายที่มาจ่อลงเหมือนกันและเวลาตรงนี้ให้แค่ 15 นาที

จุดพักรถก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเล่นด้วยครับ ในฐานะนักท่องเที่ยวมุมแบบนี้เราก็ตื่นเต้นแล้ว

ขึ้นรถต่อมุ่งหน้าไปจุดชมที่แรกครับ ที่นี่เป็น ฟาร์ม Campana Rokkatei ก็จะมีฟาร์มให้ดู วิวสวนสวย ๆ ให้ได้ถ่ายรูปด้วย

Campana Rokkatei
ฟาร์ม Campana Rokkatei

เวลาตรงนี้แอบน้อยไปนิดเทียบกับการเลือกหากไม่ได้ทำการบ้านมาครับ หากคุณไม่ได้ทำการบ้านมาคุณจะใช้เวลาในการตัดสินใจเลือกซื้ออะไรสักอย่างนานกว่าปกติ เราจะไม่รู้ว่าอะไรควรซื้อ ไม่ควรซื้อ ลังเลตัดสินใจนาน นอกจากตรงนี้จะมีฟาร์มองุ่นให้ถ่ายรูปแล้ว ยังมีสินค้าขึ้นชื่อมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นขนม ซึ่งด้วยความที่มันเป็นขนมการจะตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อได้นั้นก็ต้องได้ชิมก่อน เลยใช้เวลาคิดอยู่นาน

ไหนจะรวมเวลาเลือก เวลาเข้าแถวจ่ายเงิน บอกเลยครับว่าจุดจอดนี้ทำพวกเราเกือบขึ้นรถไม่ทันเหมือนกัน เพราะจุดตรงนี้ให้เวลา 25 นาที ถ้าถามว่าผมจะแนะนำอะไร ขอบอกเลยครับว่าขนมที่นี่อร่อยหลายอย่างโดยเฉพาะ !! “Marusei Butter” พอได้อ่านคำอธิบาย เขาบอกว่ามันเป็น “แซนด์วิชบัตเตอร์” ผมก็นึกภาพไม่ออกว่าเป็นยังไง  แต่จากที่ได้ชิมแล้ว ขออธิบายว่า มันคือขนมที่มีไส้เป็นครีมหอมๆ ข้างใน ตัดหวานด้วยเปรี้ยวของลูกเกด คือเข้ากันดีมากครับ กินเพลิน เป็นขนมที่ได้ชิมแล้วก็ซื้อติดกลับมาไม่ได้มาก เพราะเรื่องของวันหมดอายุ shelf life ที่อยู่ไม่ค่อยได้นานและไม่อยากจะเพิ่มน้ำหนักกันข้ามวันข้ามคืน เป็นขนมที่อยากกลับไปซื้อมากินอีกมากกกกๆๆๆๆ (ตอนที่เขียนบล็อกนี้ท้องก็ร้องไปหลายรอบแล้ว)

หน้าตาในรูปถ่ายโฆษณาไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ แต่บอกเลยครับ อย่างน้อยก็ลองสักชิ้น มันมีขายเป็นชิ้นๆ แยกอยู่

ถ้าซื้อไม่ทันจากที่ฟาร์มนี้ ก็มีขายที่สถานี JR Sapporo เหมือนกันครับ หรือตามร้านขายของฝากในสนามบินใหญ่ ๆ แต่อาจจะไม่มีขายแยกซองเล็ก ๆ ให้ชิมก่อน เลยอยากเสนอว่า ถ้าอยากจะชิมขนมจริง ๆ ซื้อที่ฟาร์ม ตัดสินใจได้แล้วค่อยไปหาซื้อในตัวเมืองหรือสนามบินได้ (เผื่อเวลาซื้อให้ดีล่ะ!)

วิวริมทางตลอดเส้นทางชมฟาร์มต่างๆ

เส้นทางต่อไปก็จะเป็นเส้นทางกินข้าวแล้วครับ บรรยากาศหน้าร้อนที่ฮอกไกโดช่วงเดือนมิถุนายนนี้ก็ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ เดินเที่ยวได้สบาย ๆ เลย เที่ยวเป็นทัวร์ 1 วัน ไม่ได้ให้บรรยากาศอึดอัดแม้แต่น้อย นั่งรถต่อมาประมาณ 20 นาที ก็เดินทางมาถึง แล้วครับ

ที่นี่เป็นโรงแรมค่อนข้างใหญ่ มีห้องอาหารที่มีบริการบุฟเฟ่ต์อาหารกลางวันที่ใหญ่มาก เข้าใจว่าบริษัททัวร์เลยมาใช้บริการที่นี่ เวลาตรงนี้ค่อนข้างเหลือเฟือครับ 1 ชม. 20 นาที ให้ค่อย ๆ นั่งทานข้าว และเดินสำรวจรอบโรงแรม

อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย เป็นบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติครับ รสชาติก็โอเคเลย ตรงนี้ก็กินให้อิ่มเต็มที่แล้วก็เตรียมไปเดินทางกันต่อได้

ออกมาหน้าโรงแรม ลงบันไดไปทางซ้ายมือจะมีเป็นซุ้มต้นไม้ให้ถ่ายรูปครับ ตรงนี้จะเป็นป่า+สวนใหญ่ ๆ ให้เข้าไปถ่ายรูป เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เลยก็ว่าได้ ตรงนี้เรียกว่า “Ningle Terrace”

เข้ามาก็จะเห็นเป็นร้านค้ากระท่อมเล็ก ๆ จำหน่ายสินค้าแฮนด์เมด ราคาก็ค่อนข้างสูงหน่อย แค่ได้มาเก็บภาพและบรรยากาศตรงนี้ก็ฟินแล้วครับ

เสร็จสิ้นจากตรงนี้แล้ว ก็นั่งรถต่อไปอีกประมาณ 20 นาที ก็เป็นที่ตั้งของฟาร์ม Tomita ครับ ฟาร์มนี้ขึ้นชื่อเรื่องของลาเวนเดอร์ แน่นอนว่าพูดถึงลาเวนเดอร์ ส่วนใหญ่ก็มักจะพูดถึงฟาร์ม ๆ นี้ ที่ต้องมาชิมช็อปใช้จ่ายที่นี่

ฟาร์ม Tomita

ฟาร์มโทมิตะ Tomita Farm
ฟาร์มโทมิตะ เดือนมิถุนายน

ทัวร์ให้ระยะเวลาตรงนี้ประมาณ 55 นาทีครับ ตามอัธยาศัย ซึ่งเพียงพอกับการเดินชมสวน ถ่ายรูปรอบ ๆ เลือกซื้อของฝากหรือทานซอฟต์ครีม ที่นี่ก็จะมีซอฟต์ครีมลาเวนเดอร์รสยอดนิยม และรสชาติอื่นๆ ให้กินกันคลายร้อน

ช่วงที่เดินทางคือประมาณต้นร้อนของฮอกไกโด (ต้นเดือนมิถุนายน) ฟาร์มดอกไม้พวกนี้จะยังไม่เบ่งบานแบบสุด ๆ ครับ โดยเฉพาะลาเวนเดอร์ ก็จะมีพืชพันธุ์บางชนิดที่ได้ให้เห็นบ้าง ส่วนตัวก็ไม่ได้ถึงขั้นผิดหวังอะไร เพราะได้ออกจากเมืองมาเห็นกับความสดชื่น ทุ่งหญ้า แค่นี้ก็เพลินมากแล้วครับ

สวนชิกิไซโนะโอกะ (Shikisaino-Oka)

สถานที่สุดท้ายของทัวร์วันนี้ครับ “ชิกิไซโนะโอกะ” ที่นี่ก็เป็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสายพันธุ์เช่นกัน ระยะทางก็ห่างจากฟาร์ม Tomita 30 นาที เรียกว่ามาโซนนี้สามารถรับชมได้หลากหลายสวนเลย

จุดเด่นของสวนที่นี่ คงเป็นเรื่องลักษณะความชันของเขา ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ไม่เหมือนที่อื่นครับ และดอกไม้ตรงนี้จะค่อนข้างมีหลากหลายสายพันธุ์ และเข้าใจว่าถ้ามาถูกช่วงเวลา ช่วงที่บานเต็มที่น่าจะได้เห็นการไล่สีของดอกไม้แบบสุดๆครับ มีเวลาเดินประมาณ 45 นาที สามารถเข้าห้องน้ำ และเลือกซื้อของฝากได้จากจุดนี้เช่นกัน ทางไกด์ก็กำชับมาว่าให้ทำธุระเนิ่นๆ เนื่องจากเสร็จสิ้นจากตรงนี้แล้ว รถจะยิงยาว 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่อไปจุดพักรถและเข้าสู่ตัวเมืองซัปโปโรต่อไปครับ

ทางกลับก็จะผ่านถนน Biei ซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นไม้ที่เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม เราจะไม่ได้ลงไปถ่ายแต่คนขับจะชะลอรถให้ได้ถ่ายรูปจากบนรถ ภาพที่ได้ก็จะประมาณนี้ครับ…

Ken and merry Furano
ต้น Ken and Merry
ต้น Sevenstar ดังเพราะเป็นต้นไม้ที่อยู่ในกล่องบุหรี่ยี่ห้อ Sevenstar ในมีการจำหน่ายในช่วงปี ค.ศ. 1976

จบทั้งทริปก็ได้เริ่มมืด ๆ พอดีครับ ผมเองค่อนข้างสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเพราะว่ามีบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างรออยู่คืนนี้ ความหิวค่อย ๆ ถามหาอยู่เรื่อย ๆ ครับ แต่ก่อนจะกลับเข้าไปที่ซัปโปโร ก็จะมีแวะพักเข้าห้องน้ำที่จุดจอดรถ Sunagawa Highway Oasis 20 นาที

ตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดพักรถที่ใหญ่ดีครับ มีเหมือนมาร์ทเล็ก ๆ ให้ซื้อของฝาก มีร้านขายเบเกอรี่ชื่อดัง Kitakaro (北菓楼) และขายอาหารปรุงสำเร็จอยู่ในนี้ด้วยเผื่อใครทนพิษความหิวไม่ไหว

ร้านขนมดัง Kitakaro มีให้เลือกซื้อที่นี่ด้วยครับ (เห็นว่ามีสาขาใหญ่ในซัปโปโรด้วย) ขวามือเป็นขนมมันฝรั่งที่น่าจะหาซื้อได้เฉพาะในเกาะฮอกไกโด

จุดลงรถตอนเข้าเมือง Sapporo เราสามารถเลือกได้ครับว่าจะให้ไปจอดที่ไหน ด้วยความที่ร้านอาหารที่จะไปทานนั้นอยู่ใกล้กับ Sapporo Factory เลยขอให้รถไปส่งที่ Sapporo Factory ครับ

เดินทางมาถึง Sapporo Factory ตอน 19.25 น. ครับ จองโต๊ะไว้ตอน 19.45 น. เผื่อไว้พอสมควรเพราะไม่แน่ใจเรื่องสภาพการจราจร

ตอนลงจากรถ มีอะไรที่สะดุดตาผมมากครับ เหตุผลที่ญี่ปุ่นยังคงเสนอฟรีวีซ่าให้คนไทย ก็เพราะว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องพลังแห่งการช็อปปิ้งของคนไทยเลย !” มีคนละหลายถุง 555

มื้อค่ำ Bier Keller บุฟเฟ่ต์เนื้อย่างเจงกีซข่าน

ตอนแรกไม่ได้วางแผนจะกินบุฟเฟ่ต์ แต่ร้านส่วนใหญ่ที่รองรับแขกได้เยอะ ๆ มักจะเป็นร้านลักษณะนี้ เลยให้เพื่อนจองร้าน สาขา Sapporo Kaitakushi ซึ่งอยู่ภายใน Sapporo Factory โดยจองผ่านตั้งแต่ช่วงเที่ยง (สามารถจองวันนั้นได้เลย) โดยร้านที่เลือกไปทานเป็นบุฟเฟ่ต์เนื้อเจงกีซข่าน (แกะ) และมีหมู, เนื้อ ตามราคาของเซ็ต หัวละ 3,240 เยน ร้านนี้มีหลายสาขาครับ มีที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรก็มี

เข้ามาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงครับ พนักงานมาจัดการเตาอะไรให้เรียบร้อย เสิร์ฟเมนูพื้นฐานมาให้เราละเลงกันได้ จังหวะนี้เงียบมาก เพราะต่างคนต่างหิว

เครื่องดื่มก็มีเป็นเบียร์ให้ทานกับเนื้อฟิน ๆ ด้วย

เนื้อเจงกีซข่าน Genghiskhan Beef ร้าน Bier Keller

รสชาติอาหารที่นี่ถือว่าโอเคครับ กลาง ๆ ด้วยความที่ในรายการอาหารที่เป็นบุฟเฟ่ต์ไม่มีของหวานอะไรมาตัดรสชาติเนื้อ มีแต่ผักกับเนื้อเป็นส่วนใหญ่ กินไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะมีเลี่ยนหน่อยครับ แต่ภาพรวม ทั้งบรรยากาศ รสชาติ โอเคมาก ถือว่าทำตามภารกิจสำเร็จ ได้มาทานอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ “เนื้อเจงกีซข่าน” !

จากร้านอาหารไปจนถึงที่พักก็ไม่ได้ห่างกันมากครับ เลยตัดสินใจใช้วิธีเดินย่อย โดยอ้อมไปทางเส้นทาง Sapporo Clock Tower เพื่อที่จะได้ชมหอนาฬิกายามค่ำคืนด้วย ก่อนจะเดินทางกลับไปยังที่พักครับ

ยังมีเรื่องราวการท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้นำเสนออยู่อีก !!

ยังไงรอติดตามการเดินทางท่องเที่ยวเกาะฮอกไกโดในตอนต่อไปด้วยนะครับ !

 

รายละเอียดและใบสมัคร ทุนรัฐบาลเกาหลีป.ตรี ประจำปี 2020 (GKS/KGSP Program)

กำหนดการรับสมัครของ “ทุนรัฐบาลเกาหลี ระดับชั้นปริญญาตรี (Undergraduate)” หรือ Global Korea Scholarship Program for Undergraduate (GKS) (ชื่อเดิม KGSP) สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเลือกสมัครผ่านทางช่องทางใดช่องทางหนึ่งต่อไปนี้

รูปแบบการรับสมัคร

  1. ผ่านสถานทูตเกาหลี (Korean Embassies)
    รับนักเรียนไทยทั้งหมด 3 คน สามารถเลือกเข้าศึกษาในคณะจากมหาวิทยาลัย 63 แห่งทั่วประเทศเกาหลี (สามารถอ่านรายชื่อมหาวิทยาลัยและคณะที่สามารถสมัครได้จากเว็บไซต์ตามรายละเอียดด้านล่าง)รายชื่อมหาวิทยาลัยในเกาหลี ที่สมัครทุนรัฐบาลได้
  2. ผ่านมหาวิทยาลัยท้องถิ่น (Regional Universities)
    รับนักเรียนไทยทั้งหมด 2 คน โปรแกรมนี้จะเหมาะสำหรับนักเรียนที่สนใจศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ที่สนใจศึกษาในมหาวิทยาลัยท้องถิ่น (ต่างจังหวัด) หลักสูตร 4 ปี โดยมีมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมรับเลือกทั้งหมด 38 แห่ง ดังนี้
  3. โปรแกรมสำหรับอนุปริญญา (Program for Associate Degree)
    รับนักเรียนไทยทั้งหมด 2 คน หลักสูตรอนุปริญญา (Associate Degree) หลักสูตร 2-3 ปี + เรียนภาษาเกาหลี 1 ปี สามารถเข้าศึกษาได้ในมหาวิทยาลัยดังต่อไปนี้

ดาวน์โหลดใบสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี ระดับปริญญาตรี

เมื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ StudyinKorea.go.kr แล้ว รายละเอียดของ ทุนรัฐบาลเกาหลี ปีการศึกษา 2020 จะอยู่ในส่วนของ Recent articles (หาข้อความ 2020 GKS Program for Undergraduate Degrees) รายละเอียดของแต่ละช่องทาง (สถานทูตฯ, มหาวิทยาลัยท้องถิ่น, โปรแกรมอนุปริญญา จะอยู่คนละลิงก์ สามารถเลือกคลิกอ่านรายละเอียดส่วนที่ต้องการสมัครได้)

และเมื่อคลิกเข้าไปดูรายละเอียด ในแต่ละประเภทจะมีเอกสารต่างๆ รายชื่อมหาวิทยาลัย/คณะ ที่สามารถเลือกเรียนได้ ได้จากไฟล์แนบด้านล่าง

คุณสมบัติของผู้สมัครทุน (ผ่านสถานทูตเกาหลี)

  1. มีสัญชาติไทย (พ่อหรือแม่ต้องไม่มีผู้ใดถือสัญชาติเกาหลี)
  2. อายุไม่เกิน 25 ปี (เกิดหลังวันที่ 1 มีนาคม 1995)
  3. สุขภาพดีทั้งร่ายกายและจิตใจ
  4. คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ก่อนวันที่ 1 มีนาคม ปี 2020 (ผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีแล้ว ไม่สามารถสมัครได้)
  5. เกรดเฉลี่ย 2.64 ขึ้นไป
  6. ผู้สมัครจะต้องไม่เคยได้รับทุนจากเกาหลีในระดับปริญญาตรีอื่น, ไม่มีข้อจำกัดในการเดินทางต่างประเทศ

ผู้ที่เข้าข่ายการพิจารณาเป็นพิเศษ

  1. ผู้ที่มีความสามารถด้านภาษาเกาหลีหรือภาษาอังกฤษ
  2. บุตรหลานของทหารผ่านศึกในสงครามเกาหลี
  3. ผู้ที่เลือกศึกษาต่อคณะที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์
  4. ผู้สมัครที่ครอบครัวมีรายได้น้อย

การสมัครคัดเลือก จะต้องเลือกผ่านทางช่องทางใดทางหนึ่งเท่านั้น เช่น สมัครผ่านสถานทูตจะต้องยื่นเพียงที่เดียว ไม่สามารถสมัครโปรแกรมมหาวิทยาลัยท้องถิ่น (Regional Universities) หรือของโปรแกรมระดับอนุปริญญา (Program for Associate Degree) พร้อมกันได้

รายละเอียดอื่นๆสามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ StudyinKorea.go.kr

กำหนดการรับสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี ระดับปริญญาตรี ปีการศึกษา 2020 ในประเทศไทย

ผู้สมัครจะต้องจัดส่งเอกสารไปถึงศูนย์การศึกษาเกาหลีประจำประเทศไทย (Korean Education Center) ภายในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2562 

ที่อยู่สำหรับจัดส่งเอกสารใบสมัคร : Korean Education Center (KEC) (ทุน GKS)
8th Floor, 42 Tower Building, 65 Soi Sukhumvit 42, Sukhumvit Road, Kluaynamthai, Klongtoey, Bangkok 10110 Tel : 064-128-3886

โดยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกำหนดการการรับสมัครในประเทศไทย สามารถติดตามได้จากเพจ Study in Korea for Thais

ระยะเวลาการรับสมัคร

เนื่องจากการคัดเลือกนักเรียนในรอบแรก เป็นการคัดเลือกผ่านสถานทูตเกาหลี ประจำประเทศไทย สามารถติดตามรายละเอียด กำหนดการรับสมัครได้อีกครั้งผ่านทาง

เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย
http://overseas.mofa.go.kr/th-th/index.do

แนวทางการเขียนใบสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี

ผู้ที่สนใจสามารถติดตาม Live แนะแนวการกรอกใบสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี ซึ่งผู้เขียน (อดีตนักเรียนทุนรัฐบาลเกาหลี ปี 2012) ได้รวบรวมและเล่าประสบการณ์การสมัคร เทคนิคต่าง ๆ และพูดคุยกับนักเรียนที่ได้รับทุนปีล่าสุด​ น้องเบ๊บ ดนุช (มหาวิทยาลัย Silla University) มาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วย

รับคำแนะนำในการสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี

สามารถติดตามคำแนะนำในการสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี และถามตอบเกี่ยวกับการสมัคร, การเรียนต่อในเกาหลี, การเลือกคณะและมหาวิทยาลัยในเกาหลีได้ผ่านทางเพจ Framekung.com 

 

[D-8-7] บันทึกการย้ายงาน :: จัดการเอกสารที่ธนาคาร คุยกับ CTO

ต้องบอกกับคุณผู้อ่านโดยเฉพาะคนที่ทำงานอยู่ที่ไทยว่า เนื้อหาจับฉ่ายมากครับ 555 บล็อกตอนหลัง ๆ จะเป็นแนวไดอารี แต่ถ้าอ่านดี ๆ อาจจะได้ไอเดียว่าสังคมการทำงานที่นี่เป็นยังไง มีขั้นตอนอะไรยังไงบ้างนะครับ พอรู้ไว้เป็นข้อมูลกัน ​และด้วยความที่ตอนนี้ด้วยความที่ไม่ค่อยมีอะไรอัพเดตมาก เลยขอรวบรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน D-8 และ D-7 ไว้ในตอนเดียวกันครับ

D-8 ธุระที่ธนาคาร เปิดบัญชีรับเงินหลักออกจากงาน

วันนี้ก่อนเข้างาน ผมมาทำธุระที่ธนาคาร ยื่นเอกสารเพื่อขอเปิดสมุดบัญชีเพื่อใช้สำหรับรับเงินหลังออกจากงาน ที่ได้เกริ่นไปในตอนแรกครับ

ขั้นตอนไม่ค่อยยุ่งยากแค่ไปที่ธนาคาร บอกกับพนักงานว่าต้องการเปิด บัญชีทเว-จิกยอนกึม IRP (퇴직연금 IRP) แล้วก็นำบัตรต่างด้าว (Alien card) ไปยื่นใช้ประกอบกับการเปิดบัญชี

ถ้าจะมีอะไรแนะนำ ก็คงเป็น แนะนำให้เปิดบัญชีกับธนาคารเดิมที่มีอยู่แล้ว หรือที่เคยทำธุรกรรมด้วย เพราะเราจะประหยัดเวลาในการกรอกเอกสาร เช่น พวกที่อยู่ ข้อมูลส่วนตัว แค่เซ็นชื่อและเช็คเครื่องหมายผ่านจอ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที

เราจะได้สมุดบัญชีขึ้นมาหนึ่งเล่มครับ ให้เรานำเอกสารนี้ไปยื่นกับบริษัท เมื่อเงินเข้าเราจะได้รับแจ้งเตือนทางอีเมล หรือโทรศัพท์ (ของผมไม่ได้เปิดรับข้อความจากธนาคาร เลยให้ส่งไปทางเมลแทน เช็คอีเมลที่เราลงทะเบียนไว้กับธนาคารให้เรียบร้อย) เมื่อเราได้รับแจ้งเตือน ก็ให้นำสมุดบัญชีไปยื่นเรื่องขอยกปิดบัญชี (해지) เพื่อนำเงินไปไว้ในบัญชีธนาคารปกติของเราภายใน 30 วัน

ระหว่างนี้พี่พนักงานแบงค์ก็ชวนคุยเยอะครับ ว่าทำไมเราถึงมาสมัครบัญชีนี้ จะกลับไทยแล้วเหรอ ตัวเขาเห็นเราเป็นคนไทยก็รู้สึกประทับใจ เพราะเคยดูรายการ

สมุดบัญชีเพื่อรับเงินทเวจิกกึม

ที่มีคนไทยมาเที่ยวเกาหลี พอได้เห็นบทสนทนาภาษาไทยแล้วรู้สึกอยากเรียน มันมีเสน่ห์

ยังสงสัยชื่อผมอีกว่า “Rachata เนี่ย ที่ไทยเนี่ยโหลหรือเปล่า?” เพราะว่าเหมือนได้ยินชื่อนี้ในรายการด้วย ผมเคยได้ยินใครพูดเรื่องนี้ครั้งหนึ่งแล้วครับ และก็เดาได้ว่า น่าจะคิดว่าชื่อผมต้องไปคล้ายกับ “พี่ปรุง ทัชระ”  คนไทย ที่เป็นผู้ดำเนินเนื้อเรื่องในรายการ 어서와 한국은 처음이지 ที่เพิ่งออกอากาศเรื่องราวของคนไทยที่มาเที่ยวในเกาหลีไม่นานมานี้ ซึ่งเขาว่าพี่ปรุง “ชื่อคล้ายกัน” กับผม คิดอยู่นานว่าคล้ายกันได้ยังไง ก็ได้คำตอบว่า ถ้าเกิดเอาชื่อเรา (เขียนแบบภาษาเกาหลี) มาสลับจากหลังมาหน้าจะได้เป็น Ta-cha-ra (ชื่อพี่เขานั่นเอง) เอ้อ … เอาจริง ๆ นึกไม่ถึงเหมือนกันครับ

“พี่ปรุง” ที่ไปออกรายการ Welcome, First Time in Korea? ภาพจาก Newsen

สุดท้ายพี่พนักงานยังแนะนำให้ผมมาเปิดสมุดบัญชีเพิ่ม เป็นบัญชีสะสมทรัพย์ฝากประจำ (예금) หลังจากที่ได้เงินออกจากงานนี้อีก ก็เรียกว่าขายของกันเต็มที่ ถ้าเกิดรู้สึกว่าชีวิตต้องการความมั่นคงจะเปิดก็ไว้ก็ไม่เสียหายนะครับ สร้างนิสัยการออมดี ผมเองขอบายเพราะว่ารอบที่แล้ว มาธนาคารสาขานี้เลยล่ะ ก็เปิดบัญชีออมทรัพย์เพื่อบ้านกับพี่เขาไปแล้ว … พี่เขาคงจำผมไม่ได้เอง 555

D-7 สัมภาษณ์กับ CTO

อีกวันที่เริ่มรู้สึก ตัวเราจะค่อย ๆ ก้าวออกจากออฟฟิศ​ พี่หัวหน้าแผนกถามผมว่า “อยากให้ประกาศลง Slack เมื่อไหร่ ว่าเราออก” เพราะปกติก็จะบอกล่วงหน้าเป็นเดือนก็มี 15 วัน, 7 วัน สีหน้าตอนที่พี่เขาถามผมก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเองเลยบอกไปว่า “แล้วแต่เห็นสมควรเลยครับ” พร้อมกับยื่นโดนัทคริสปี้ครีมให้ดื้อ ๆ (ซื้อมากะว่ากินเป็นของว่าง แต่ถึงตอนนั้น ไม่รู้อะไรให้ผมอยากหยิบขนมไปปลอบใจหัวหน้าแผนกเหลือเกิน) ผมเองสีหน้าก็ใช่ว่าจะดีเหมือนกัน !

ขอ Insert ภาพหัวหน้าแผนก – จริง ๆ ผมไม่เคยเรียกว่า ‘ท่านหัวหน้า’ เลย เพราะบริษัทมีชื่อเล่นให้กับทุกคน แต่ถ้าดูจากหน้าที่ของพี่เขา ก็คือหัวหน้าแผนกครับ

หัวหน้าแผนกของผม อายุแค่ 30 ต้น ๆ เองครับ เป็นผู้หญิงที่แกร่ง ถึก ทำงานได้เร็วและ Multitasking มาก มีเชี่ยวชาญการทำ Google sheet สร้างตารางเพื่อนำเสนอข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ เรียกว่าเป็นเจ้าแม่ Sheet เลยก็ว่าได้ เลยค่อนข้างสนิทและมีอะไรผมปรึกษาเขาได้หลาย ๆ เรื่องเลย ดูแลความเป็นอยู่ของผมและเพื่อน ๆ ต่างชาติ เป็นธุระเรื่องวีซ่าให้ผมด้วยตอนช่วงสมัครงานใหม่ ๆ ผมคงจะได้พูดถึงพี่เขาอีกรอบในบล็อกตอนท้าย ๆ ครับ

ส่วนช่วงบ่ายแก่ ๆ ผมมีนัดกับ CTO ของบริษัท (รูปปกของบทความนี้คือถ่ายกับ CTO) ซึ่งทำหน้าที่ดูแลโครงสร้างขององค์กร ดูภาพรวม,เศรษฐกิจของบริษัท ก็มาขอนัดสัมภาษณ์ผมครับ จริง ๆ ก็เหมือนพูดคุยกันนอกรอบเล่น ๆ เขาก็พูดตลอดว่าเสียดายที่ไม่ได้ทำงานด้วยกันต่อ ว่าที่มาที่ไปของเราทำไมถึงออกจากบริษัท ทำเป็นข้อมูล และที่ถามเป็นเพราะว่าเราทำงานกับบริษัทมานาน น่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นจุดที่ควรปรับปรุง สาระสำคัญจึงเป็นการขอไอเดียว่ามีอะไรที่ดี และควรปรับปรุง

จริง ๆ ผม “เก็งคำถาม” พวกนี้ไว้แล้วก็เตรียมคำตอบไว้แล้วครับ ถามว่าทำไมต้อง “เก็ง” เพราะว่า ไม่อยากให้การสนทนามันดูตรงไปตรงมา คำตอบพวกนี้อยากจะคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบดี ๆ สักหน่อย​ (โดยเฉพาะต้องพูดเป็นภาษเกาหลี กลัวจะสื่อสารได้ไม่ตรงตามความรู้สึกที่เราต้องการ) แต่ทุกอย่างก็ตอบไปบนพื้นฐานความเป็นจริง ผมเชื่อว่าระหว่างทำงาน คงมีเรื่องจู้จี้จุกจิกมากมายที่เราอยากระบาย หรือไม่พอใจกันบ้าง แต่สุดท้ายถ้าอะไรมันพอให้อภัยได้ หรือไม่พูดถึงมันอีกผมก็รู้สึกว่ามันก็อาจจะดีกว่าเอามาพูดถึงอีกครั้ง ผมมีเรื่องอึดอัดใจบ้างในการทำงานแต่ไม่ถึงขั้นต้องเอามาตำหนิให้ฟังเป็นฉาก ๆ เพราะการทำงานส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างกับพอใจ ยากคือยาก ง่ายคือง่าย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกเหนื่อยหน่ายให้ใครเห็นเท่าไหร่ ก่อนจะเล่าผมก็ชื่นชมสิ่งที่บริษัททำได้ดี สิ่งที่รู้สึกว่าบริษัทนี้ไม่มีเหมือนที่อื่น ก่อนจะเสนอแนะอะไรให้แก้ไขบ้าง ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางชมฮะ

บทสนทนาจบไปไม่ตึงเครียด ใช้เวลา 20 นาที ก่อนที่ CTO จะทิ้งท้ายกับผมว่า “อยากให้เราจำภาพที่ดีของกันและกันเอาไว้ และถ้ามีโอกาสจะได้ทำงานด้วยกันเอง ที่นี่ยังเปิดรอเราเสมอ” 

ครับ Happy Ending .. CTO ยังบอกให้ผมหาโอกาสกินข้าวอาทิตย์หน้ากับเพื่อนร่วมงานคนอื่นด้วย กินข้าวกับเขาด้วย และถ้าเป็นไปได้บอกเจ้านาย CEO ให้เลี้ยงข้าวด้วย เขาพูดปนขำปิดท้ายไป ก่อนที่จะแยกย้ายกัน

[D-9] บันทึกการย้ายงาน :: แรงจูงใจที่ออก สิ่งแรกที่ต้องทำ

บล็อกนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก “บันทึกเตรียมออกจากงาน” ของคุณ  ตอนนั้นกำลังเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารที่ต้องใช้เตรียมเพื่อยื่นลาออกจากบริษัทพอดี เลยลองนำมาเรียบเรียง แชร์ประสบการณ์ย้ายงานครับ

ที่มาที่ไป

ผมทำงานที่บริษัทสตาร์ทอัพในเกาหลีแห่งหนึ่ง ทำเป็น Content Editor ดูแลเนื้อหาภาษาไทยให้กับแอพบนเฟซบุ๊กตัวหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนมีโอกาสได้เล่นกัน เป็นงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และเรียนรู้อยู่บนโลกโซเชียลเพื่อศึกษาความชอบของคนไทย อะไรเวิร์ค อะไรไม่เวิร์คมาตลอด 4 ปีเต็ม ๆ โดย 2 ปีทำงานเป็นพาร์ทไทม์ให้และเมื่อเรียนจบแล้วก็ได้วีซ่าทำงานที่นี่ เข้ามาทำงานบริษัทนี้อย่างจริง ๆ จัง ๆ เมื่อปี 2017

ทำงานในบริษัทที่สเกลไม่ได้ใหญ่มาก งานและวัฒนธรรมในการทำงานจึงมีความยืดหยุ่นสูง ทุกคนอยู่กับเหมือนสมาชิกในครอบครัว เรียกชื่อเล่น ไม่มีเรียกตำแหน่งว่าท่านประธาน หรือ หัวหน้าฯ เหมือนกับบริษัทเกาหลีอื่น ๆ ใครไปไหนมาไหน ก็พูดคุย บอกกันได้ ทำให้ข้อจำกัดในการทำงานถือว่าน้อยมาก ๆ และรู้สึกว่าบริษัทแบบนี้หาได้ยากถึงยากมาก ๆ ในเกาหลี เวลาใครมาถามผมว่า “ทำงานในบริษัทที่เกาหลีเป็นยังไงบ้าง” ผมมักจะให้คำตอบแบบทั่วไปไม่ได้ เพราะบริษัทนี้มีรูปแบบการทำงาน สวัสดิการ ที่แตกต่างไม่เหมือนที่ไหนเลย เพราะไม่มีที่ไหนกล้าให้วันลาแบบไม่จำกัด หรือให้เงินไปทานข้าวเที่ยงได้อย่างอิสระ สวัสดิการแบบนี้มีที่นี่ที่เดียว 555 เอาเป็นว่าอาจจะมีบล็อกอีกสักตอนที่พูดถึงประสบการณ์ทำงานในบริษัทนี้แล้วกันครับ

วันไหนที่ออกไปหาอะไรกินกันเป็นทีม ก็จะจัดเต็มแบบนี้

เหตุจูงใจของผมส่วนหนึ่งคือ “ความอยากรู้ในสายงานใหม่ ๆ” อยากมีทักษะที่กว้างขึ้นออกไป ทำงานอยู่บนสื่อออนไลน์มานานก็พอจะพบแนวทางในการทำงานบ้าง แต่ก็อยากขยับขยายไปในสเกลที่ใหญ่ขึ้น มีเรื่องที่ต้องให้คิดให้วางแผนมากขึ้น ผมเลยมองมาทางด้าน “เกม” ที่มีกลุ่มตลาดรองรับค่อนข้างสูง บริษัทเกมในเกาหลีก็มีหลากหลาย แข่งกันออกเกมใหม่ ๆ โดยเฉพาะตลาด Mobile จึงคิดว่าน่าจะสามารถใช้โอกาสนี้ได้เข้ามาเล่นเกมและมาศึกษาตลาดเกมที่ไทยอย่างจริง ๆ จัง ๆ ได้

แต่ก็ใช่ว่าความอยากเพียงอย่างเดียวที่จะสามารถเปลี่ยนใจให้ผมเปลี่ยนงานได้ง่าย ๆ เพราะมันก็ย่อมมีบ้าง ที่จะยังคงติดความสะดวกสบายบน Comfort zone เดิม ๆ อยู่ ผมก็ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าอยากจะเห็นอนาคตตัวเองในเกาหลีแบบไหน พอมีคำตอบในใจ + รวบรวมความกล้า จึงเริ่มมองหาสมัครงานที่อื่นดูครับ

ผมเริ่มมองหาที่ทำงานใหม่ ค้นหางานจากเน็ต สอบถามจากรุ่นพี่ที่รู้จัก จนมาถึงขั้นตอนการสมัครงาน สัมภาษณ์งาน (3 รอบ) ตั้งแต่เริ่มต้นหางานไปจนถึงวันสุดท้ายถึงได้รับข่าวให้เข้าไปร่วมทำงานในบริษัทแห่งใหม่ ก็น่าจะใช้เวลาร่วม 2-3 เดือน

จึงเป็นที่มาของบล็อกในตอนนี้ วันที่ต้องเริ่มต้นบอกกับที่ทำงานว่าเราจะลาออก การเตรียมตัวเข้าไปสู่ที่ทำงานใหม่ หน้าที่ที่ต้องทำก่อนลาออกจากบริษัทเดิมที่เกาหลีว่ามีอะไร ความรู้สึกนึกคิดของผมในตอนนั้นเป็นยังไง ได้ลองถ่ายทอดและเรียบเรียงมาให้ได้อ่านกันครับ

D-9 (22 พ.ค. 2019) จัดการเรื่องเงินพึงได้เมื่อลาออก

ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะบอกกับที่บริษัท บอกหัวหน้าแผนกของเราเกี่ยวกับการลาออกแล้ว วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ได้รับข้อความมาจากฝ่าย HR ที่ดูแลเรื่องเอกสาร สัญญาต่างของเรา พี่เขาติดต่อมาเกี่ยวกับการเตรียมตัวเพื่อออกจากงาน ครับ

ที่เกาหลีจะมีระบบหนึ่งที่เรียกว่า “ทเวจิกกึม (퇴직금)” แปลว่า เงินที่ได้รับเมื่อออกจากงาน มีจุดประสงค์เพื่อให้เราใช้เลี้ยงชีพหลังออกจากงาน ซึ่งจะได้รับไม่ว่าจะเป็นกรณี ลาออกด้วยความสมัครใจ หรือ ถูกไล่ออก อันนี้เป็นสิทธิ์สำหรับคนที่ทำงานเกิน 1 ปีจะต้องได้รับโดยพื้นฐานครับ

ลองไปสืบหาข้อมูลมาว่า เงินก้อนนี้จะเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ ก็พบว่ามันคือ…

(ค่าเฉลี่ยของเงินเดือน 3 เดือนย้อนหลัง ) x จำนวนปีที่ทำงาน

เงินจำนวนนี้จะถูกโอนเข้าบัญชีพิเศษของเรา ซึ่งเราจะต้องไปทำเรื่องขอเปิดบัญชีที่ธนาคาร เรียกว่า 개인형IRP เพื่อใช้รับเงินทเวจิกกึม หรือ ทเวจิกยอนกึม (퇴직연금) นี้โดยเฉพาะ ขั้นตอนนี้เข้าใจว่าแต่ละบริษัทมีนโยบายไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าบริษัทไปทำประกันไว้กับบริษัทไหน เอกสารไม่ต้องใช้อะไรเลย สามารถไปบอกพนักงานที่ธนาคารเพื่อเปิดบัญชีนี้ได้ทันที แต่จะให้แนะนำก็คือไปธนาคารที่เรามีบัญชีอยู่แล้วเพื่อความสะดวก ไม่ต้องกรอกเอกสารเยอะครับ

สมุดบัญชีเพื่อรับเงินทเวจิกกึม

ใช้โอกาสนี้ที่พี่เขาทักมาขอเอกสารกลับไปบ้าง เป็นเอกสารที่ทางบริษัทใหม่ขอให้เราจัดการ ก็จะมี เอกสารเกี่ยวกับการเงินของเรา เป็นเอกสารระบุการจ่ายเงินเดือนจากบริษัท และรายละเอียดการชำระภาษีต่าง ๆ เท่าไหร่ (จะสำคัญมากหากบริษัทที่ไปทำเป็นสตาร์ทอัพ หรือบริษัทขนาดกลางในเกาหลี เนื่องจากเกาหลีใต้มีการละเว้นภาษีนี้), เอกสารประสบการณ์ทำงาน (경력증명서) กรณีที่เราย้ายงาน และที่ทำงานใหม่ต้องการหลักฐานว่าเรามีประสบการณ์ทำงานก่อนหน้า ก็จำเป็นที่จะต้องยื่นเพิ่มเติมครับ ซึ่งในรายละเอียดเอกสารจะระบุชื่อของเรา ตำแหน่ง ระยะเวลาทำงาน ที่อยู่ของบริษัท และมีตรารับรองของบริษัทระบุเอาไว้

เตรียมของตอบแทนเจ้านาย แทนความสัมพันธ์ดี ๆ กับเพื่อนที่ทำงาน

อันนี้ก็คิดเหมือนกันว่าเราอยากให้คนที่บริษัทเก่าจดจำเราอย่างไร ไม่จดจำแต่ก็อยากตอบแทนความรู้สึกดี ๆ ที่เรามีให้กับที่บริษัท ดูตัวอย่างจากคนที่เคยออกมา ก็มีที่ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้ให้อะไร หรือ บางคนก็มีของเล็ก ๆ น้อยให้เพื่อนที่แผนก ทีมของผมที่แทบไม่มีใคร และไม่ใหญ่มาก เลยตัดสินใจจะหาของที่ระลึกให้กับคนที่ดูแลช่วยเหลือคนต่างชาติคนนี้ (ที่ปัญหาเยอะ 55) เลยคิดถึงไอเดียของน้องแจน เป็นน้องคนไทยที่เคยหาของให้เจ้านายที่บริษัทก่อนจะลาออก น้องพูดถึง “บัตรกำนัลทานอาหารไทย” มาพอดี ซึ่งก็ชอบไอเดียนี้มาก อยากให้เขาจำอะไรเกี่ยวกับเรา นำเสนออะไรไทย ๆ ให้คนที่ทำงานรู้จัก มันก็น่าจะเป็นบัตรให้ไปกินอาหารไทย

ผมมีร้านอาหารไทยที่รู้จักอยู่ รู้จักผู้จัดการร้าน รู้จักพี่เชฟ เลยโทรไปสอบถามที่ร้านว่าเขามี Gift voucher จำหน่ายหรือเปล่า ร้านก็บอกกับผมมาว่า “ไม่มี” แต่ถ้าจะทำให้เจ้านายทั้งที ก็ยินดีนะ ยินดีเล่นด้วย บอกให้เราไปดีไซน์มาเองเลย มานำเสนอเขาเองเลย ผมก็บ้าจี้ออกแบบ Gift voucher ภายใน 30 นาที แล้วส่งกลับไปให้เจ้านายร้านอาหารไทย approve อีกที ก็หวังว่าคนรับจะได้ทานอาหารไทยอร่อย ๆ ในบรรยากาศร้านดี ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริการจากผู้จัดการร้านอาหารไทยที่พร้อมจะดูแลแขกคนสำคัญให้เราอย่างดี

เรื่องราวในวันถัด ๆ ไปจะทยอยนำมาเล่าไม่ให้ยืดเกินไปนะครับ

ปล. ในการออกเสียงคำว่า ทเวจิกกึม มันอาจจะยากเกินไป บางคนเลยเรียก แทจิกกึม , เทจิกกึม ครับ

ปล. 2 สายงานคนละประเภทกัน งานออฟฟิศก็อีกแบบ งานโรงงานก็อีกแบบครับ ดังนั้น สำหรับแรงงานไทย (ที่มาถูกต้องตามกฎหมาย) ที่ทำงานเกิน 1 ปี มีสิทธิ์ได้รับเงินนี้เช่นกัน แต่รายละเอียดและระเบียบแนะนำให้ไปขอกับที่บริษัทครับ มีคนรีวิวเอาไว้มากมายสามารถค้นหาใน Google ว่า “แทจิกึม” ก็จะมีรายละเอียดบอกไว้ด้วย

เที่ยวฟุกุโอกะ 2019 หน้าหนาว 5 วัน 4 คืน 3 เมือง (ตอนที่ 2)

ความเดิมจากตอนที่แล้ว… เราอยู่ที่เมืองแห่งเรียวกัง Yufuin ครับ และกำลังจะมุ่งหน้าสู่เมืองบ่อน้ำพุเดือดอย่าง Beppu

เดินทางจากยูฟุอิน Yufuin ไปเบปปุ Beppu

ใช้เวลาเดินทางประมาณ​ 1 ชั่วโมงครับ และเราก็สามารถเดินทางได้หลายวิธีเช่นกัน จะนั่งรถบัสจาก Yufuin Bus Station ไปลงที่ Beppu station ก็ได้ (900 เยน) หรือจะนั่งรถไฟไปก็ได้ สำหรับคนที่จองพาสก็แน่นอนว่าควรเดินทางไปกับรถไฟเพื่อความคุ้มค่า โดยรถไฟขบวนที่ผมเลือกนั่งเป็น ขบวน Limited Express Yufu 1 เที่ยว 10.03 น. ถึง Beppu 11.04 น. (การจองตั๋วรถไฟผมทำมาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดการจองได้จากบล็อกในตอนแรกนะครับ มีเขียนอธิบายเอาไว้)

ก็นั่งยาวไปเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ถึง Beppu ก็จะมีวิวทุ่งหญ้า ทุ่งนา และทะเล เต็มอิ่มเลยก่อนถึงสถานี

ก่อนจะถึงก็แบกความหิวมาไว้ด้วยตลอดทาง ระหว่างทางไป Beppu ก็ได้ค้นหาร้านอร่อยไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็มาเจอกับร้านซูชิราคาประหยัดที่ชื่อ Kame-cho หลายคนรีวิวว่ารสชาติเยี่ยมและไม่แพง ก็อยากจะลองไปซะหน่อย ทำการบ้าน หาเส้นทางอย่างดี เพิ่งมารู้ว่าวันที่เดินทาง (วันพุธ) ร้านปิด !! fail จนต้องขอไปแก้มือที่ร้านอื่น (ใครที่ติดตามบล็อกของผม ฝากไปกินแทนด้วยนะครับ คลิกที่ชื่อร้านมีลิงก์อยู่) แต่ตอนนั้นก็ไม่หมดความพยายามหาร้านกินร้านอื่นต่อไป ก็มาเจอกับสารพัดร้านอาหาร ที่อยู่ใกล้กับป้ายรถบัสไปเมือง Kannawa

ถึงสถานี Beppu

ต้องบอกก่อนว่าบริเวณรอบ ๆ สถานี Beppu สถานที่ท่องเที่ยวอาจจะน้อย เมื่อเทียบกับบริเวณ Kannawa ซึ่งเป็นจุดที่คนไทยหรือนักท่องเที่ยวเดินทางไปดูบ่อน้ำพุร้อนกันครับ ตามรีวิวต่าง ๆ ที่ไปชมบ่อน้ำพุเดือด น้ำพุนรกนี่ เขาจะหมายถึงโซน “คันนาวะ (Kannawa)” กันครับ ถ้าให้ดูแผนที่ความใกล้-ไกลระหว่างสองโซน ก็จะพอเห็นได้จากภาพนี้

Beppu Kannawa City map
แผนที่ระหว่างสถานี Beppu และบ่อน้ำพุเดือด ดูเหมือนไกลแต่จริง ๆ ห่างกันไม่มาก

แต่การเริ่มต้นจากสถานี Beppu ก็จะได้ความสะดวกในเรื่องฝากกระเป๋า, เป็นสถานที่ตั้งของสถานี JR ที่เราสามารถมาจองตั๋วรถไฟขากลับล่วงหน้าได้ (เผื่อว่าใครยังไม่ได้จอง), มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ เผื่อว่าหิวจัดก็มีร้านอาหารอยู่ที่สถานี

Locker storage at Beppu station
ล็อคเกอร์สำหรับฝากกระเป๋า ที่สถานี Beppu ราคาตั้งแต่ 600 เยน – 900 เยน ไม่มีเหรียญก็สามารถไปแลกได้ที่เคาน์เตอร์ JR

รวมไปถึงการซื้อพาสสำหรับนั่งรถบัสเที่ยวชมบ่อน้ำพุแต่ละบ่อ เราสามารถมาซื้อพาสสำหรับนั่งรถบัสไม่จำกัดได้ในราคา 900 เยน พร้อมกับขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเส้นทางการเดินชมได้จุดประชาสัมพันธ์ของสถานี Beppu

ด้วยความที่เวลามีจำกัดและไม่ได้ต้องการเข้าไปชมบ่อน้ำพุครบทุกบ่อ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 8 บ่อ และแต่ละบ่อมีค่าเข้าชม 400 เยน เลยตัดสินใจ ขอเลือกบ่อไฮไลท์ ๆ สักหนึ่งบ่อ พอให้ได้รู้ว่าเป็นยังไงครับ (ใครอยากดูครบทุกบ่อ เห็นว่ามีพาสราคา 2,000 เยนจำหน่ายด้วย)

เดินทางจากสถานี Beppu ไปบ่อน้ำพุเดือด

การเดินทางจากสถานี Beppu ไปยัง Kannawa ก็ให้มารอที่ป้ายรถบัสหมายเลข 3 ฝั่งทิศตะวันตก (West) ก็จะเห็นนักท่องเที่ยวต่อแถวรอขึ้นรถเต็มไปหมด

รถบัสไปชมบ่อน้ำพุเดือด จุดขึ้น ฟุกุโอกะ

การนั่งรถบัสของที่นี่ก็จะเหมือน ๆ กับการนั่งรถบัสในญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไป คือการขึ้นจากทางประตูด้านหลังและออกประตูด้านหน้า สำหรับใครที่ไม่มีบัตร IC Card หรือบัตรเดินทางก็จะต้องดึงแผ่นกระดาษ​ ที่ประทับหมายเลขป้ายที่ขึ้น โดยเราจะต้องเอากระดาษนี้ไปแสดงให้กับคนขับและชำระเงินตามจำนวนที่ขึ้นอยู่บนป้ายไฟ โดยจะต้องเตรียมเหรียญชำระให้เพียงพอ เพราะเครื่องจะไม่ทอนเงินหากชำระด้วยธนบัตรตั้งแต่ 2,000 เยนขึ้นไป สำหรับใครที่มีพาสสำหรับนั่งรถบัสเข้าใจว่าแค่แสดงให้คนขับตอนลงจากรถก็น่าจะเพียงพอ และใครที่มีบัตรเดินทาง IC Card ให้แตะบัตรก่อนขึ้นรถ และแตะบัตรอีกครั้งตอนลงจากรถครับ

ป้ายแสดงค่าโดยสาร รถบัส ญี่ปุ่น
หน้าจอแสดงค่าโดยสาร คิดตามระยะทาง โดยจะเพิ่มมูลค่าเรื่อย ๆ เมื่อระยะทางไกลขึ้น (ใครที่มีบัตร IC Card ไม่ต้องดูป้ายนี้ก็ได้ แตะตอนขึ้นและลงอย่างเดียว)

เดินทางมาถึง ป้าย Kannawa ซึ่งนั่งไปประมาณ​ 20 นาที ในรถมีเสียงประกาศชัดเจนก็ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ ให้อาศัยดูแผนที่ตามไปด้วย หรือลองมอง ๆ เดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่น

มาถึงแล้วก็เดินย้อนไปทางซอยที่หน้าปากซอยเป็นป้ายฝั่งขากลับไปสถานี Beppu

ขากลับไปสถานี Beppu ให้สังเกตป้ายรถอันนี้ (แต่ผมขากลับไปสถานีไปนั่งที่หน้าบ่อน้ำพุเดือดครับ)

ตรงนี้จะเป็นเส้นทางไปร้านอาหารที่หาเอาไว้ เป็นร้านยอดนิยมที่คนชอบมาเพราะว่าเป็นเมนูนึ่ง ๆ เห็นไอน้ำเต็มไปหมด เข้ากับคอนเซ็ปต์ของเมืองนี้ที่ไปตรงไหนก็มีแต่ไอน้ำลอยออกมาตามท่อต่าง ๆ

Kannawa
รูปนี้ไม่ใช่ป้ายบัส Kannawa แต่เดินออกมานิดหน่อย ต้องการโชว์ให้เห็นว่า ถนนเส้นนี้เดินไปทางไหนก็เห็นแต่ไอลอยมาตามท่อ

ร้านรวมมิตรนึ่ง Jigo Kumu Shikobo

ร้านสังเกตไม่ยากครับ เพราะมีน้ำตก และบรรดานักท่องเที่ยวที่ต่อคิวเพื่อมารอทานอาหารเที่ยง ให้เข้าไปเขียนชื่อและบอกจำนวนคนกับพนักงานครับ และเขาจะให้หมายเลขคิวกับเรา และบอกให้เราไปเลือกออเดอร์อาหารได้จากตู้กด ข้างหน้าก็จะมีเมนูภาษาอังกฤษให้เราไปดูก่อน อยากกินเมนูไหนก็ใส่เงินเข้าไปในตู้ และเลือกได้ตามใจชอบ เมื่อกดแล้วตั๋วอาหารก็จะออกมา

เมนู

รอจนเรียกคิวครับ จากนั้นก็แสดงคูปองให้กับที่ครัว เขาก็จะเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ให้ลงในถาด พร้อมกับนาฬิกาจับเวลา ยกถาดเข้าไปในครัว ตามหมายเลขของหม้อนึ่ง ก็จะมีพนักงานคอยดูแล และบอกว่าถาดไหน ใช้เวลาต้มเท่าไหร่ ในนั้นก็จะมีถุงไม้ถุงมือให้เราได้มีกิจกรรมถ่ายรูปกับอาหาร หย่อนลงไปในหม้อต้มเสร็จก็กลับมาเตรียมอุปกรณ์การกิน ตะเกียบ น้ำจิ้มไว้รอ

หน้าตาก่อนเอาไปลงในหม้อต้ม

เมนูที่สั่งมาเป็นเมนูสแตนดาร์ดของร้าน เห็นเขียนว่าได้รับความนิยม ขอตั้งชื่อภาษาไทยว่า รวมมิตรนึ่งนรก (Treasure Box Steamed from Hell) ราคาอยู่ที่ 2,000 เยน เป็นเมนูสารพัดผัก หมูนิดหน่อย และซาลาเปา  ส่วนอีกถาดหนึ่งที่สั่งเป็น เซ็ตหมูชาบู​ 1,500 เยน อันนี้ก็เป็นหมูแผ่นมากับผัก และเติมข้าวสวยอีกนิดหน่อยเพื่อความอิ่ม ยังไม่รวมค่านึ่งอีก 340 เยน ซึ่งต้องกดจากตู้เพิ่ม

เมนูมื้อเที่ยง ฟุกุโอกะ

ได้ชิมรสชาติก็อร่อย เป็นเมนูนึ่งที่อาจจะรู้สึกว่าหากินได้ทั่ว ๆ ไปในบ้านเรา และเทียบกับราคาผมก็รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ เทียบกับปริมาณและความอร่อย แต่ด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยวแบบนี้ การหาอะไรกินก็อาจจะยาก เว้นแต่เป็นเมนูง่าย ๆ ข้างทาง อันนี้อาจจะพอหาได้ตลอดเส้นทาง แนะนำให้กินกันมาเรียบร้อยจากในเมือง (ไปเจอหนังสือท่องเที่ยว เขาก็คอนเฟิร์มอีกเสียงว่าโซนนี้หาของกินยาก เทียบกับแถว ๆ สถานี Beppu)

บ่อทะเลเดือด Sea Hell (Umi Jigoku)

เดินออกมาฝั่งตรงข้าม ตามเส้นทางใน Google Maps มาเรื่อยๆ ก็จะเป็นทางเดินไปยังบ่อน้ำพุเดือดทั้งหลาย เริ่มต้นก็เจอกับบ่อจระเข้ ที่ก็มีจระเข้ให้ดูจริง ๆ อันนี้แอบไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าไหร่ เดินไปเดินมา ก็ไม่รู้จะเข้าไปตรงไหน เลยสุ่มไปดู บ่อทะเลเดือด (Sea Hell – Umi Jigoku) โดยการเดินตรงไปตามแผนที่เรื่อย ๆ และซื้อตั๋วเข้าไปเข้าชม 400 เยน

From Umi Jigoku to Beppu station
ทางเข้าชมบ่อน้ำพุ Umi Jigoku เลี้ยวขวาก็คือประตูทางเข้า แต่อยากให้สังเกตดี ๆ ว่ามีคนกำลังต่อแถวขึ้นบัสอยู่ จุดตรงนี้แหละเป็นจุดที่นั่งรถบัสขากลับไปสถานี !

เข้ามาแบบไม่มีข้อมูลอะไรทั้งนั้น ข้างในก็มีขนาดไม่ได้ใหญ่มาก มีจุดขายของที่ระลึก แกลอรี่ที่รวมประวัติและสินค้าที่สามารถหาซื้อได้จากบ่อน้ำพุแห่งนี้ ..​

บ่อน้ำพุก็เรียกว่าเป็นไฮไลท์หน่อย เพราะขนาดก็ใหญ่และมีควันพุ่งออกมาตลอดเวลา กลิ่นก็อาจจะเหม็น ๆ หน่อย ๆ ของโคบอลต์แนะนำว่าไม่ควรเอาหน้าไปสัมผัสหรืออยู่เป็นเวลานาน เพราะกลิ่นจะตลบอบอวลและรู้สึกวิงเวียนกันได้

เข้ามานั่งพักขาข้างในร้านขายของที่ระลึก ก็มาเจอกับ “พุดดิ้ง” ของที่นี่ ด้วยความที่เป็นคนชอบกินพุดดิ้ง เลยลองสั่งมากินดู มันอร่อยมาก ราคา 300 เยน เป็นพุดดิ้งที่ค่อนข้างเน้นไปทางไข่ จะให้ความรู้สึกเหมือนกินไข่ตุ๋นหน่อย ๆ แต่ส่วนใต้สุดที่ออกหวาน ๆ (เข้าใจว่าเป็นน้ำตาล) อันนี้ออกขมปนหวาน เข้มข้น รู้สึกชอบเป็นการส่วนตัวจัดการไปหมดอย่างรวดเร็ว

เดินเล่นอยู่ในนี้ไปสักพักและเทียบกับเวลารถบัสที่วิ่งกลับไปยังสถานี Beppu อยู่เรื่อย ๆ ด้วยความขี้เกียจเดินย้อนกลับไปที่ป้าย Kannawa ก่อนเข้ามาที่บ่อน้ำพุแห่งนี้ก็ได้สังเกตว่ามีป้ายรถบัสอยู่หน้าบ่อ ป้ายนี้จะชื่อว่า “Umi Jigoku Mae” ก็ให้มารอรถจากตรงนี้ได้เลย มีวิ่งผ่านอยู่หลายสาย (สามารถนั่งสาย 5 หรือ 7 ได้)​ รอบรถให้ไปเช็คจากแผนที่รถบัส ที่สามารถขอได้จากศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว สถานี Beppu

ใช้เวลาประมาณ​ 15 นาที ก็กลับมาที่สถานี Beppu ก็ได้ใช้เวลาระหว่างรอรถไฟ Sonic 48 กลับ Hakata รอบ 17.18 น. นี้ นั่งพักผ่อนอยู่ในร้านคาเฟ่ชื่อว่า Italian Tomato อยู่ในสถานีเลย มีจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม เลยมาเติมน้ำตาลให้กับร่างกาย กลัวว่าความหิวจะทำให้หมดพลังไปเสียก่อน

Cafe Italian Tomato Beppu station

นั่งรถไฟ Sonic กลับ Hakata ก็สัมผัสได้ว่ารถขากลับนี้เร็วมากครับ เรียกว่าโยกแยกกันตลอดทั้งทาง ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 2 ชั่วโมง 12 นาทีครับ

โดยเมื่อรถไฟผ่านถึงสถานี Kokura จะมีการเปลี่ยนผังที่นั่งใหม่ เปลี่ยนทิศของรถไฟ จึงมีการประกาศผ่านเสียงตามสายให้เราหันทิศของเก้าอี้ไปอีกทิศหนึ่งด้วย เราสามารถเหยียบด้านล่างของเบาะเพื่อปรับเก้าอี้ไปอีกทิศ (เริ่มเห็นคนเขาปรับ ๆ ก็สามารถปรับตามเขาได้ครับ ไม่งั้นเราจะได้หันหน้าไปเจอกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ )

กลับมายัง Hakata

เมื่อถึง Hakata แล้ว ด้วยความรู้สึกติด ๆที่วันนี้ไม่ได้กินซูชิเมือง Beppu เลยคิดว่าจะมาหาร้านกินที่ Hakata ค้นไปค้นมาก็พบว่ามีร้านซูชิราคาเด็ด เริ่มต้นที่ 100 เยน (ไม่รวม VAT)  ที่ชื่อว่า “Uobei Sushi” เป็นเฟรนไชส์ซูชิสายพาน ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของตึก Yodabashi ที่เป็นร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตึก  Yodobashi จะอยู่หลังสถานี Hakata ครับ ลองถามเส้นทางจากประชาสัมพันธ์ก็ได้ (เพราะตอนแรกก็งงเส้นทางเหมือนกัน เดินวนประมาณ 3 รอบจนสุดท้ายยอมแพ้ขอไปถามให้ชัวร์เลยดีกว่า)

ขึ้นมาชั้น 4 ของอาคารนี้ Yodobashi เข้าไปกดบัตรคิว แล้วลงมาเดินเล่นดูของใช้ Gadget อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่ชั้นล่าง ประมาณครึ่งชม. ก่อนจะกลับขึ้นมารอต่ออีก 10 นาที ใช้เวลารอคิวไปทั้งหมด 40 นาที สำหรับการบอกลำดับคิว เขาจะมีหน้าจอบอกเลขคิวปัจจุบันอยู่หน้าร้าน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องฟังเสียงประกาศ เมื่อเขาเรียกแล้ว เราก็จะไปนั่งตามหมายเลขที่เขากำหนดเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มสั่งกันได้เลย

ไปถึงก็จะเป็นมุมใครมุมมัน มีหน้าจอสำหรับสั่งอาหารแยกชัดเจน ไปกับเพื่อน ๆ ก็จอใครจอมันเลย

ลักษณะก็คือให้เลือกจากหน้าจอ มีเมนูภาษาอังกฤษให้ เลือกโดยการจิ้ม โดยสามารถสั่งได้มากสุดครั้งละ 4 จาน เมื่อคอนเฟิร์มรายการสั่งซื้อ ไม่นานก็จะมีรถไฟขนซูชิมาเสิร์ฟถึงหน้าเราเลย เมื่อเอาจานออกเสร็จเรียบร้อย ก็ให้กดยืนยันจากหน้าจอ

เมนูมีญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลี ก็ตามสะดวกเลยครับ จิ้ม ๆ ยืนยันออเดอร์
ซูชิที่สั่งได้แล้ว มาตามสายพาน
เพอร์เฟ็กต์​!!

ไปนั่งกินจนอิ่มสุดๆ เช็คบิล กินไป 10 กว่าถาดหมดไปราวๆ 2,000 เยน ถือเป็นมื้อเย็นที่อร่อยคุ้มค่าครับ ที่นี่ถ้าจำไม่ผิดรับบัตรเครดิตเหมือนกัน แต่ใช้บัตร IC Card จ่ายไม่ได้ 

จากนั้นก็เดินทางกลับไปที่พักที่จองไว้ ซึ่งเลือกเอาไว้ใกล้ ๆ กับสถานีเพื่อความสะดวกในการเดินทางครับ

เช้าวันใหม่ เที่ยวตัวเมืองฟุกุโอกะ

เริ่มต้นเช้านี้ด้วยการลองขึ้นรถบัสดูครับ !! มาดูกันว่า Google Maps กับเมืองฟุกุโอกะนี้จะไปด้วยกันได้แค่ไหน เช้านี้มีแผนไปชมอาคาร Acros, กินไข่ปลาคอด และช็อปปิ้งในย่าน Tenjin ซึ่งบริเวณนี้จริง ๆ ไม่ค่อยไกลจากที่พักมาก เลยมาลองนั่งรถบัสดู และค้นหาเส้นทางผ่าน Google Maps

ป้ายรถบัสที่นี่ก็ค่อนข้างชัดเจนดีครับ บอกรถที่กำลังใกล้จะถึง มีตารางรถบัสที่เป็นภาษาญี่ปุ่นที่อ่านไม่ออก สังเกตว่าใน Google Maps มีบอกเวลารถมาถึงด้วย แต่จากการใช้จริงพบว่าเวลาอาจจะคาดเคลื่อนหน่อย และรถบัสหลายสายที่ไม่มีข้อมูลอยู่บนแอพ

นั่งมา 2-3 ป้าย ลงที่ ป้าย Tenjin Minami ซึ่งอยู่หน้าอาคาร LOFT เลย แต่ห้างร้านแถวนี้ส่วนใหญ่เปิดตั้งแต่ 10 โมงเป็นต้นไป

Loft Tenjin Branch
LOFT สาขา Tenjin

เลยตามเส้นทาง Google Maps เดินตรงไปที่อาคาร Acros ก่อน จากตรงนี้มาถึง Acros ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จุดเด่นของ Acros คือสถาปัตยกรรมที่ใหญ่และร่มรื่น ด้านหน้าที่มีสนามหญ้าสีเขียวโล่ง ๆ นี้ เป็นมุมที่เหมาะกับการไปถ่ายรูปเล่นมาก

ภายในอาคารมีห้างร้าน มีโซนนิทรรศการ ห้องสำหรับจัดแสดงงานต่าง ๆ ด้วย และตกใจนิดนึงที่เห็นว่ามี MK สุกี้ อยู่ชั้นใต้ดินของอาคารแห่งนี้

แม้ว่ามื้อเที่ยงจะอยากกินสุกี้แค่ไหน แต่ก็ต้องมาทานของดีของเมืองนี้ให้ได้ก่อน นั่นก็คือ “ไข่ปลาพอลแลค” หรือ “ปลาคอด” ภาษาญี่ปุ่นคือ “เมนไทโกะ” (Mentaiko, 明太子)

ได้โพยร้านอร่อยมาจากเพื่อนญี่ปุ่น ว่าต้องมาลองให้ได้ครับ ร้านนี้มีชื่อว่า “Gamnso Hakata Mentaiju” จากอาคาร Acros เมื่อสักครู่ เดินออกมาอีกไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงร้านนี้ครับ เดินมาก็เห็นคิวต่อแถว รอหน้าร้านประมาณ 3-4 คิวได้ เข้าไปบอกชื่อและจำนวนในร้านแล้วก็ออกมารอข้างนอก ดูเมนูไปก่อนพลาง ๆ

ด้วยความที่เมนูไข่ปลาพ็อลแลคกับข้าวนี้ นับว่าเป็นครั้งแรก เพื่อนบอกมาว่ามันจะเผ็ด ๆ หน่อย แต่เราสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ โดยที่ร้านเขาจะมีป้ายเป็นไม้ให้เราเลือกระดับความเผ็ด แล้วตอนสั่งพนักงานก็จะอ้างอิงและเสิร์ฟตามลำดับความเผ็ดที่เลือกไว้

เมนูหลัก ๆ จะเป็นข้าวหน้าไข่ปลาพ็อลแลค ถ้าสั่งเป็นเซ็ตจะมีเป็นราเม็ง Tsukemen ที่ให้เส้นแยกมากับน้ำซุป เพื่อให้เรานำเส้นไปจิ้มทาน ทั้งเซ็ตราคา 2,880 เยน ได้มาเป็นไข่ปลาโรยสาหร่าย เสิร์ฟพร้อมข้าว ส่วนเส้นก็มาพร้อมกับน้ำซุปที่เป็นซุปไข่ปลา

Tsukemen มาในน้ำซุปข้นเต็มไปด้วยไข่ปลา

รสชาติของข้าวหน้าไข่ปลานี้ ตัวไข่ปลาจะเค็ม ใครที่ไม่ชอบทานเค็มจะรู้สึกว่ามื้อนี้เค็มเป็นพิเศษได้ และด้วยความที่น้ำซุปราเม็ง ก็รสชาติเค็มเหมือนกัน พนักงานจึงให้กระติกน้ำซุปมา และอธิบายกับเราว่าเราสามารถเทน้ำเพิ่ม เพื่อให้เจือจางลงได้

ด้วยความที่กินทั้งข้าวและเส้นพร้อม ๆ กัน อิ่มเร็วโดยไม่ต้องสงสัย ข้าวคำแรก หอมอร่อยมาก แต่ทานไปเรื่อย ๆ มันจะเค็มพอสมควรเลย แนะนำว่าเซ็ตไม่ค่อยเวิร์ค แนะนำให้สั่งแยก หรือหาอะไรมาทานเพื่อให้ตัดรสชาติเค็ม แต่อร่อยนะ ชอบหอมดี ข้าวร้อน ๆ ทานกับกับข้าวที่รสชาติเค็ม ๆ หน่อย เป็นอะไรที่ฟินมากอยากให้มาลองกัน

ออกมาฝนเริ่มตกปรอย ๆ จะควักร่มออกมาจากกระเป๋า ก็พบว่าเพิ่งย้ายร่มไปไว้อีกกระเป๋า เลยต้องหาร้านนั่ง หลบฝนไปก่อน เลยมานั่งที่ร้านกาแฟหน้าตึก Acros

บรรยากาศในร้านดูเก่า ๆ แต่ให้อารมณ์คลาสิก มีคุณลุง คุณป้า มารับออเดอร์ และเหมือนจะมีแต่ผมทั้งร้าน ลักษณะของร้านนี้คือให้เราไปหาที่นั่ง แล้วจะมีคนมารับออเดอร์ถีงที่โต๊ะปกติเป็นคนชอบกินลาเต้ เลยจะสั่งลาเต้ มาส่องเมนูเลยเห็นว่าคนญี่ปุ่นเรียกกาแฟใส่นมว่า Au lait (โอ เล่)

ร้านมีความสงบ เหมาะกับการหยุดพักตั้งหลัก ดูคนวิ่งหลบฝนกันไป

สำหรับรสชาติอาหาร วาฟเฟิล​ (ที่รุ่นน้องเป็นคนกิน) บอกว่าอร่อยใช้ได้อยู่ครับ กาแฟผมให้กลาง ๆ

เสร็จสิ้นจากการหลบฝนแล้วเดินมาเดินเล่นต่อที่ LOFT , Donquixote, Biccamera พวกนี้อยู่ไม่ไกลกันเลย ตรงข้าม Donquixote ก็มี Apple Store สาขา Tenjin ด้วย

Apple Store Tenjin Branch

Apple store Genius Bar
Apple Store สาขา Tenjin ที่…ของน้อยมาก เสียดาย แต่มีทุกอย่างเหมือนที่ Apple store สาขาอื่นควรมี หนึ่งในนั้นคือ Session สอนใช้งานอุปกรณ์อย่าง Today at Apple

ถัดจาก Donquixote ก็เป็นศูนย์ SONY ครับ ตรงนี้ก็มีตั้งแต่กล้องถ่ายรูป, หูฟัง, ทีวี, หุ่นยนต์สุนัขที่พัฒนาโดย Sony “Aibo” ลองไปเล่นกันได้ว่าหุ่นยนต์สุนัขราคาร่วมแสนบาทนี้ ทำอะไรได้บ้าง

ความเจ๋งของมันคือ ยื่นกล้องมาถ่ายรูปเซลฟี่ด้วย มันก็หันหน้าไปทางกล้องด้วย ฉลาดมาก
เดินเล่นร้านขายยาแถวนี้ ช่วงนั้นบ้านเราหน้ากากขาดตลาด เลยมีป้ายภาษาไทยกำกับเต็มไปหมดว่าเป็นหน้ากากที่ป้องกันฝุ่น PM 2.5

ย่าน Tenjin ก็เป็นอีกหนึ่งย่านช็อปปิ้ง เต็มไปด้วยตึก อาคาร นักท่องเที่ยวมาช็อปปิ้งสินค้าต่างมากมาย มีร้านอาหารอยู่แถวนี้ก็หลายร้าน อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ชอบมุมมองแบบ City view น่าจะตื่นตาตื่นใจอยู่ครับ

ความหิวถามหาอีกครั้ง เลยกลับมาเพิ่งร้านข้าวหน้าเนื้อแถว ๆ นี้ กินเติมพลังก่อน

ฝากท้องไว้กับ Yoshinoya (ร้านพวกนี้ใช้ IC Card จ่ายได้)

แล้วก็ตัดสินใจว่าจะไปดูแสง สี ที่ Canal City ซึ่งเป็นห้างที่อยู่ติดกับแม่น้ำครับ สังเกต Guidebook หลาย ๆ เล่มมักจะพูดถึงที่นี่ก็เลยตามมาดู เปิด Google Maps แล้วนั่งรถบัสมา เดินต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงแล้วครับ Canal City

ห้าง Canal City Hakata

ห้างค่อนข้างใหญ่ มีช็อป ร้านอาหาร อะไรเต็มไปหมดเลยครับ โซน ๆ นี้ ไฮไลท์ก็จะมีตรงการแสดงน้ำพุที่คนมายืนรอดู สามารถชมได้ฟรีตามเวลา

ช็อปสตูดิโอจิบลิก็มีให้เลือกซื้อที่ Canal City Hakata เช่นกัน

เดินไปเดินมาเห็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ร้านค้าบอกว่าชั้น 5 ของอาคารนี้ มี Pop-up store Harry Potter พอดี เลยลองเดินขึ้นมา เป็นช็อปเล็ก ๆ แต่น่าจะถูกใจสาวก Harry Potter ไม่น้อยเลย

เดินเล่นอยู่จนถึงเกือบสามทุ่ม แถวนี้ก็ทยอย ๆ ปิดหมดแล้วครับ ก็เลยมาแวะร้านสะดวกซื้อหามื้อดึกไปกินที่ที่พัก ส่วนตัวมาญี่ปุ่นทีไรจะได้พุดดิ้งติดไม้ติดมือไปเป็นของหวานครับ มีแซลมอนสำเร็จรูปไปทานกับยากิราเม็ง จะให้เขาเวฟให้เลยก็มีบริการให้ครับ

นอกจากราเม็งแล้ว ก็มาเจอไข่ปลาอีก !! ผมเป็นคนที่เวลารู้ว่าอะไรเป็นของขึ้นชื่อเมืองนั้น จะชอบซื้อติดไม้ติดมื้อมาเยอะมาก ด้วยความสงสัยว่าไข่ปลาที่อยู่ในร้านอาหาร กับร้านสะดวกซื้อ รสชาติจะแตกต่างกันขนาดไหน

สรุป ไข่ปลาเมนไทโกะ ออกแบบมาให้เค็มเลยครับ เอาไปทานกับยากิราเม็งที่ซื้อมาด้วย ตัดรสชาติจืด ๆ ของเส้นไปได้เลย กับคิดว่ามันคือกับแกล้มชั้นเยี่ยม จำได้ว่าราคาไม่ค่อยแพงมาก ที่น่าสนใจคือพอมันเป็นของขึ้นเมืองนี้ เซเว่นก็มีมาขายด้วยนี่ล่ะ !

เดินทางกลับ

ก่อนกลับเดินมาแวะเที่ยว Tokyu Hands กันในชั่วโมงสุดท้ายที่สถานี Hakata แอบคิดผิดที่ไม่ได้เผื่อเวลากับร้านพวกนี้เยอะ ๆ เพราะเป็นร้านที่ได้เดินทีไรก็จะติดลม เดินเพลินมาก สุดท้ายได้ใช้เวลาประมาณครึ่งชม.

สถานี Hakata ฮากะตะ
สถานี Hakata

ด้วยความที่ไฟลท์บ่ายแล้วกลัวจะมีปัญหาไปเช็คอินช้า (เนื่องจากอาคาร Terminal 2 จะต้องนั่งรถชัตเติลบัสต่อเข้าไปอีก) เลยรีบเดินทางไปแต่เนิ่น ๆ

และเท่าที่ได้ลองจับเวลาดู หากเดินทางจากสถานี Hakata ไปจนถึง Terminal 2 ของสนามบิน Fukuoka เลย จะใช้ประมาณ 30 นาที

สนามบินฟุกุโอกะ อาคารผู้โดยสารขาออก Departure building
สนามบินฟุกุโอกะ อาคารผู้โดยสารขาออก

เมื่อมาถึงที่ Terminal 2 ก็ต้องมาต่อแถวเพื่อสแกนสัมภาระรอบแรกก่อน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะให้แยกย้ายไปตามเคาน์เตอร์เช็คอินของแต่ละสายการบิน

Jeju Airline counter at Fukuoka Airport
เคาน์เตอร์สายการบินเจจูแอร์ สนามบินฟุกุโอกะ

แล้วก็เข้ามาต่อแถวในจุดตรวจสอบสัมภาระ (Security Check) ซึ่งไม่ได้ใหญ่มาก ใครที่ซื้อของแล้วขอ Tax refund มา เมื่อพ้นจากจุดตรวจสัมภาระไปแล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่เก็บใบเสร็จจากเราไปอีกที

Security check line at Fukuoka airport
แถวสำหรับจุดตรวจสัมภาระ (Security check) ที่วันนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คนเดินทางเยอะมาก อาจจะเป็นช่วงวันหยุดยาวของคนเกาหลีด้วย

สำรวจพื้นที่แถว ๆ เกท ก็พบว่ามีร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ดิวตี้ฟรีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เยอะ ใหญ่เทียบกับสนามบินอื่น ๆ

ร้านดิวตี้ฟรี สนามบินฟุกุโอกะ Duty free shop Fukuoka airport

มาได้อาหารมื้อเช้า และของฝากให้ตัวเองติดไม้ติดมือกลับเกาหลีไป ก็คือ “ไข่ปลาเมนไทโกะหลอด”

Souvenir shop at Fukuoka airport

มาในรูปแบบแช่แข็งแบบนี้ เขามีบริการแพ็คและใส่น้ำแข็งแห้งให้เรา ไข่ปลามีขายที่นี่หลายรูปแบบ และแต่ละแบบก็แตกต่างกันเรื่องของความยาวในการจัดเก็บ แบบหลอดรู้สึกอยู่ได้หลายสัปดาห์ในตู้เย็นแบบปกติ และหากแช่ช่องฟรีซก็อยู่ได้เป็นเดือน

Frozen Mentaiko pollock
ไข่ปลาเมนไทโกะแบบหลอด

หากคุณชอบรสชาติเค็ม ๆ ของไข่ปลานี้ แนะนำให้ซื้อติดไปเพิ่มเติมรสชาติอาหารครับ หลอดละ 600 เยน เอามาเติมกับข้าว ให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำจิ้มเพิ่ม เขาบอกว่ามันเผ็ด แต่ลองเอามาทานจริง ๆ ไม่ค่อยเผ็ดเลย และอร่อยมากถ้าเอามาเติมความเค็มให้กับเมนูอาหารจานอื่น ๆ

ส่วนใครที่อยากได้โตเกียวบานาน่า, ช็อคโกแลต Royce ก็สามารถมาหาซื้อตอนท้าย ได้จากที่นี่เช่นกัน

สายการบิน Jeju Air

จบแล้วสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่น เมืองฟุกุโอกะ ของผมครับ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เล็ก ๆ ไม่ค่อยแออัด แถมยังมีอาหารอร่อย ๆ รออยู่อีกมากมาย เหมาะกับการออกมาพักผ่อนดีครับ ใครที่อยากจะเที่ยวเกาหลีไปปูซาน แล้วนั่งเรือ หรือเครื่องบินมาต่อที่เมืองนี้ เป็นตัวเลือกที่ดีมาก เพราะได้เที่ยวทั้งสองเมืองในราคาประหยัดอีกด้วย

หากมีทริปไหนน่าสนใจ ก็จะเก็บมาฝากคุณผู้อ่านให้ได้ติดตามกันอีกเรื่อย ๆ ครับ ติดตามบทความใหม่ ๆ จากทางเพจ Facebook : Framekung.com กันนะครับ

ติดตามเนื้อหาในตอนที่แล้ว

 

เที่ยวฟุกุโอกะ 2019 หน้าหนาว 5 วัน 4 คืน 3 เมือง (ตอนที่ 1)

ประเดิมทริปเที่ยวญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี มีกิจกรรมอย่างหนึ่งครับที่เฟรมอยากลองทำในช่วงหน้าหนาว นั่นก็คือการแช่น้ำพุร้อนที่ประเทศญี่ปุ่น ก็หวังว่าจะได้ผ่อนคลายร่างกายหลังจากที่ต้องแบกรับความหนาวมากันตลอดช่วงต้นหนาว หนาวนี้เลยมาที่เมือง “ฟุกุโอกะ (Fukuoka)” ซึ่งอยู่บนเกาะคิวชู (Kyushu) ตอนใต้ของญี่ปุ่นครับ

แผนที่ ฟุกุโอกะ

จากประสบการณ์ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ผมมองว่าฟุกุโอกะก็ไม่ได้ท่องเที่ยวยากหรือง่ายเกินไปสำหรับการท่องเที่ยวด้วยตนเอง อาจจะเป็นเพราะมีสายรถไฟใหญ่ ๆ เชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ความซับซ้อนอาจจะมีตรงเรื่องพาสที่อาจจะต้องทำการบ้านไปล่วงหน้า และเรื่องรถบัสที่บางช่วงจำเป็นต้องนั่ง

วันที่เดินทาง : 4-8 กุมภาพันธ์ 2562
สภาพอากาศ :
เย็นระดับสิบองศา มีฝนปรอย ๆ (เดินทาง 5 วัน มีฝนตก 1 วัน)
เมืองที่เดินทาง : ฮากาตะ (Hakata), ยูฟุอิน (Yufuin), เบปปุ (Beppu)
อินเทอร์เน็ต : ใช้ Pocket Wifi ที่จองผ่านเว็บไซต์ของเกาหลีและ Sim2Fly ของ AIS พบว่าการใช้งานทั้งสองไม่มีปัญหา แต่ Pocket Wifi รู้สึกว่าจะเร็วกว่าและสะดวกเมื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างพร้อมกัน

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

พอรู้ว่าทริปนี้จะไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวแค่ในตัวเมืองอย่างเดียว แต่มีเดินทางออกมาเที่ยวในต่างจังหวัดด้วย เลยจำเป็นต้องวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่การคำนวณค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประเมินความคุ้มค่าว่าเหมาะกับการจองตั๋วรถไฟแบบพาส (Pass) ล่วงหน้าหรือเปล่า เพราะ Pass หรือตั๋วรถไฟที่เราสามารถนั่งได้หลาย ๆ รอบนี้ ก็มีราคาสูงขึ้นมาหน่อยหากเราเดินทางด้วยรถไฟไม่เยอะ​ การซื้อตั๋วโดยสารแยกอาจจะถูกกว่า วางแผนไปวางแผนมาพบว่าพาสคุ้มกว่าเมื่อคำนวณจากค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ทั้งหมด 3 วัน 

เดินทางจากฟุกุโอกะไปยูฟุอิน

การเดินทางระหว่าง Fukuoka (Hakata) ไปยังเมืองน้ำพุร้อนอย่าง Yufuin ก็ดี หรือ Beppu ก็ดี หากนั่งรถไฟไปก็จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 4,560 เยน (ตั๋วแบบจองที่นั่ง) คิดเล่น ๆ ถ้าต้องไปกลับ ก็จะตกอยู่รวม ๆ 10,000 เยน, แต่บัสก็จะราคาถูกลงมาอยู่ที่เที่ยวละประมาณ​ 2,000 เยน ประเมินสภาพร่างกายที่เป็นคนเมารถง่าย เลยขอเลือกเดินทางไปกับรถไฟ และซื้อ JR Kyushu Rail Pass (North) หรือพาสรถไฟสำหรับท่องเที่ยวในเมืองคิวชู (Kyushu) ตอนบน ในราคา 8,500 เยน โดยจองจากเว็บ KLOOK ก่อนล่วงหน้า

จองพาส JR Kyushu Northใช้เวลาในการจองประมาณเกือบ ๆ วันได้ ก็จะได้รับเอกสารยืนยันการจองส่งมาทางอีเมล โดยเราสามารถพิมพ์เอกสารชุดนี้ ไปขึ้นสมุดพาสเล่มจริงได้ที่สถานี JR เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่นแล้ว รวมไปถึงการจองที่นั่งล่วงหน้าที่ญี่ปุ่นได้ นอกจากนี้ยังสามารถเอาหมายเลขการจอง มาจองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้าก่อนได้ (ในกรณีที่กลัวว่าที่นั่งจะเต็มก่อน) ซึ่งการจองที่นั่งล่วงหน้าออนไลน์จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1,000 เยน/ที่นั่ง 

Booking JR North Kyushu Pass
สามารถนำเลข KRP Reservation No. ไปสมัครสมาชิกในเว็บ JR KYUSHU RAIL PASS และจองล่วงหน้าได้ทันที

ด้วยความที่ช่วงเดินทางจะไปตรงกับตรุษจีน-ตรุษเกาหลี ปีใหม่ของสองประเทศพอดี บวกกับฟุกุโอกะก็ค่อนข้างเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับชาวเกาหลี กลัวว่าตั๋วรถไฟจะเต็มก่อนเลยใช้เลขรหัสที่ได้รับจากการจองพาส ไปสมัครสมาชิกและตรวจสอบที่นั่งผ่านเว็บของ JR KYUSHU RAIL PASS

มีรถไฟหลายขบวนที่ตรงจาก Hakata ไปยัง Yufuin แต่ละขบวนก็จะมีหน้าตา จุดเด่นแตกต่างกัน ซึ่งผมเองก็สนใจที่จะเดินทางด้วย Yufuin No Mori ที่สามารถนั่งรถไฟชมวิวข้างทางสวย ๆ และสามารถนั่งยาวไปเรื่อย ๆ จนถึงสถานี Yufuin โดยไม่ต้องเปลี่ยนสาย แต่รู้สึกว่าจะมีเพียงแค่ 3 เที่ยวต่อวัน คือออกจาก Hakata เวลา 9.24 / 10.24 / 14.35 น. และจะไปถึงที่ Yufuin เวลา 11.36 / 12.34 / 16.44 ตามลำดับ

ตารางเดินรถสามารถไปเช็คได้จากเว็บไซต์ของ JR Kyushu Railway ในส่วนของ Timetable

หลังจากเอารหัสของไปล็อกอินในเว็บพบว่าเหลือที่นั่งไม่เยอะสำหรับรถไฟไป Beppu เลยตัดสินใจจองตั๋วล่วงหน้าก่อนเดินทาง เป็นเส้นทางระหว่าง Hakata ↔ Beppu ซึ่งมีค่าธรรมเนียม 1,000 เยน/ที่นั่ง โดยเว็บจะหักเงินจากบัตรเดบิต/เครดิตของเราทันที และเมื่อนำตั๋วไปขึ้นที่สถานี JR (ที่ญี่ปุ่น) เราจะต้องนำบัตรที่ใช้จองไปเป็นหลักฐานในการจองตั๋วล่วงหน้าของเราด้วย

ผมเลือกจองไปล่วงหน้าเฉพาะบางเส้นทางที่คิดว่าจะแน่นครับ ส่วนเส้นทางอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นระหว่าง Yufuin ไป Beppu, หรือ Beppu กลับไป Hakata พบว่ามีรถไฟค่อนข้างหลายสาย และไม่ค่อยหนาแน่นมาก จึงสามารถไปจองที่สถานี JR ได้ เมื่อเดินทางไปถึงญี่ปุ่นแล้ว

สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport)

เมื่อผ่านขั้นตอนตม.เสร็จเรียบร้อย ออกมาก็จะมาโผล่ที่ชั้น 1 ของอาคาร Terminal 2 ซึ่งเป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขาเข้า ออกมาเพื่อมานั่งรถชัตเติลบัสฟรี ไปยังอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าสาย Airport (Kuko Line) เพื่อไปยังสถานี Hakata หรือสถานีอื่น ๆ เข้าเมืองต่อไป

หน้าตาของรถชัตเติลบัสระหว่างอาคารต่างประเทศไปยังอาคารในประเทศ

รถชัตเติลบัสจะออกทุก ๆ 4-6 นาที ให้เรานั่งไปสุดสายเลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย ระยะเวลาในการเดินทางระหว่าง 2 อาคารนี้จะใช้เวลาประมาณ 10 นาที

สิ่งแรกที่ทำเมื่อถึงฟุกุโอกะ

1. ซื้อบัตรโดยสาร IC Card

สำหรับใครที่มีแผนเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินภายในเมือง แนะนำให้ซื้อบัตรโดยสาร IC Card ไว้เลยเพื่อความสะดวก แต่ก่อนก็ไม่คิดจะซื้อเพราะเข้าใจว่าเราไม่สามารถใช้บัตรนี้เดินทางได้ทั่วญี่ปุ่น แต่!! ตอนนี้บัตรเดินทางไม่ว่าจะใช้ของค่ายไหน เป็น Suica, ICOCA หรือที่เคยไปซื้อมาจากเมืองอื่น ตอนนี้สามารถใช้ร่วมกันได้หมดแล้วครับ ที่สำคัญคือไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วทุก ๆ สถานี หรือคอยเช็คราคาค่าโดยสาร ไม่จำเป็นต้องพกเหรียญไปไหนมาไหนตลอดเวลา ที่สำคัญคือหลายร้านค้าที่รับบัตร IC Card เช่นตามร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็น 7-11, Family Mart, Lawson ฯลฯ สามารถใช้บัตร IC Card ชำระเงินได้เลย

Hayakaken Fukuoka IC Card
หน้าตาของตู้สำหรับซื้อตั๋วโดยสาร และบัตรโดยสารแบบ IC Card (บัตรชื่อ Hayakaken)

สามารถซื้อตั๋วได้จากตู้เติมเงิน โดยมีค่าธรรมเนียม 2,000 เยน (แบ่งเป็นค่าบัตร 500 เยน และค่าเดินทาง 1,500 เยน)

2. แลกพาส, จองที่นั่งล่วงหน้า

เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Hakata แล้ว สำหรับคนที่จองพาสทั้งหลายมาจากอินเทอร์เน็ต ให้มาแลกตั๋วโดยสารสำหรับเดินทางไว้แต่เนิ่น ๆ โดยจุดแลกบัตรโดยสารจะอยู่ที่สถานี JR ของสถานีใหญ่ ๆ อย่างในฟุกุโอกะ ก็จะมีที่สถานี Hakata เมื่อเข้ามาถึง จะมีพนักงานมาช่วยสกรีน ตรวจสอบเอกสารการจองที่พิมพ์จากอินเทอร์เน็ต พาสปอร์ต และกำหนดการเดินทางของเรา คอยอำนวยความสะดวกในการจองให้ ใครที่เช็คเส้นทางการเดินทางจากเว็บไซต์จาก Hyperdia.com มาแล้ว ก็สามารถกรอกเวลาเดินทางลงในใบได้เลย เมื่อทุกอย่างพร้อมเรียบร้อย เราก็สามารถไปต่อแถวที่เคาน์เตอร์ 1 หรือ 2 เพื่อแลกตั๋วเดินทางได้

พนักงานคอยอำนวยความสะดวกให้ข้อมูลเรื่องเส้นทาง เราสามารถกรอกตารางเวลาที่ต้องการใน Application Form ได้ โดยต้องระบุวันที่เริ่มต้นใช้บัตร จำนวนผู้โดยสาร ประเภทของ Pass และวันที่ รอบรถ สถานีต้นทาง-ปลายทาง ที่ต้องการ เมื่อเอกสารครบหมดแล้ว สามารถไปยื่นที่เคาน์เตอร์ 1-2

   ข้อจำกัดของพาส JR North Kyushu   คือ เราไม่สามารถนั่งรถไฟขบวน Sanyo Shinkansen จากช่วง Kokura ↔ Hakata ได้ เวลาที่เราเข้าไปเว็บ Hyperdia แล้วลองสร้างเส้นทางจาก Hakata ไป Beppu ก็ดี หรือจาก Beppu มา Hakata ก็ดี ระบบจะสร้างเส้นทางให้เราไปเปลี่ยนสาย Shinkansen ที่สถานี Kokura ครับ ซึ่งเส้นทางนี้ ไม่รวมอยู่ในพาส ดังนั้นเมื่อวางแผนการเดินทางต้องเลี่ยงเส้นทางนี้ สำหรับเส้นทางที่สามารถนั่งได้จาก Beppu ↔ Hakata จะเป็นขบวนที่เขียนว่า Sonic 

3. มุ่งหน้าสู่ที่พัก

ที่พักในฟุกุโอกะครั้งนี้จอง AirBNB ครับ ในญี่ปุ่นยังคงเปิดให้ใช้อย่างถูกกฎหมายแต่จะต้องให้ผู้เข้าพักสแกนหน้าพาสปอร์ตแจ้งข้อมูลส่วนตัวให้กับผู้ให้เช่า (มีเว็บเป็นฟอร์มให้กรอก) หรือบางที่จะมีเคาน์เตอร์เช็คอินเหมือนกับโรงแรมให้ ซึ่งจองที่พักครั้งนี้ ได้เจอทั้งสองรูปแบบเลยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของ AirBNB ญี่ปุ่นเกี่ยวกับกฎหมายให้บริการห้องเช่า

AirBNB in Fukuoka
ห้องพักตกคืนละประมาณ 600 บาท มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไว้ค่อนข้างครบครัน

เอาของไปฝากไว้ที่พักก่อนจะเดินไปหาของกินมื้อค่ำ ประเดิมคืนแรกที่ ย่าน Yatai ตรงนี้เป็นเหมือนซุ้มอาหารข้างทางริมแม่น้ำ เป็นซุ้มที่สามารถนั่งกินได้ประมาณ 7-8 คน แต่ละร้านก็จะมีเมนูที่คล้าย ๆ กันคือ ราเม็ง หรือไม่ก็ยากิโซบะ สารพัดเมนูอาหารที่ส่วนใหญ่จะมีเมนูภาษาอังกฤษไว้รับลูกค้าต่างชาติ

Yatai food stalls in Fukuoka

เดินไปจนสุดทาง ก็ไม่รู้จะเลือกร้านไหน มาเลือกร้านที่คนเรียกใส่แว่นเห็นว่าหน้าคล้ายเราดี (มีคอมฟอร์ตโซนเล็กๆคือไม่ชอบไปนั่งรวมกินกับคนอื่น แต่ถ้าไม่เลือกก็ไม่ได้นั่งกินสักที เลยหาตรรกะอะไรง่าย ๆ 😀 ) ก็ไปนั่งกินกับกลุ่มคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว สั่งเมนูเป็นยากิโซบะ ซึ่งเป็นเมนูที่คุ้นเคยและทำการบ้านมาว่าน่าจะอร่อย 

Food at Yatai Food Stalls, Fukuoka
ยากิโซบะ และไข่ปลาเมนไทโกะ

รสชาติก็โอเคดี 900 เยน (รู้สึกว่าตอนทำการบ้านมาจะแค่ 600 เยน)​ กับอีกเมนูคือไข่ปลา เป็นไข่ปลาคอด “เมนไทโกะ” ของดีขึ้นชื่อเมืองฟุกุโอกะที่เพื่อนญี่ปุ่นสั่งมาว่าควรจะต้องกิน ตั้งใจไปกินในร้านอาหารใหญ่วันอื่น แต่พอถึงญี่ปุ่นคืนแรกก็นึกอยากลอง เลยสั่งมากินกับผัดหมี่ด้วย จานนี้ก็ 900 เยนเหมือนกัน รสชาติก็จะมัน ๆ ออกไปทางเค็มถึงเค็มมาก ใครไม่ชอบทานเค็มจะไม่ชอบเมนูนี้เลย แต่เอามาทานกับบะหมี่ผัดก็รู้สึกว่ารสชาติตัดกันได้อย่างลงตัว

ทานเสร็จแล้วคิดเงินก็พบว่าอาหารนั่นยังไม่รวม VAT อีก สองจานนี้จึงหมดไปเกือบ 2,000 เยน T_T อาหารที่เสิร์ฟมาในจานเล็กๆ กับบรรยากาศในร้านที่ต้องนั่งรวมทานกับคนอื่น เลยคิดว่าถ้าจะต้องจ่ายราคาขนาดนี้ แนะนำให้ไปหาทานในร้านอาหารน่าจะดีกว่าครับ

จบการเดินทางในวันแรก…

Day 2 : นั่งรถไฟไปยูฟุอิน

ลากกระเป๋าเช็คเอาท์จากที่พักแต่เช้า เดินทางไปยังสถานี Hakata เพื่อนั่งรถไฟขบวน Yufu No.1 เที่ยว 7.45 น. ที่จะไปถึงยูฟุอินเวลา 10.01 น. (รถได้รอบเช้ามาก เพราะรอบอื่นเต็ม แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มดีเพราะว่าจะได้เที่ยวเยอะๆ)

จุดที่ขึ้นรถไฟไปยุฟุอิน หรือเมืองอื่น ๆ จะอยู่ที่ Central Gate ซึ่งหน้าตาเป็นแบบในรูปด้านล่างนี้ครับ ให้ใช้เล่มพาส JR Kyushu ที่ได้มา แสดงให้กับเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าก็จะสามารถเข้าไปได้ ส่วนตั๋วโดยสาร เดี๋ยวเขาจะมีเจ้าหน้าที่มาเช็คอีกรอบในรถไฟ

JR Central Gate Fukukoka (Hakata) stationเราสามารถเช็คได้จากหน้าจอ​ โดยเอาเวลาไปเทียบดูว่าจะต้องไปขึ้นที่ชานชาลา (Track) ไหน ซึ่งของผมจะเป็น Track ที่ 5 ก็ขึ้นไปรอครับ โดยปกติแล้วรถไฟจะมาก่อนเวลาประมาณ 3-5 นาที คำนวณเวลาไปมาก็พบว่ายังพอมีเวลาอยู่ เห็นคนเดิน ๆไปเข้าร้านขายข้าวกล่องในสถานี หรือ “Ekibento” (Eki – สถานี, Bento – ข้าวกล่อง) อยู่เยื้องกับทางเข้าเลยเดินไปดูสักหน่อย

Station Bento What to eat Hakata station
ร้านขายข้าวกล่องตามสถานีรถไฟในญี่ปุ่น

มีตัวเลือกเยอะแยะเลยครับสำหรับข้าวกล่อง ข้าวปั้น คิดว่าเหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางไกล ๆ และมองหาข้าวเช้า

ข้าวกล่องบนรถไฟ
ข้าวปั้นหน้าปลาซาบะ

ได้มาเป็นข้าวปั้นหน้าปลาซาบะ ราคา 980 เยน​ ยอมจ่ายแพงเพื่อขอชิมรสชาติปลาเต็ม ๆ หน่อย​ อร่อยเหมือนกันและเนื้อปลาใหญ่เต็มคำจริง ๆ อาจจะมีความคาวบ้าง แต่เป็นคาวปลาที่สำหรับผมรับได้ ประทับใจยิ่งกว่านั้นคือ ความพิถีพิถันที่อยู่ในแพ็คเกจ มีตะเกียบ โชยุ และผ้าเช็ดมือ อยู่ในแพ็คเกจที่เป็นใบไม้ห่อแบบนี้ มีครบทุกอย่าง

ส่วนตัวแนะนำเลยว่าไม่อยากให้พลาด ต่อให้ไม่เป็นมื้อหนัก ๆ อย่างเบนโตะก็ควรจะหาอะไรติดไม้ติดมือไปกินบนรถไฟเพราะต่อให้เราไม่หิว เมื่อเห็นคนอื่นกินก็อาจจะพลอยทำให้เราหิวตามได้

วิวระหว่างข้างทางก็เห็นเป็นพื้นที่แปลงเกษตรสีเขียวตลอดทาง ให้ความรู้สึกผ่อนคลายดีครับ รถไฟ Yufu No. 1 ไม่ใช่เป็นรถไฟที่มีออพชั่นอะไรมากเหมือนกับขบวนอื่น ๆ อย่าง Yufuin No Mori (พยายามจองแล้วแต่ไม่ทัน) ด้วยความที่อยู่ตู้แรกสุดเลยสามารถเข้าไปดูหน้าสุดของรถไฟได้ รถไฟเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ พาเราไปถึงสถานี Yufuin

ถึงสถานี Yufuin ออกมาก็ตกใจเพราะภาพแรกที่เห็นคือ…

สถานี Yufuin

วิวหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ข้างหลังเป็นภูเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชอบภูเขาก็เลยว้าวมากเป็นพิเศษหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่นี่ดูเป็นเมืองที่น่าสนใจ ดูน่าอบอุ่น เหมือนอยู่ในนิทาน นักท่องเที่ยวรายล้อมถ่ายรูปเต็มไปหมด ตอนนั้นอยากจะเดินสำรวจเต็มที่ แต่ขอจัดการกับสัมภาระให้เรียบร้อยก่อน เลยเดินตรงไปที่เรียวกังที่จองไว้อยู่ห่างจากสถานีประมาณ​ 10 นาที

Store in Yufuin
ร้านค้าเล็ก ๆ น่ารักเรียงเต็มไปหมด

เรียวกังที่จองผ่าน Agoda ไว้มีชื่อว่า  “Enokiya Ryokan” เป็นห้องพักแบบสไตล์ญี่ปุ่นที่มีห้องอาบน้ำให้เราไปแช่ได้ ตอนจองมาก็เน้นราคาประหยัดและสะดวกกับการเดินทาง เมื่อเดินมาถึงก็มีพนักงานให้การดูแลในการเช็คอินอย่างดี

อธิบายการใช้งานห้องอาบน้ำต่าง ๆ ซึ่งมีแยกชาย-หญิง และสำหรับครอบครัว โดยห้องอาบน้ำเปิดตั้งแต่ 15.00 – 09.00 น.​ (โต้รุ่งกันก็ได้) โดยเรียกเก็บค่าบริการสำหรับห้องอาบน้ำแยกต่างหาก 300 เยน

เอาสัมภาระไปฝากไว้ที่ที่พักก่อนจะเดินออกมาสำรวจ สถานที่แรกที่ไปคือ ทะเลสาบคินริน (Kinrinko) ซึ่งอยู่ห่างจากที่พัก ใช้เวลาเดินประมาณ​ 15 นาที

วิวจากหน้าที่พัก
Kinrinko Lake
ทะเลสาบคินริน (Kinrinko)

เดินตามแผนที่มาก็จะเห็นทะเลสาบที่ไม่ได้ใหญ่สุดลูกหูลูกตาอะไรมาก แต่มีความร่มรื่น และน้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลา เป็นอีกหนึ่งจุดที่มาถึงที่ยูฟุอินนี้ก็ควรมาถ่ายรูปกันครับ

ริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยร้านคาเฟ่ ร้านค้าเรียงรายเป็นแถว จุดสังเกตอย่างหนึ่งของร้านค้าบริเวณนี้ คือ ร้านค้าค่อนข้างจะเหมือน ๆ กันหมด ร้านอาหารลักษณะทานง่าย ๆ อาหารจานด่วน ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ เป็นแต่ชุดใหญ่ จัดเต็มไปเลย หรือไม่ก็เป็นร้านขายของทานเล่นเสียมากกว่า

เดินมาจนสุดทาง มาเจอกับร้านกาแฟที่ดูเก่าแก่ แต่บรรยากาศน่านั่งร้านหนึ่งครับ ร้านนี้ชื่อ Caravan Coffee เห็นเขียนว่า Since 1970 ก็เลยอยากเข้าไปชิมบรรยากาศ รสชาติที่เก่าแก่สักหน่อย เข้าไปก็เห็นร้านกาแฟในบรรยากาศเก่า ๆ ในร้านตกแต่งไปด้วยพรอพเต็มไปหมด มีคุณลุงคุณป้าช่วยกันบริหารร้าน

ที่นั่งในร้านจะมีเป็นโต๊ะใหญ่ ๆ อยู่สองโต๊ะครับ ช่วงคนเยอะก็อาจจะต้องไปนั่งรวมกับคนอื่นหน่อย แต่เวลาที่ไปจำได้ว่าเป็นช่วงเที่ยง ๆ คนคงกำลังไปหาร้านทานข้าวกันแต่ผมขอเริ่มจากกาแฟก่อน ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษครับ และส่วนใหญ่เมนูจะเป็นเมนูกาแฟดริป ราคาก็แอบแพงหน่อย ๆ แก้วถูกสุดน่าจะประมาณ 700 เยน~ (เทียบกับ Starbucks ที่นี่เริ่มต้นประมาณ​ 400 เยน)

Cafe au lait (กาแฟใส่นม) (750 เยน)

เข้ามาในตัวย่านท่องเที่ยวก็เต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่จะเป็นคนเกาหลี, จีน มีคนญี่ปุ่นบ้างประปราย

มีร้านค้าแยกออกไปตามตรอกซอกซอย จำหน่ายสินค้าที่ระลึกและร้านอาหาร

พยายามเดินตามหาร้านข้าว แต่ยังไม่เจอที่ถูกใจเท่าไหร่ เลยหาอะไรกินข้างทาง มาเจอร้านขาย ทาโกะยากิยักษ์ มีหลายหน้าให้เลือกครับไม่ว่าจะเป็นออริจินอล รสเผ็ด รสชีสเผ็ด และอีกสารพัดหน้า ราคาเริ่มต้นที่ 450 เยน กินรองท้อง อร่อย ชอบมากครับ

Totoro shop
ร้าน Donguri No Mori สำหรับแฟนคลับโทโทโร่

เดินหาร้านกินจนทั่วก็เข้าใจเลยว่า หาร้านกินข้าวที่นี่ยากเหมือนกัน ร้านค้ามีเยอะเต็มไปหมดแต่อย่างที่เกริ่นไว้คือ-ของหวานเสียส่วนใหญ่ ก็มาเจอกับร้าน Utano (うた乃) ซึ่งเป็นร้านที่มาจากการเดินสุ่มมั่วๆ ซึ่งอยู่ใกล้กับทางเดินกลับไปสถานี Yufuin ครับ ด้วยความหิวเลยตัดสินใจเดินเข้าไปก่อน

มีเมนูภาษาอังกฤษ ค่อนข้างเฟรนด์ลี่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภายในร้านบรรยากาศดี สะอาดสะอ้าน มาถึงฟุกุโอกะแต่ก็ยังคงอยากกินอะไรที่คุ้นเคย เลยมาทานโอโคโนมิยากิ (1,200 เยน) ที่ร้านนี้

ถ้าไม่อยากทานโอโคโนมิยากิอย่างเดียว ในร้านมีเมนูกึ่งๆระหว่างโอโคโนมิยากิและยากิโซบะ เรียกว่า Usuyaki (920 เยน) เป็นแผ่นแป้งบางกว่าโอโคโนมิยากิหน่อย ๆ แต่มีเส้นผัดอยู่ด้วย ขนาดใหญ่ใช้ได้ ถ้าเน้นอิ่มและประหยัดอาจจะแนะนำเมนูนี้ ยังมีขนมหวานที่เขาว่าเป็นขนมโลคอลของเขต Oita เรียกว่า Yaseuma (500 เยน) เป็นแป้งที่ไปคลุกกับคินาโกะซึ่งให้รสชาติคล้าย ๆ กับถั่ว หอม หวาน มัน คลุกเคล้ากันเป็นของหวานที่อร่อยใช้ได้ กินไปกินมาจะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกินมะพร้าวที่มันให้รสชาติมัน ๆ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ชอบ

Okonomiyaki, Usuyaki และ Yaseuma

ร้านนี้โอเคในเรื่องบรรยากาศ แต่ราคาอาจจะสูงไปนิด แต่เทียบกับปริมาณร้านอาหารที่ไม่ได้เยอะมากแถว ๆ นี้ ก็อยากให้ทำใจกันไว้หน่อย ..​ แต่ก็ไม่ต้องห่วงอีกอยู่ดี เพราะจะแนะนำว่ามันมีอีกหนึ่งตัวเลือกที่อยากเสนอ (ซึ่งก็มาค้นพบหลังจากกินอิ่มเสร็จเรียบร้อย) นั่นก็คือซุปเปอร์ Max valu ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีเลย

เป็นมาร์ทที่มีทุกอย่างตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงอาหาร มีข้าวกล่องให้สามารถไปอุ่นกินที่ที่พักได้ ซึ่งก็ได้แซลมอนและซาชิมิมาเป็นมื้อดึก กับขนมและของทานเล่นเต็มไปหมด หยิบติดกลับมาบ้าง

ของกินค่อนข้างหลากหลาย และดูจากเวลาที่ให้ทำการแล้วเปิดตั้งแต่ 08.00 ไปจนถึง 23.00 น. ดึกก็ยังพอมาหาอะไรทานได้อยู่

เนื้อหน้าตาน่ากินมาก แต่เสียดายที่ที่พักไม่สามารถทำอาหารได้
ซาชิมิรวมที่ตกกล่องละประมาณ​ 630 เยน

รอบนี้ด้วยความที่ค่าเงินบาทไทยแข็ง เคยแลกเงินเยนเก็บใส่ไว้ใน Travel Card เลยเอามาลองใช้ดู ก็พบว่าสามารถเอามาใช้ที่มาร์ทที่นี่ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร (แม้ว่าบัตรยังคงเป็นบัตรแบบไม่ได้สลักชื่อ) สะดวกดีเหมือนกันเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีเหรียญเยอะ

เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ท้องถิ่นที่มีขายในย่าน Oita
KTB Travel Card in Japan shop
ผลการทดสอบใช้ KTB Travel Card ในญี่ปุ่น สามารถใช้ได้ไม่มีปัญหา หักตามสกุลเงินท้องถิ่นและเช็คย้อนหลังผ่านแอพได้

สำรวจที่พักในยุฟุอิน “Enokiya Ryokan”

ในเว็บจริง ๆ เขียนเอาไว้ว่าเช็คอินได้ตั้งแต่ 15.00 น. แต่พนักงานบอกว่าห้องพร้อมตั้งแต่ 13.00 น. แล้ว กลับมาก็พบว่าพนักงานหิ้วกระเป๋าขึ้นไปวางไว้ในห้องเรียบร้อยอย่างดี โซนห้องพักจะอยู่ชั้น 2 และชั้น 3 บรรยากาศภายนอกดูเก่า ๆ แต่ข้างในไม่ใช่เลย ดูสะอาดแต่ยังคงความคลาสสิค อบอุ่นไปอีก อุปกรณ์ภายในห้องมีเตรียมไว้ครบครัน พิถีพิถันไปกว่านั้นคือมีกาน้ำชา ขนมเซมเบ้สำหรับทานกับชา และกระติกน้ำเย็นที่ใส่น้ำไว้ให้เต็มเหมือนรู้ว่ากระหายน้ำมา

ชุดน้ำชาที่ที่พักเตรียมไว้ให้

ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ครบ ไม่ว่าจะเป็นทีวี เครื่องทำความอุ่น เซ็ตแปรงสีฟัน ตู้เซฟ กาต้มน้ำร้อน และที่สำคัญคือ มีชุดยูกาตะ สำหรับเปลี่ยนให้ได้ถ่ายรูปเล่นหรือจะใส่เดินเล่นในอาคารได้ (ใส่ไปข้างนอกไม่ได้นะ) และหากเดินทางในช่วงหน้าหนาวจะมีชุดคลุมด้านนอกอีกตัวเรียกว่า Tanzen ให้เพิ่มอีกตัว

Enokiya Ryokan room review

Yukata ryokan
ชุดยูกาตะที่เตรียมไว้ให้อย่างเรียบร้อย ผ้าเช็ดตัว ถุงเท้า

ในห้องยังมีคู่มือวิธีการสวมยูกาตะอธิบายไว้คร่าว ๆ อีกด้วย ถ้าจะสรุปสั้น ๆ คือ “ซ้ายทับขวา” สำหรับผู้ชายจะมัดผ้าแล้วหมุนโบว์ไปทางด้านหลัง ส่วนผู้หญิงจะหมุนไว้ข้างใดข้างหนึ่ง

สรุปว่าคุ้มค่าคุ้มราคา ตอนจองจะมีตัวเลือกให้เลือกเพิ่มเติมว่าต้องการอาหารสไตล์โลคอลหรือเปล่า แต่ด้วยความที่ทริปนี้เป็นทริป “คุมงบ” เลยไม่ได้เลือกอาหารเช้าเพิ่ม อ้อ !! อีกอย่างคือ ที่พักไม่มีห้องอาบน้ำ จะอาบน้ำก็จะต้องลงไปอาบที่บริเวณแช่น้ำซึ่งเป็นตามสไตล์เรียวกัง ที่ต้องเปลื้องผ้าไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ ในห้องพักจะมีเพียงห้องส้วมและอ่างสำหรับล้างหน้าง่าย ๆ ไว้สำหรับล้างหน้า-แปรงฟัน แต่จากประสบการณ์ในการพักที่นี่ก็พบว่าต่อให้ไม่มีห้องอาบน้ำก็ยังสะดวกสบายอยู่ดี

และแล้วก็ถึงเวลาพักผ่อน ลงไปแช่น้ำร้อน ก่อนจะลงบ่อก็อย่าลืมไปล้างตัวกันก่อน บ่อสำหรับแช่ตัวก็จะมีทั้งด้านในและด้านนอก ด้านนอกบอกเลยว่าฟินสุดเพราะครึ่งบน คุณจะรู้สึกเย็นหายใจโล่ง ๆ ส่วนครึ่งล่างก็จะอุ่น ๆ หน่อย ฟินอย่างบอกไม่ถูก ใช้เวลานี้ผ่อนคลายแบบเต็มที่ เตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางในวันต่อไปครับ

Enokiya Ryokan Bath
บ่อน้ำร้อนข้างนอก (สำหรับผู้ชาย)

ที่พักค่อนข้างถูกใจเพราะได้ในเรื่องของโลเคชั่น ความสะอาดสะอ้านของห้องพักถือว่าโอเคเลย เช็คเอาท์ได้ไม่เกิน 10 โมง ผมก็เตรียมออกมาตั้งแต่เนิ่น ๆ อาหารเช้าไม่ได้ทานอะไรมาก เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปิด และขอรวบไปเป็นมื้อเที่ยงที่เมืองเบปปุแทน เอาเป็นว่ารายละเอียดการเดินทางไปยังเมือง Beppu รวมไปถึงบรรยากาศของบ่อน้ำพุในเมือง Beppu จะรวมไปเล่าไว้ในบล็อกตอนหน้า อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ !!

สำหรับวันนี้สวัสดีครับ ~

ติดตามเนื้อหาในตอนที่แล้ว

 

ทุนรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี (KGSP/GKS 2019) ระดับปริญญาโท-เอก ปีการศึกษา 2562

โครงการทุนรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี (2019 Global Korea Scholarship) ประจำปี 2562 (2019) ประกาศรับสมัครนักเรียนทั่วโลกกว่า 840 คน จาก 155 ประเทศ ที่สนใจเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทเอก และสำหรับนักศึกษาวิจัย เพื่อรับทุนศึกษาต่อในประเทศเกาหลีใต้

โควต้าสำหรับคนไทย ทุนรัฐบาลเกาหลีประจำปีการศึกษา 2019

  • สมัครคัดเลือกผ่านสถานทูต (Embassy track) : 6 คน
  • สมัครคัดเลือกผ่านมหาวิทยาลัย (University track) : หลักสูตรทั่วไป 9 คน, หลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์ 3 คน (รวมทั้งสิ้น 12 คน)

โดยผู้ที่สนใจทุนนี้จะต้องผ่านการคัดเลือกรอบแรกผ่านทางสถานทูต โดนสามารถตรวจสอบรายละเอียดการคัดเลือก ดาวน์โหลดใบสมัครได้จากทางเว็บไซต์ Studyinkorea.go.kr ได้โดยตรง

วิธีการดาวน์โหลดใบสมัคร

เข้าไปที่เว็บไซต์ Studyinkorea.go.kr ในช่อง Recent Articles มองหาลิงก์ [GKS] 2019 Global Korea Scholarship for Graduate Degrees

ทุนรัฐบาลเกาหลี ป.โท เอก 2019

เมื่อเข้าไปแล้วจะมีรายละเอียดการสมัคร โดยให้สังเกตด้านล่างของรายละเอียดจะมีไฟล์ใบสมัคร รายละเอียดของมหาวิทยาลัย และคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการสมัคร

กำหนดการปิดรับสมัครจะขึ้นอยู่กับหน่วยงานการรับสมัครของแต่ละประเทศเช่น สถานเอกอัครราชทูตเกาหลี ประจำประเทศไทย หรือ ศูนย์เกาหลีศึกษาประจำประเทศไทย ซึ่งจะมีการประกาศแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

คุณสมบัติผู้สมัคร

สัญชาติ

  1. ครอบครัวหรือผู้สมัครจะต้องไม่ถือสัญชาติเกาหลี
  2. ชาวเกาหลีและผู้ที่ถือสองสัญชาติไม่สามารถสมัครได้
  3. ผู้สมัครหรือครอบครัวที่เคยได้รับสัญชาติเกาหลีมาก่อนจะต้องแสดงเอกสารสละสัญชาติเกาหลี

อายุ

  • ไม่เกิน 40 ปี (เกิดหลังวันที่ 1 กันยายน 1979)
  • อาจารย์ในสถาบันการศึกษา ที่มีอายุต่ำกว่า 45 ปี (เกิดหลังวันที่ 1 กันยายน 1974 )

คุณสมบัติทางการศึกษา

  • ผู้สมัครจะต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โท หรือเอก ก่อนวันที่ 31 สิงหาคม 2019 หรือมีเอกสารคาดว่าจะจบ
  • ต้องไม่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือโทจากประเทศเกาหลี (ยกเว้น ได้รับการอุปถัมป์ หรือนักเรียนทุนรัฐบาลเกาหลี) โดยมีเกรดเฉลี่ย 2.64/4.00 ขึ้นไป หรือ 2.80/4.3 ขึ้นไป

สภาพร่างกาย

  • มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
  • ไม่มีประวัติการใช้สารเสพติด สามารถอยู่ในประเทศเกาหลีได้เป็นระยะเวลานานได้

คุณสมบัติที่พิจารณาเป็นพิเศษ

  • มีคะแนนสอบวัดระดับภาษาเกาหลี (TOPIK) หรือคะแนนสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ​ (TOEFL,TOEIC,IELTS) โดยผลคะแนนจะต้องยังไม่หมดอายุ
  • ผู้ที่สมัครในสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษหากมีผลคะแนนเท่ากับผู้สมัครสายอื่น
  • ผู้ที่สมัครคณะในโครงการ Industrial Professional Training Project จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษหากมีคะแนนเท่ากับผู้สมัครคนอื่น
  • ผู้สมัครที่ถือสัญชาติอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอยู่ในโครงการ ODA จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ หากมีคะแนนเท่ากับผู้สมัครคนอื่น
  • บุตรหลานของครอบครัวที่ช่วยเหลือในสงครามเกาหลีจะได้รับคะแนนเพิ่ม 5% ของคะแนนทั้งหมด
  • ผู้สมัครที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน

สิทธิพิเศษของทุนรัฐบาลเกาหลี

  • ตั๋วเครื่องบิน (ไปกลับ) ในระดับชั้นประหยัด
  • ค่าตั้งถิ่นฐาน 200,000 วอน (จะได้รับเมื่อถึงเกาหลี)
  • ค่าใช้จ่ายรายเดือน 900,000 วอน/เดือน
    (
    สำหรับโปรแกรมสำหรับนักวิจัย Research จะได้รับ 1,500,000 วอน/เดือน)
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับวิจัย
    – คณะ Liberal Arts และ Social Science : 210,000 วอน/เทอม
    – คณะ Natural Science & Engineering : 240,000 วอน/เทอม
  • ค่าใช้จ่ายในการเรียนภาษาเกาหลีทั้งหมด 1 ปี
  • ค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับปริญญาโท หรือ เอก ทั้งหมด
    (4
    ปี สำหรับระดับปริญญาเอก, 3 ปีสำหรับปริญญาโท, 6 เดือนสำหรับโครงการวิจัย)
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับวิทยานิพนธ์
    – คณะ Liberal Arts และ Social Science : 500,000 วอน
    – คณะ Natural Science & Engineering : 800,000 วอน
  • ค่าประกันสุขภาพ 20,000 วอน/เดือน
  • หากมีคะแนน TOPIK ในระดับ 5 ขึ้นไป จะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่ม 100,000 วอน/เดือน
  • ค่าใช้จ่ายสนับสนุนเมื่อจบการศึกษา : 100,000 วอน

โปรดศึกษารายละเอียดจากในใบสมัครให้ครบถ้วนอีกครั้ง

ขอสงวนสิทธิ์ไม่ตอบคำถามหากเป็นข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้จากในเว็บไซต์หรือบนอินเทอร์เน็ต
และเนื่องจากว่าผมได้รับทุนในระดับปริญญาตรี จึงไม่สามารถให้ข้อมูลในเชิงลึกของระดับปริญญาโท-เอกได้ครับ แต่หากมีข้อมูลที่สงสัยส่งเข้ามาเรื่อยๆ จะอาสานำไปสอบถามรุ่นพี่มาให้เพิ่มเติมได้ครับ

รวมคำถามที่พบบ่อย : สมัครเรียนภาษาม.ซอกังด้วยตัวเอง

FAQ (คำถามที่พบบ่อย)

1. สมัครเองหรือสมัครผ่านเอเจนซี่คะ? เอเจนซี่เจ้าไหนดี?

ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่าในบล็อก เราสมัครด้วยตัวเองทุกขั้นตอนค่ะ หลายคนกังวลว่าตัวเองไม่เคยสมัคร จะรอดรึเปล่า กลัวทำไม่ได้ เพราะภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ขอยืนยันมา ณ จุดนี้ ว่าไม่ยากอย่างที่คิด ตอนสมัครไม่ได้สนทนาภาษาอังกฤษตัวต่อตัว มีเวลาเยอะแยะ เปิดดิค+กูเกิ้ลได้ค่ะ เราก็ทำ 55 (แปลไม่ออกมาถามได้เลย ^^) ส่วนตัวจีมินไม่เคยใช้เอเจนซี่ ดังนั้น ไม่สามารถแนะนำได้ว่าเจ้าไหนดี ขอโทษด้วยค่า -/|\-


สมัครเอง

ข้อดี แน่นอนว่าเราได้ติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด รู้ว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว ต้องทำอะไรต่อ ไม่เสียเงินค่าเอเจนซี่ หากมีคำถามหรือข้อสงสัย สามารถส่งอีเมลไปถามเจ้าหน้าที่ของสถาบันได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องกลัวว่าเค้าจะไม่ตอบกลับถ้าแกรมม่าไม่เราเป๊ะ ไม่มีแบบนั้นแน่นอนค่ะ เพราะงั้นอย่าไปเกร็ง 😉 เค้าแค่อาจจะตอบช้าถ้าช่วงนั้นยุ่ง มีคนสมัครเยอะ แนะนำให้รีบสมัคร และส่งอีเมลทันทีหากมีคำถาม เผื่อเวลารอเค้าตอบด้วย

ข้อเสีย ต้องคอยมาเช็คบ่อย ๆ ตอนนั้นเราล็อคอินเข้าไปเช็คทุกวัน วันละหลายรอบ รอว่าเมื่อไหร่เค้าจะตอบ โดยเฉพาะช่วงรอคอนเฟิร์มหลังจ่ายค่าเรียนนี่เช็คถี่มาก กลัวส่งเงินไม่ถึง เหมือนเป็นพวกวิตกจริต 55555

สมัครผ่านเอเจนซี่

ข้อดี – มีผู้มีประสบการณ์ดำเนินการให้ ไม่ต้องวุ่นวายมากนัก (แต่ต้องเลือกเอเจนซี่ดี เชื่อถือได้นะ)

ข้อเสีย – เสียเงินเพิ่ม ไม่สามารถล็อคอินระบบเข้าไปเช็คเองได้ เพราะเอเจนซี่เองเค้าก็กลัวว่าเราจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลข้างใน

สรุป ถ้าคิดว่าสมัครด้วยตัวเองได้ให้สมัครเองไปเลยค่ะ เราเขียนทุกอย่างที่ตัวเองทำตอนนั้นไว้หมดแล้ว คนอื่นอาจจะเหมือนหรือต่างกันก็ได้ แต่คิดว่าคงไม่ต่างกันมากค่ะ ประหยัดเงินในส่วนที่เราประหยัดได้ดีกว่า แต่ถ้ามีงบหรือผู้สนับสนุนจะจ้างเอเจนซี่ก็ไม่ว่ากัน <33 ซัพพอร์ตทุกคน ขอให้ได้ไปเรียนตามที่ฝันไว้นะคะ

2. มีเงินไม่ถึง ทำยังไงกับเอกสารรับรองการเงิน (bank statement) ดี?

หากเงินในบัญชีตัวเองมีไม่ถึง สามารถใช้ bank statement ของผู้ปกครองได้ค่ะ เค้าอาจขอเอกสารรับรอง (statement of financial sponsorship) เพิ่มเติมภายหลัง หลังจากขอ bank statement บางคนต้องรออีก 1-2 วันทำการ / แต่เราไปขอสาขาในมหาวิทยาลัย บอกเค้าว่าขอไปสมัครเรียน รอรับได้ทันทีเลย เย่!!!

3. ภาษาอังกฤษไม่เก่งจะเป็นไรมั้ย?

คำถามยอดฮิต หลังไมค์มาอย่างล้นหลาม ภาษาอังกฤษไม่เก่งไม่เป็นไรเลยค่ะ ในห้องเรียนใช้แต่ภาษาเกาหลี แต่นอกห้องเรียนก็อีกเรื่องนึงนะ 555 เอาเป็นว่าถ้าพอถามทางเวลาหลงได้ สั่งอาหารได้ ถือว่าพออยู่รอดในเกาหลีแล้ว เราจบเอกภาษาอังกฤษ แต่แทบไม่พูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนเลย บอกเพื่อนว่าคุยกับเราภาษาเกาหลีนะ เพื่อนก็โอเค จัดไป!

4. ต้องสอบวัดระดับเท่านั้นใช่มั้ยถึงจะเลือกกึบได้?

ใช่ค่ะ ถ้าไม่เคยเรียนที่สถาบันภาษาของซอกังมาก่อน ต้องสอบวัดระดับ ไม่งั้นจะได้เรียนระดับ 1 อย่างที่บอกไป ไม่ว่าจะเคยเรียนมาจากไหน นานแค่ไหน มาที่นี่ก็ต้องสอบค่ะ

5. ไปพักที่ไหนดี? ที่พักแพงมั้ย?

ขึ้นชื่อว่าเกาหลี จะบอกว่าไม่แพงก็คงโกหก แพงทั้งค่าที่อยู่และค่าครองชีพ ถ้ามีงบจำกัด ลองหาที่พักแบบโกชิวอน (고시원) หรือฮาซุกชิบ (하숙집) ดีขึ้นมาหน่อยก็วันรูม (원룸) ไปจนถึงออฟฟิศเทล (오피스텔)  ราคาแปรผันกับโลเคชั่นและไซส์ของห้อง ค่าเช่าที่พักควรเตรียมไว้ซัก 400,000-500,000 วอน/เดือน (12,000 – 15,000 บาท) มีทั้งต้องจ่ายค่ามัดจำและไม่ต้องจ่ายค่ามัดจำ ที่ไหนมัดจำถูก รายเดือนจะแพง และห้องไม่กว้างมาก มัดจำ (ถ้ามี) ก็อาจจะเริ่มต้นที่ 1 ล้านวอน (30,000 บาท) ไปจนถึง 10 ล้านวอน (300,000 บาท) เลยก็มี ! แต่เงินมัดจำเราจะได้คืนหลังจากที่หมดสัญญา ปัญหาคือ เราต้องออกตามระยะเวลาที่กำหนดและเรื่องเงินที่เราต้องสำรองจ่ายก่อนเยอะ ถ้ามีเงินก้อนก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าไม่มีก็อาจจะต้องแก้โดยการยอมจ่ายรายเดือนแพงโดยไม่มีมัดจำ หรือยอมนอนห้องที่แคบ หรือไปหาอยู่แชร์กับรูมเมทคนอื่น

6. ใช้เงินเยอะมั้ย?

ค่าใช้จ่ายตอนสมัคร ใช้ตามที่บอกไปในรีวิวเลยค่ะ 🙂 แต่ที่ไม่ได้เขียนรวมค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพราะมันค่อนข้างปัจเจก ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ถ้าจะให้ตีเฉพาะค่ากินอยู่จะได้ไปบอกผู้ปกครองได้ก็คงเดือนละ 2 หมื่นบาท ใครเที่ยวเก่งก็เตรียมเงินมาเยอะ ๆ เลย ถ้าบางมื้อเกิดอยากกินปูหรือปลาไหล เงินก็จะไหลออกปรื้ด ๆๆๆ เหมือนปลาเลยจ้า เอาเป็นว่ามนุษย์เรามีความสามารถในการปรับตัว ไม่ต้องกลัวค่ะ

7. โลเคชั่นม.ซอกัง การเดินทางสะดวกมั้ย? ร้านอาหารหาง่ายรึเปล่า?

โอ้ว ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ซอกังตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยยอนเซและอีฮวา สถานที่ฮอตฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูปกันบ่อย ๆ ดังนั้น ทุกอย่างกองอยู่แถวนี้เลยจ้า ร้านอาหาร ร้านเบียร์ ร้านหมูสามชั้น คาเฟ่ คาราโอเกะ ร้านเครื่องสำอาง ป้ายรถบัส สถานีรถไฟฟ้า (ชินชน Sinchon station) ฯลฯ เดินเท้าไปฮงแดยังไหว เริ่ด! แต่ในมหาวิทยาลัยซอกังนั้นเนินสูงเชียว ยิ่งวันไหนไปสายละต้องวิ่งนะ TT แม่จ๋า น่องปูด หอบหนักมาก

8. ได้เกียรติบัตรวันไหน?

ตอนแรกคิดว่าจะได้ขึ้นเวทีไปรับตอนพิธีปิด แต่ผิดค่ะ มีแค่นักเรียนกึบ 6 ที่ได้ขึ้นไปรับ ส่วนพวกเรากึบ 1 – 5 ต้องไปขอเกียรติบัตรเองที่ชั้น 7 หลังจากพิธีปิดวันสุดท้าย/ ส่วนตัวเราไม่ได้ไปเอา คิดว่าคงไม่ได้ใช้ แฮ่! – w-

9. บัญชีธนาคารจำเป็นต้องเปิดมั้ย? จะได้บัตรแบบไหน? สามารถทำ internet banking ได้มั้ย?

มาอยู่นานเป็นเดือนขนาดนี้แนะนำให้เปิดบัญชีค่ะ แล้วชีวิตจะสะดวกสบายขึ้นเยอะ เกาหลีใต้เป็นประเทศ cashless คนไม่ค่อยพกเงินสดกัน ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ค่าโดยสารอะไรก็รูดบัตรหมด เวลาไปกินข้าวกับเพื่อนจะหารสอง หารสามสี่ห้า หรือจ่ายไม่เท่ากันยังไงก็บอกเค้าเลย  จ่ายแยกด้วยบัตรได้ แต่มีเงินสดติดตัวไว้บ้างก็ดีค่ะ ร้านข้างทาง ตลาดสด หรือร้านเสื้อผ้าบางที่รับเฉพาะเงินสด มีเคสปลายปีที่แล้ว เกิดเหตุสัญญาณโทรศัพท์ KT ใช้การไม่ได้ ร้านค้าส่วนใหญ่ใช้เครื่องรูดบัตรไม่ได้ คนที่พกเฉพาะบัตรลำบากเลย [อ่าน]

ส่วนสมัครแล้วจะได้บัตรแบบไหนนั้น แล้วแต่ดุลยพินิจของคุณพี่พนักงาน บางคนอยู่ไม่ถึง 3 เดือนได้บัตรแบบนึง อยู่เกิน 3 เดือนได้อีกแบบนึง อยู่เกิน 6 เดือนได้อีกแบบนึง หรือไปสมัครวันเดียวกับเพื่อน ได้คนละบัตรก็มี = w=’’ ประกอบกับธนาคารมีการออกบัตรรุ่นใหม่อยู่เรื่อย ๆ ดังนั้น ถ้าจะให้ตอบว่าจะได้บัตรอะไรนั้นคงเป็นเรื่องยากค่ะ

หลังจากธนาคารนัดมารับบัตรแล้วจะให้เราโหลดแอพ Woori Global Banking ไว้ทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ด้วย แนะนำว่าให้จดไอดีกับรหัสดี ๆ เราลืมไปสองรอบแล้วจ้า ล่าสุดเข้าไม่ได้แล้วจ้า 55555555555 อยากใช้ใหม่คงต้องบินกลับเกาหลีไปธนาคารอีกรอบ

ได้บัตร(สีขาว)มาใช้ช่วงที่รอรับบัตรจริงด้วย ^^b

10. จะรู้ได้ยังไงว่าสถาบันตรวจสอบข้อมูลหรือเอกสารเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว

สถาบันจะส่งอีเมลมาบอก หรือในหน้า My Page สามารถกดเลือกไปขั้นตอนต่อไปได้

สมัครเรียนภาษา เกาหลี ม.ซอกัง เมลตอบกลับ

11. จำเป็นต้องใช้สูติบัตรในการสมัครเรียนไหม

ใบสูติบัตรอยู่ในหมวด additional document ค่ะ ซึ่งเอกสารที่สถาบันขอให้ผู้สมัครแต่ละคนส่งจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของประเทศนั้นๆ ต้องรอเค้าส่งอีเมล์มาบอกอีกที ถ้าในอีเมล์มีแสดงว่าจำเป็นค่ะ

12. จบภาษาจบแล้วแล้วสามารถทำงานต่อที่เกาหลีได้ไหม

จากข้อมูลปัจจุบัน (ปีพ.ศ.2563)​ ยังไม่มีสิทธิพิเศษเกี่ยวกับวีซ่าสำหรับผู้ที่เรียนภาษาโดยตรง หมายถึง เรียนภาษาที่เกาหลีจบแล้วไม่สามารถยื่นวีซ่าเพื่อที่จะขอทำงานต่อได้ทันทีค่ะ

ผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในมหาวิทยาลัยเกาหลีเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ขอยื่นวีซ่า D-10 (วีซ่าสำหรับการหางานในเกาหลี) ได้

แต่ในทางอ้อม หากเราเรียนภาษาจบแล้ว มีความรู้และทักษะภาษาเกาหลีที่เพียงพอก็อาจจะลองสอบวัดระดับความสามารถภาษาเกาหลี (TOPIK) ไว้เพื่อยื่นสมัครทำงานผ่านบริษัทที่สนใจในเกาหลีได้ค่ะ แต่ในกรณีนี้ก็จะมีข้อจำกัดอยู่ค่อนข้างเยอะ ต้องเป็นบริษัทที่มีขนาดกลางถึงใหญ่ที่ไม่มีข้อจำกัดในการว่าจ้างชาวต่างชาติเข้าไปทำงาน และตัวผู้สมัคร​ก็จะต้องมีประสบการณ์ทำงานในประเทศในสายที่เกี่ยวข้องกับงานที่จะทำในเกาหลีอย่างน้อย 5 ปี​ (1 ปี สำหรับผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญาตรีขึ้นไป และไม่จำกัดระยะเวลาทำงานสำหรับผู้ที่จบการศึกษาระดับป.โทขึ้นไป)

13. อยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทำยังไง?

  • ทิ้งข้อความไว้ด้านล่างนี้เลยค่ะ เผื่อคนอื่นมีคำถามเดียวกัน หรือ
  • ส่งข้อความมาที่ Facebook Fanpage Framekung.com หรือ
  • ส่งอีเมลสอบถามสถาบันโดยตรง [email protected]

เพื่อนๆ ที่เรียนภาษา

My Year in Review in 2018 : เรียนรู้กับความไม่แน่นอน

ภาพรวม 2018 ของผม คงเป็นเหมือนดั่งชื่อบล็อก ปีนี้มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เพื่อน, หน้าที่การงาน ขอแบ่งมาบันทึกไว้เตือนตัวเองในปีถัดๆไป

เพื่อน

ช่วงต้นปีต้องสูญเสียเพื่อนสนิทจากอุบัติเหตุ เป็นเพื่อนที่ได้รับทุนรัฐบาลเกาหลี และเดินทางมาเกาหลีพร้อมกันกับผมเมื่อ 6 ปีก่อน ใช้ชีวิตในเกาหลีจนจบและเริ่มต้นชีวิตการทำงาน ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี

แต่ในเช้าของวันหนึ่ง ผมก็ได้ทราบข่าวเพื่อนประสบอุบัติเหตุ ก็ใจหายเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว จำได้ว่าตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ มือก็สั่นไปหมด ได้ไปช่วยงาน ช่วยครอบครัวของเพื่อน พร้อมกับพี่ๆน้องๆที่อยู่ในเกาหลี

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เห็นความสามัคคีของทุกคนที่จัดการกับเหตุการณ์ทั้งหมด หลายอย่างที่ต้องใช้ความคิดตลอดเวลา ทำงานภายในความเครียด ความกังวล มีที่ต้องติดต่อทั้งตำรวจ ทั้งโรงพยาบาล ซึ่งก็ขอบคุณน้ำใจของเพื่อนๆ รุ่นพี่รุ่นน้องทุกคนที่ช่วยเหลือคนละเล็กละน้อยจนทุกอย่างผ่านพ้นไป และความไม่แน่นอนครั้งนี้ก็ได้ทำให้พวกเราเรียนรู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทแค่ไหน ควรดูแลตัวเองให้ดีขึ้น ควรมีการแลกข้อมูลที่ติดต่อได้กับที่บ้าน (ที่ไทย) ไว้กับเพื่อนสนิท เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ที่บ้านก็ควรต้องรู้จักใครสักคนที่นี่ด้วย และแน่นอน การมีเพื่อนสนิทในต่างแดน ทั้งคนไทยหรือคนต่างชาตินั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก

การงาน

เป็นเรื่องส่งท้ายปีที่รู้สึกทำให้ชีวิตไม่แน่นอนอีกครั้ง เมื่อบริษัทมีแผนปรับโครงสร้างพนักงานใหม่ มีการลดจำนวนพนักงาน เหมือนจะเข้าข่ายต้องออกจากบริษัท เลยค่อนข้างกังวล เตรียมหางานใหม่ เตรียมยื่นวีซ่าอยู่อาศัย เพราะวีซ่าทำงานที่ถืออยู่เดิม หากมีเหตุต้องได้ออกจากบริษัทจริงๆ เราจะต้องรีบหาที่ทำงานใหม่ภายใน 14 วัน ซึ่งเป็นไปได้ยากที่จะไปหางานใหม่ (ปกติหางานที่นี่กว่าจะยื่นสมัคร สัมภาษณ์ ใช้เวลาจริงก็ร่วมหลายเดือน) เลยตัดสินใจสมัครวีซ่าอยู่อาศัยทั้งๆที่ไม่มีความพร้อม กลัวโดนปฏิเสธเอกสาร (เอกสารบางอย่างดูเหมือนไม่ครบถ้วน) แต่ตอนนั้นคิดในใจว่า ไม่มีอะไรจะเสีย ยื่นอะไรได้ก็ยื่นไปก่อน ขาดเหลืออะไรก็ค่อยมาเพิ่มทีหลัง

คือต้องบอกว่าการไปตม. เพื่อทำธุระต่างๆในเกาหลีเป็นเรื่องที่ยุ่งยากหน่อยครับ สำหรับชาวต่างชาติ แต่สุดท้ายผลก็คือได้วีซ่าอยู่อาศัยมา และงานก็ยังคงได้ทำที่เดิมอยู่ต่อไป ดีใจปนเสียใจ เพราะต้องได้ร่ำลาเพื่อนร่วมงานหลายคน การทำงานเลยอาจจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง แต่ก็คิดว่าจะคุ้นชินกับมัน

ผมมีโปรเจ็คเล็กๆ ที่เริ่มประมาณกลางปี เป็นเว็บไซต์รีวิวการท่องเที่ยวเกาหลี จริงๆอยากทำเป็นวาไรตี้ รวมเรื่องราวจิปาถะเกี่ยวกับเกาหลีด้วย ชื่อว่า “จะไปเกาหลี” อยากสร้างคอนเทนต์แนวสร้างสรรค์ที่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ เอาประสบการณ์ด้านภาษาเกาหลีและการใช้ชีวิตที่นี่ เขียนรีวิวดีๆ บทความดีๆ ให้คนอ่านได้ติดตามกัน เลยตัดสินใจเปิดเว็บนี้ขึ้นมา ส่วนบล็อกเฟรมคุงนี้ ก็ยังคงเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไว้แชร์ความคิดของผมต่อไป … แอบเหลือเชื่อเหมือนกันว่า เว็บนี้อยู่มา 10 ปีแล้ว…

เว็บไซต์ รีวิว ท่องเที่ยวเกาหลี จะไปเกาหลี

ท่องเที่ยว

ปีนี้ได้กลับไทยไปทำเรื่องเกี่ยวกับเกณฑ์ทหาร ก็เป็นว่าเรียบร้อยผ่านพ้นไปด้วยดี ผมมีปัญหาเรื่องสายตาสั้น ก็กลับไทยไปตรวจสุขภาพและวันจริงก็ได้ไปยื่นสละสิทธิ์ผ่อนผัน และเข้าสู่กระบวนการปกติ

เกณฑ์ทหาร จังหวัดนครราชสีมา

มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดในเกาหลี 3 เมือง คือ พยองชาง (평창) ตามที่ได้รีวิวไว้ใน บล็อกตอน สักครั้งกับประสบการณ์ชมโอลิมปิก PyeongChang Olympic ปีที่ผ่านมาเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาว จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ ก็รู้สึกเหมือนอยู่ในประวัติสำคัญของบ้านเขาล่ะครับ ซื้อตั๋วเข้าไปดูกีฬา ซึ่งเพิ่งจะเคยเหมือนกัน

พยองชังโอลิมปิก
พยองชางโอลิมปิก ที่จัดที่เมือง พยองชาง (Pyeong Chang) เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561

ไปเที่ยวเมือง ชอนจู (전주) เคยไปเมื่อ 3 ปีก่อน ครั้งนี้มีโอกาสได้ไปพักในบ้านฮันอก และเดินสำรวจรอบเมือง ไปติดตามกันได้ในตอน [เที่ยวเกาหลี] ใส่ชุดฮันบกไปเที่ยวหมู่บ้านฮันอกที่ชอนจู (Jeonju) กัน! 

และเมือง ซุนชอน (순천) ซึ่งอยู่ตอนใต้ของเกาหลี เป็นเมืองที่สงบ อบอุ่น และธรรมชาติดีงามระดับห้าดาว

เที่ยวเมือง ซุนชอน (Suncheon-si)
เมืองซุนชอน (Suncheon-si)

ส่วนต่างประเทศ ถ้าไม่นับประเทศไทย ปีที่แล้วได้ไปชมซากุระที่ญี่ปุ่นแบบช่วงพีคสุดๆ ย่านคันไซ ช่วงที่ไปเป็นต้นเดือนเมษายน ซากุระเรียกว่าบานสะพรั่ง นั่งรถไฟฟ้าไปเส้นทางไหนก็จะเห็นต้นไม้เป็นสีชมพูทั่วเมืองไปหมด ฟินมาก แต่จำได้ว่าตั๋วตอนนั้นก็แพงมาก (ขนาดเกาหลีอยู่ใกล้ญี่ปุ่น) ไปติดตามกันได้ใน [เที่ยวญี่ปุ่น] ตามลายแทงซากุระ 4 วัน 4 เมืองย่าน Kansai (ตอนที่ 1) และ [เที่ยวญี่ปุ่น 2018] จุดชมซากุระสวยๆในเกียวโต (ตอนที่ 2)

เดือน พฤษภาคม ยังได้จัดทริปด่วนมา Workshop กับเพื่อนๆที่ทำงาน ในประเทศเวียดนาม เมืองดานัง (Danang) นอนโรงแรมริมทะเล ไปเมืองฮอยอัน (Hoi An) ฟินสุดๆก็ตรงที่เวียดนามเป็นเมืองที่ผลิตกาแฟส่งออก (ผมก็เป็นคนที่อินกับทุกอย่างที่เป็นกาแฟ) เลยได้อุปกรณ์ทำกาแฟ ชุดดริปและกาแฟมาอีกหลายห่อ

ถ่ายกับเพื่อนร่วมงานที่เมืองฮอยอัน

ไปเที่ยวพม่า 2 เมืองใหญ่ ย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ คิดไว้นานแล้วว่าจะต้องไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านสักครั้ง ปีนี้เลยตัดสินใจไปเที่ยวพม่าช่วงเดือนกันยายน ไปติดตามกันได้ในบล็อกตอน เที่ยวพม่าต่อไม่รอแล้วนะ เที่ยวพม่า 2 เมืองย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ | ตอนที่ 1และ เที่ยวพม่าต่อไม่รอแล้วนะ เที่ยวพม่า 2 เมืองย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ | ตอนที่ 2

เครือข่ายใหม่ๆ

ปีนี้มาช่วยเหลืองานให้กับ NIIED ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้ทุนเฟรม โดยทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆของทุน ติดต่อรุ่นพี่ ศิษย์เก่าที่ได้รับทุนรัฐบาลเกาหลีในปีก่อนๆ เลยมีโอกาสได้พูดคุย เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ หลายเรื่องที่เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับกิจกรรมของเครือข่ายทุนรัฐบาลเกาหลี รู้เส้นทางของรุ่นพี่แต่ละคนว่าส่วนใหญ่ไปประกอบอาชีพอะไร เลยทำให้รู้ว่าเครือข่ายนักเรียนทุนรัฐบาลเกาหลีมีอยู่ทั่วโลกและกว้างขวางมาก มีโอกาสได้สัมภาษณ์รุ่นพี่และได้แชร์เรื่องราวลงในบล็อกตอน พบ “อ.ออย กาญจนา” ศิษย์เก่าทุนรัฐบาลเกาหลีในงาน GKS Alumni Invitation Program

ช่วงปลายๆปี มีโอกาสมาบรรยายงานแนะแนวเส้นทางการทำงานต่อที่ประเทศเกาหลี ที่จัดโดยชุมชนนักเรียนไทยในเกาหลี ไปพูดคุย 30 นาที แชร์ประสบการณ์ให้กับรุ่นเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ที่มาฟังกัน วันนั้นทำให้รู้เลยว่ามีนักเรียนไทยที่มาศึกษาต่อในประเทศเกาหลีเยอะขึ้นเรื่อยๆทุกปี เนื้อการบรรยายสรุปคร่าวๆเอาไว้ในบล็อกตอน พบปะรุ่นพี่ทุนรัฐบาลเกาหลี ในงานแนะแนวทำงานต่อเกาหลี “จบแล้วไปไหน”?

และอีกงานที่รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ คือการได้มาเปิดประสบการณ์เป็นวิทยากรรับเชิญบรรยายในมหาวิทยาลัย หัวข้อที่บรรยายเป็นเรื่องเกี่ยวกับสื่อโซเชียล ว่าคนไทยมีพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลอย่างไร ทำคอนเทนต์ให้คนไทยต้องคำนึงเรื่องใดบ้าง ให้กับนักเรียนเกาหลีเอกภาษาไทย ที่ลงเรียนคลาสคอนเทนต์วัฒนธรรมไทย มหาวิทยาลัยฮันกุ๊ก (Hankuk University of Foreign Studies) โดยได้รับความไว้วางใจจากอ.เกวลิน อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยฮันกุ๊ก

ประเมินตัวเอง

ปี 2018 จำได้ว่าไม่ได้มาตั้ง resolution บอกตัวเองว่าจะทำอะไรในปี 2019 แต่ไปพิมพ์เอาไว้ตอนเดือนกุมภาพันธ์ ที่ครบรอบ 6 ปี ชีวิตที่เกาหลี แน่นอนว่าปีนี้ก็จะเข้าสู่ปีที่ 7 มีอะไรหลายเรื่องที่ได้ทำและไม่ได้ทำ

เป้าหมายออกกำลังกาย : สุดท้ายยิมคนเยอะมาก จัดตารางเวลา การกินก่อนออกกำลังกายไม่ได้ เลยจำเป็นต้องหยุดไปเพราะรู้สึกว่าไม่คุ้ม หลังจากไป PT ต้นปีก็พบว่าเรากล้ามเนื้อค่อนข้างเกร็ง ไม่ยืดหยุ่น พอไม่ได้ไปออกกำลังกายต่อ ก็จะอาศัยว่า stretching อยู่ที่บ้านไปก่อน และตั้งเป้าหมายดื่มน้ำให้เยอะขึ้น

เป้าหมายไม่ประมาทกับชีวิต : อันนี้ประคับประคองตัวเองมาดีตลอดทั้งปี จะลงจากรถไฟฟ้า ก้มหันไปมองที่นั่งว่าลืมอะไรหรือเปล่า ทำแบบนี้ตลอดจนเป็นนิสัย (หรือระแวงก็ไม่แน่ใจ) จะออกจากบ้านเช็คไฟ ปิดสวิตช์ กลัวเรื่องไฟฟ้าลัดวงจรอะไรพวกนี้เหมือนกัน หลังๆมีข่าวแบบนี้ที่เกาหลีบ่อย พวกนี้คือเป็นแพทเทิร์นในชีวิตไปแล้ว .. ปีนี้ก็จะต้องไม่มีเรื่องอะไรที่พลาดจากความประมาทของตัวเอง

เรื่องเรียนภาษาญี่ปุ่น : มีความชอบแต่ไม่ได้สานต่อความชอบให้มันเป็นรูปเป็นร่างเท่าที่ควร มันเลยอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จในการเรียนมากนัก ก็ยังคง hold ไว้ แต่ก็ดีใจที่ได้เริ่มต้น

เป้าหมายสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ : ออกมาจากคอมฟอร์ทโซนหลายเรื่อง ได้ลองไปเข้ายิม ได้ไปเจอคนใหม่ๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ก็ยังคงท้าทายอะไรใหม่ๆด้วยสิ่งใหม่ๆอีกในปีนี้ และหวังว่าจะมีโอกาสใหม่ๆเปิดรับเข้ามาอีกอยู่เสมอๆ

สิ่งที่อยากทำในปี 2019

  1. ปกติทุกปีจะตั้งเป้าหมายทำโปรเจ็คใหม่ๆไว้อยู่เสมอ คงหาโอกาสทำอะไรใหม่ๆ ที่อยากลองทำมานาน รวมถึงทำของเก่าให้ดีอย่างบล็อก หรือเว็บไซต์ท่องเที่ยวเกาหลี จะไปเกาหลี (JapaiKorea.com) ให้ดีขึ้นด้วย
  2. อยากลองเรียน หาประสบการณ์ใหม่ๆที่มากกว่าเรื่องวิชาการ มีความคิดอยากจะเรียนนวดแผนไทย ไปจนถึงบาริสต้า!
  3. อยากเจอผู้คนที่มีความชอบคนละแบบกับเรา มีความถนัดแตกต่างกับเรา เพื่อให้ได้แลกเปลี่ยนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ

 

หวังว่าปี 2019 จะเป็นปีที่เต็มไปด้วยความหวัง และทุกอย่างเป็นเรื่องหมูๆ ให้สอดคล้องกับปีหมู 2019 (๒๕๖๒) นี้ครับ 🙂