เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องรับวาเลนไทน์แต่อย่างใดครับ เพราะว่าตอนนี้ก็ไม่ได้มีอินลง อินเลิฟ อะไรกับ
เขาหรอกครับ (กลับมีแต่คนมองแปลกๆ….ตั้งแต่ใส่คอนแท็คเลนส์)
วันนี้เลยไม่พูดเรื่องความรัก แต่มาพูดเรื่องคอนแท็คเลนส์
จริงๆแล้ว อีกประมาณวันสองวัน ก็ครบรอบ 1 เดือนที่ผมใส่คอนแท็คเลนส์คู่นี้แล้วครับ ผมเองน่ะ
อยากจะบอกว่า ไม่อยากถอดมันเลย สาเหตุก็เพราะว่า ผมเริ่มมาใส่คอนแท็คตอนผมไปเกาหลีโน่น
คนที่ติดตามเรื่องของผมช่วงๆนั้น ก็รับไม่ได้กับหน้าของผมที่เปลี่ยนไป (บ่นกันมาเยอะมาก)
ผมกลับมาใส่คอนแท็คเลนส์ตอนช่วงไปเกาหลี ด้วยเหตุผลที่ว่าแว่นผมเริ่มมองไม่เห็นแล้ว และผม
เองก็กลัวจะมองไม่เห็นคนสอนตอนไปเกาหลี กลัวเรียนไม่รู้เรื่อง มองจอไม่ชัดครับ เลยตัดสินใจ
กลับมาพึ่งคอนแท็คเลนส์อีกครั้ง ผมเองไม่ได้ใส่ครั้งนี้ครั้งแรกครับ ผมใส่มาแล้วครั้งหนึ่ง และผมก็
ไม่ได้ติดใจอะไรเลย และก็ทิ้งไว้ไม่ใส่ ปัจจุบันก็ยังมีกล่องเก็บคอนแท็คไว้ให้สะเทือนใจอยู่ ด้วย
ความที่มัน “ใส่ยาก” และสัญชาตญานเราก็คือ เวลามีอะไรใกล้ๆตา มันจะหรี่ตาเองครับ ระยะแรกๆ
พวกใส่คอนแท็คนี่ ทำใจเลยล่ะว่า จะเอานิ้วที่มีคอนแท็คเลนส์อยู่ จะสวมเข้าไปครอบตรงตาดำ
ได้ยังไง ? (เออ นั่นน่ะสิ)
นอกเรื่องอีกแล้ว…
อยากจะสื่อในตอนนี้ก็คือ ไม่อยากถอดมากครับ เพราะความรู้สึกดีๆที่เรามองเห็นผ่านคอนแท็ค
เลนส์คู่นี้ มันมีเยอะแยะเหลือเกิน ประสบการณ์ต่างๆมากมายในชีวิต มันอยู่ในนี้ครับ ผมใส่มัน
ครั้งแรกที่เกาหลี จำได้เลยวันนั้นว่า ใช้เวลาแต่ละข้างนี่นานมาก หลังจากนั้นผมก็เริ่มชิน ผมเจอ
กับอากาศที่หนาวเย็น ภาพหิมะสวยๆ ผมมองเห็นผ่านคอนแท็คเลนส์คู่นี้ ความรู้สึกดีๆมันผ่าน
สายตามาตลอด 1 เดือนครับ โอ้ยย พูดไปเสียดายไป ไม่กล้าทิ้งครับ 😛
อีกเรื่อง คือเรื่อง โทรศัพท์มือถือ ของผมครับ
เพื่อนๆหลายคนถามผมว่า “มือถือนี่เก็บได้ที่ไหน” เพื่อนถามด้วยความสงสัย
ผมตอบกลับไปว่า “เฮ้ย ซื้อมาสิฟะ แต่มันนานมาแล้วเฉยๆ”
คือจะบอกว่า สองวันก่อน ผมตัดสินใจบอกแม่เรื่องไอโฟนครับ ว่าอยากได้ เพื่อที่จะเอาไปไว้ดู
วิดิโอเรียนๆทั้งหลายที่โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต PDF อะไรก็มีครบครันละ เหลือแต่ไม่มีเวลาดู
เวลารอรถเมล์ หรือ คาบว่าง หรือไม่ได้เรียน มีอีกมากมายที่เป็นเวลาเหลือครับ ก็คิดว่ามันน่า
จะเป็นทางเลือกที่ดี ถ้าจะมีคนบอกผมว่า “เวลาว่างก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านสิ” ผมเองก็คงตอบว่า
หนังสือมันไม่มีใครอธิบายครับ บางเรื่องอ่านเองไม่เข้าใจจริงๆ กับธรรมชาติคือ ที่นั่นอยู่ดีๆ ไม่มี
ใครอ่านหนังสือหรอกครับ ถ้าบรรยากาศมันไม่พาไป เพื่อนจะมองเราแปลกๆนะ (อันนี้บางคน
ก็ไม่คิดเรื่องนี้)
สรุปก็คือว่า ผลที่คุยกันวันนั้นมันไม่ผ่านครับ
แต่วันนี้ มือถือผม มันอาการแปลกๆตั้งแต่เช้าละ คือ ปุ่มเปิดมันกดยากขึ้นกว่าเดิม คืองี้ครับ
เมื่อหลายเดือนก่อน มือถือผมปุ่มมันหลุดหายไปครับ เปลี่ยนหน้ากากใหม่มันก็ไม่มีให้ คิดว่ามัน
ติดมากับเครื่อง ซึ่งถ้าจะไปหาก็ต้องหาที่ร้านขายโทรศัพท์ หรือรับซ่อมเลย
ผมก็จะใช้วิธีการเปิดเครื่องโดยใช้เล็บนิ้วโป้ง จิกไปให้แตะตรงปุ่มที่มันเป็นปุ่มแล้วเสียบเข้า
แผงวงจรมันอีกทีอะ (ดูจากรูป)
ภาพข้างบนนี้ ก็คือภาพข้างบนเครื่อง สังเกตว่าไอ้ปุ่มที่ว่าที่มันเป็นรูโบ๋ ตรงกลางนั้นหายไปแล้ว
คือมันคงเจ๊งไปแล้วอะครับ ผมไม่สามารถที่จะเปิดเครื่องได้ ตอนนี้ผมโชคดี รุ่นน้องมาทำให้มัน
เปิดเครื่องได้ จากการมั่วๆ แต่ทีนี้ถ้าผมจะใช้จริงๆ (ไม่อยากมั่ว) เนี่ย งานมันเข้าแล้วล่ะครับ
ก็คงต้องเปิดโทรศัพท์ 24 ชม.แก้ขัดไปก่อน ไม่อยากเอาไปซ่อม เพราะสภาพไม่คุ้มกับการซ่อม
แล้วครับ จะบอกเหตุผลนี้ให้แม่ฟังก็นะ
ลองนึกภาพเอาแล้วกันครับว่ามันจะเป็นยังไง …
ผมถึงบอกไงว่า เรื่องมันเกิดขึ้น…พร้อมๆกัน
แถมด้วย รูปโทรศัพท์มือถือของผมครับ (จะบอกว่าไม่เหมาะกับภาพ background ที่เป็น
keyboard ที่อยู่ข้างหลังเลย)
แต่มันลอกอย่างนี้ดีนะครับ มันทำให้ผมสามารถที่จะท่องตัวอักษร เรียงจาก ก-ฮ ได้ ว่าตัวอักษร
อะไรมาก่อนตัวอะไร (วันนี้สอบ O-NET เลยจำได้แม่น ทำข้อสอบได้) แต่ก็นะ เวลาจะคุยโทรศัพท์
ที ถ้าอยู่ที่สาธารณะก็ไม่อยากเอาออกมาเท่าไรเลยครับ
อะไรว้า … จบไม่ Happy Ending เลย
จะ Valentine แล้วนะเนี่ย พรุ่งนี้