สัปดาห์ที่แล้ว (21-26 กุมภาพันธ์) เฟรมคุงมีโอกาสพาคุณแม่และเพื่อนของคุณแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่นครับ ไปยังเมืองที่มั่นใจว่าจะไม่พาใครหลง(ง่ายๆ) อย่าง “โอซาก้า” เมืองที่ทำให้ผมได้เริ่มต้นเขียนรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก และยังเป็นเมืองที่ผมมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งทุกครั้งผมก็มักจะได้คำแนะนำการท่องเที่ยวจากเพื่อนคนนี้ล่ะครับ ไปเที่ยวกับคุณแม่รอบนี้พอมีเวลาแวะไปหาเพื่อน เลยเตรียมอะไรเล็กๆน้อยๆจากเมืองไทยไปฝาก
เพื่อนคนนี้ชื่อ ริโกะ ครับ ริโกะเป็นผู้หญิงห้าวๆตามฉบับคนโอซาก้า เคยพูดถึงตอนเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก กับ ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว เคยเรียนคลาสภาษาเกาหลีด้วยกัน มีสิ่งที่ชอบทำเหมือนกันคือ “การออกไปกินหมูย่างเกาหลี” จะว่าไปผมสนิทกับริโกะก็เพราะหมูย่างเกาหลีนี่ล่ะครับ
ริโกะมีโอกาสไปเที่ยวเมืองไทยเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมก็พบว่าริโกะชอบมะม่วง และส้มตำไทยบ้านเรามากๆ มาญี่ปุ่นรอบนี้ เลยตั้งใจว่าจะเซอร์ไพรส์อะไรริโกะสักเล็กน้อย
มาญี่ปุ่นรอบนี้ ผมไม่ได้มาแค่กับคุณแม่ครับ แต่มีโอกาสได้พาเพื่อนคุณแม่มาเที่ยวด้วย เลยได้ตัดสินใจจองห้องพักจาก Airbnb โดยผมก็ได้เลือกห้องที่มีครัวสำหรับประกอบอาหารและเพียงพอสำหรับการจัดปาร์ตี้เล็กๆ จริงๆผมมีนัดกับริโกะในวันรุ่งขึ้นครับ แต่เราก็อยากให้เซอร์ไพรส์เลยเรียกให้แวะมาที่ที่พักอย่างกระทันหัน ริโกะก็มาให้แบบงงๆ…

พาริโกะมานั่งโต๊ะอาหาร และนี่คือสิ่งที่ริโกะได้เห็น…
วัตถุดิบทำส้มตำ ยกมาจากไทย พร้อมกับ มือตำส้มตำที่งานนี้เพื่อนของคุณแม่
ขอโชว์ฝีมือ !!

ริโกะแฮปปี้กับส้มตำของเรามาก ไม่คิดว่าเราจะจัดเตรียมอุปกรณ์อะไรได้ครบ และได้รื้อฟื้นรสชาติของส้มตำชนิดว่าเหมือนกับที่ไทยเป๊ะๆ .. (การันตีจากผมคนชิมเอง 🙂 )
หลังจากที่ริโกะโดนบ่ายเบียงความสนใจจากส้มตำแล้ว เราก็มีอีกเซอร์ไพรส์อีกหนึ่งก๊อก เราบอกให้ริโกะไปเคลียร์โต๊ะ เพื่อกินส้มตำครับ บนโต๊ะมีผ้าอะไรวางเกะกะเต็มไปหมด เราเลยให้ริโกะปูผ้าดีๆ และ…
แท่ม แทมม… อีกหนึ่งก๊อกจากพวกเรา
เป็นรวมทุกผลิตภัณฑ์มะม่วงที่เราจะสรรหามาได้ครับ ตั้งแต่น้ำมะม่วงยันมะม่วงเคลือบช็อคโกแลต !! ริโกะนี่เรียกว่ายิ้มไม่หุบ ประหนึ่งว่าได้ รางวัลสุดยอดแฟนพันธุ์แท้มะม่วง กันเลยทีเดียว!
เซอร์ไพรส์ไกด์ท้องถิ่น …เรียกว่าพอให้หายคิดถึงเมืองไทยครับ
วันต่อมา…
วันนี้ล่ะครับ คือ วันที่เราจะต้องได้เดินทางจริงๆ ทางเราชาวคณะ ผมและคุณแม่ต่างก็ไม่รู้ว่าแผนของริโกะจะพาไปที่ไหนบ้าง ริโกะบอกแค่ว่าจะพาไปกิน แล้วก็พาไปช็อปเท่านั้นครับ…
เนื่องจากสมาชิกของเราทั้งกลุ่มมีกันอยู่ 5 คน ริโกะเองก็กลัวว่าพวกเราจะหลง จู่ๆก็เปิดกระเป๋าแล้วก็ควักไม้เซลฟี่ออกมา… ไอ่เราก็นึกว่าจะถ่ายรูป แต่ไม่ใช่…

ก่อนจะพาเราไปยังร้าน Marufuku ร้านกาแฟที่ริโกะบอกว่า เป็นร้านกาแฟเก่าแก่ เปิดมานานมาก มีกาแฟอร่อยๆ กับบรรยากาศที่ดูติ้สต์มาก


ตัวร้านตั้งอยู่ในใจกลางย่านเที่ยวเลยครับ สามารถเข้าไปดูพิกัดและเวลาทำการได้จากเว็บไซต์นี้
ชั่วโมงเรียนทำชา
เสร็จจากของว่างมื้อสายๆแล้ว เราก็ไปเดินเล่นรอเวลาอยู่สักพักครับ เพราะ 4 โมงเย็น เรามีนัดเรียนทำชา ซึ่งคุณแม่ของริโกะเป็นคนจองไว้ให้ เรามากันที่ร้าน Ujien Honten ร้านชาดังจากย่านอูจิ (Uji) ที่ตั้งอยู่ใจกลางตลาด Shinsaibashi ครับ
หน้าร้านมีไอศกรีมชาเขียวขายครับ ส่วนในร้านก็จะมีพื้นที่สำหรับนั่งดื่มชา ทานกับขนม ข้างในสุดคือส่วนที่สอนทำชาครับ พนักงานก็นำอุปกรณ์มาเสิร์ฟไว้บนโต๊ะแบบนี้คนละชุดเลย
ตามมาด้วยขนมที่ทานกับชาแบบนี้
จากนั้นก็เริ่มเรียนส่วนที่เป็น ชามัทฉะ (Matcha) กันครับ มัทฉะ ก็คือชาที่มีลักษณะเป็นผงๆครับ โดยจะต้องอาศัยอุปกรณ์เป็นแปรงชงชาที่ทำมาจากไม้ไผ่เรียกว่า “Chasen” ว่ากันว่า จำนวนของก้านยิ่งมากเท่าไรก็จะยิ่งแพงเท่านั้นครับ และแน่นอนว่าส่งผลต่อรสชาติของชาด้วย
ขั้นตอนแรกหลังจากต้มน้ำเดือดแล้ว เราจะมีการถ่ายเทความร้อนไปยังแก้วอีกใบก่อน เพื่อให้อุณหภูมิของน้ำลดลงอยู่ที่ประมาณ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการชงชามัทฉะ
ก่อนที่เราจะทำการตีครับ ใช้นิ้วสามนิ้วจับด้ามแปรง แล้ววาดเป็นตัว I ขึ้นๆลงๆ สลับกับ W และเป็นวงกลม O ระหว่างการตีของเรานี้ก็จะมีพี่พนักงานคอยดูให้อยู่ครับว่าเราทำถูกต้องหรือเปล่า
และในส่วนของการดื่มชา เราจะยกถ้วยขึ้นมาแล้วหมุนไปตามเข็มนาฬิกาสามครั้งครับ ก่อนจะดื่มให้เช็คว่าด้านที่เราดื่ม บริเวณนั้นที่แก้วมีลวดลาย เป็นลายเซ็นต์หรือสัญลักษณ์อะไรหรือเปล่า ที่ต้องเช็คก็เพราะว่า เราจะไม่ดื่มบริเวณที่เป็นลวดลายเพราะเชื่อว่าสมัยก่อนคนที่ปั้นแก้วสำหรับดื่มชาก็จะมีการลงลายเซ็นต์ หรือทำสัญลักษณ์ต่างๆเอาไว้ครับ การที่ไม่ดื่มบริเวณนั้นก็เหมือนกับเป็นการแสดงความเคารพนั่นเอง ส่วนการหมุนแก้วสามครั้งก็เพราะว่า สมัยก่อนเขาดื่มชาร่วมแก้วกันครับ การหมุนสามครั้งก็เหมือนกับเพื่อไม่ให้ไปชนรอยเดิมกันนั่นเอง เป็นมารยาทพื้นฐานเล็กๆน้อยๆของการดื่มชาครับ
อ้อ นอกจากมัทฉะแล้ว ก็ยังมีเซ็นฉะ (Sencha) และ โฮจิฉะ (Houjicha) ให้ชิมแบบไม่ต้องทำด้วยล่ะครับ เรียกว่ามาเรียนชงชานี้ก็ได้ลองชาหลายรส หลายรูปแบบกันเลยทีเดียว คุ้มๆๆ
มื้อค่ำ
ความจัดเต็มของครอบครัวริโกะยังไม่พอแค่นี้ครับ ผมเดินตามริโกะมาที่ๆหนึ่ง ที่ริโกะบอกว่าจะพามาทานมื้อค่ำ เดินเข้ามาในตึกๆหนึ่งที่ไม่รู้ชื่อ ขึ้นมายังชั้นที่สูงที่สุดของอาคารนี้ ชั้น 21 ครับ
ผมเองประมาณการณ์คร่าวๆว่าต้องเป็นร้านที่ค่อนข้างหรูพอควร ไม่งั้นไม่อยู่สูงขนาดนี้ เข้าไปก็ต้องอึ้ง !! กับความอลังการ และความสวยของการจัดร้านสไตล์ญี่ปุ่นแบบญี่ปุ่นจ๋าขนาดนี้ล่ะครับ


ก่อนที่ริโกะกับคุณแม่จะเริ่มทำงาน ช่วยกันอธิบายเมนูแต่ละเมนูอย่างขยันขันแข็ง แม่ริโกะพูดญี่ปุ่น ริโกะต้องพูดเกาหลีให้ผมฟัง และผมต้องพูดไทยต่อให้ที่บ้าน สนุกกันเลยสิครับคราวนี้ และที่ครอบครัวของริโกะพามากินวันนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็น “เต้าหู้” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์พิเศษของร้าน Umenohana เลยครับ (พนักงานแอบถามเราว่าเรามาจากประเทศอะไรกัน พอคุณแม่ริโกะบอกว่าประเทศไทยเท่านั้นแหละ! พนักงานกระซิบเลยว่า… มีสาขาที่กรุงเทพฯด้วยนะ 55 โอเค เอาเป็นว่าถ้าเราคิดถึงเราคงจะไปหากินแถวกรุงเทพฯละกัน…)
มาดูเมนูแรกที่พร้อมเสิร์ฟวางในถ้วยแก้วเล็กๆนี้ครับ เป็นผักดอง มาพร้อมกับฟองเต้าหู้ในน้ำซอส และอันที่หน้าตาเหมือนไข่เขาเรียกว่า Mineoka Tofu มีคำว่า Tofu แต่ไม่ใช่เต้าหู้ครับ ส่วนผสมหลักคือนม ครีม และแป้งท้าวยายม่อม อันนี้เด็ดครับ หอมหวานแบบครีมๆ เห็นว่าเป็นเมนูที่สมัยก่อนทำถวายพระนะครับ เมนูเก่าแก่พอสมควร
บนโต๊ะจะมีหม้อตั้งไฟรออยู่ครับ หม้อนี้เรียกว่า Yudofu ซึ่งมันเป็นเต้าหู้ต้มในน้ำแร่ ข้างในมีเป็นเต้าหู้ก้อนๆ ฟองเต้าหู้ น้ำซุปหอมหวาน รอจนน้ำเป็นสีขาวขุ่นได้ที่แล้วเราจะตักมาทานใส่ในชาม

ตามด้วยเมนูที่เสิร์ฟมาในถ้วยเล็กๆ… เป็นชุดๆ






ปิดท้ายด้วยของหวานมีไอศกรีมนมถั่วเหลือง ไอศกรีมชาเขียว (Sencha) ให้เลือกด้วยครับ จะบอกว่าก่อนจะปิดด้วยไอศกรีมก็มีเมนูยิบย่อย ทั้งข้าว ทั้งผัก เยอะไปหมดเลยครับ รวมๆแล้ว 15 รายการได้ ~!! น้ำตาจิไหล ในชีวิตไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสทานอาหารญี่ปุ่นแบบต้นตำรับฟูลคอร์สกันขนาดนี้ครับ
แน่นอนว่าเขียนบล็อกอยู่ตอนนี้ท้องก็ร้องดังมาก…
งานนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับครอบครัวของริโกะล่ะครับที่มีโอกาสพามาทานอะไรอร่อยๆ ก่อนจะบอกว่ามื้อนี้ “คุณพ่อฝากมาเลี้ยง คุณพ่อไม่ได้มาด้วย” .. โอ้โห.. อึ้งกันไปสิครับ
อิ่มและแฮปปี้ขนาดนี้ ก่อนกลับก็ขอสักรูปล่ะครับ

ทั้งหมดนี้ก็เรียกว่าเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับหมู่พวกเราแล้วครับ
ยังไม่พอไปส่งถึงที่พักอีก แถมวันสุดท้าย สัญญาว่าจะเอากระเป๋าของเราไปส่งให้ที่สนามบิน จะได้ไม่ต้องแบกพะรุงพะรัง จะได้ไปช็อปที่ outlet ต่อได้อย่างสบายๆ ดูบ้านนี้เขาวางแผนกันสิ…
สรุปว่างานนี้ไม่มีใครยอมใคร เห็นความเทคแคร์ของคุณญี่ปุ่นระดับนี้แล้ว ประทับใจจริงๆครับ
โอ้ยยยยย ริโกะ.. เซอร์ไพรส์แกมันเยอะเกินไปแล้วววว !!