# หมายเหตุ
ขอพูดถึงหน่วยงานนี้หน่อยนะครับ หลังจากที่อยู่เกาหลีได้สักพัก จึงทำให้รู้ความเป็นมาเป็นไป
ของหน่วยงานนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนที่เขียนไม่ทราบว่าหน่วยงานนี้จริงๆมีจุดประสงค์ หรือ
จุดมุ่งหมายอะไรหน่วยงานนี้ เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เค้าต้องการเรียกคน
ให้ไปทำกิจกรรมทางศาสนาต่อไป ผมแนะนำสำหรับคนไทยที่อาศัยอยู่ในเกาหลี ไม่ให้
ร่วมกิจกรรมหากไม่สนใจที่จะเข้าร่วมศาสนานี้นะครับ
อีกหนึ่งของความสนุกกับกิจกรรมหลังจากที่เฟรมสอบปิดภาคเรียนฤดูร้อน ภาษาเกาหลีเสร็จไป
เมื่อวานครับ ก็มีโอกาสได้มาเข้าร่วมกิจกรรมที่ได้รับคำเชิญจากทีมอาสาสมัคร ‘มันนาม’
(MANNAM Volunteer Association) ซึ่งเป็นหน่วยงานอาสาสมัครที่มีเครือข่ายระดับ
ใหญ่ของที่เกาหลีเลยทีเดียว เราจะมาดูกิจกรรมวันนี้ครับว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับ
“Mannam Cool Festival”
ผมไปรู้จักหน่วยงานนี้มาได้ยังไง
วันนึงขณะที่ผมก็เดินไปมาอยู่ในมหาลัยนั้น ก็มีคนเกาหลีกลุ่มนึงเลยครับ ชายหญิง เข้ามาพูดคุยด้วย
ถามนู่นถามนี่ ก็รู้สึก งงๆ และแปลกๆเหมือนกันครับ เพราะว่ามหาลัยนี้คนภายนอกชอบเข้ามา หลายๆ
วัตถุประสงค์ด้วยกัน เผยแพร่ศาสนาก็มี ทำให้ผมเองก็ไม่ค่อยชอบเข้าไปพูดคุยเท่าไร แต่พอคุยกับ
ทีมนี้ คุยไปคุยมา ก็ถึงรู้จัก โดยผมและเพื่อนผมก็มีโอกาสได้ทำความคุ้นเคยจากหน่วยงานนี้ จาก
หลากหลายกิจกรรมด้วยกัน ก็มีครั้งนึงครับ ที่เค้ามาจัดกิจกรรมแข่งฟุตบอลที่มหาวิทยาลัย….
และแน่นอนครับ ผมไม่ได้แข่ง 555 (อันนี้ค่อนข้างจะเป็นสัจธรรม เพราะไม่ถูกกับกีฬาที่เป็นลูกกลมๆ)
จึงได้เป็นฝ่ายกองเชียร์ ไปนั่งดู ขณะที่นั่งดู ทีมงานเค้าก็มาคุยเล่น เป็นกันเอง แล้วก็มีสอนวิธีการ
เรียนภาษาเกาหลีแบบเด็กๆด้วย เด็กๆในทีนี้ ก็หมายถึง การเรียนรู้ภาษาเกาหลีของเด็กเกาหลี ที่
จะชอบถาม ไม่ต้องเน้นอะไรมาก จำประโยคไปถามเลย
Mannam Cool Festival
วันนี้ผมเดินทางมาที่งาน ด้วยรถจากทีมงานที่มารับถึงหน้าหอเลยทีเดียวครับ ที่นี่ทุ่มเทเพื่อคนต่างชาติ
ได้เข้ามาทำกิจกรรมกับที่นี่มาก ซึ่งผมก็ยังหาเหตุผลไม่ได้อยู่ดีว่าทำไม … เดินทางไปยังสนามหญ้าของ
บริษัท KT&G ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ของงาน บริษัทนี้เป็นบริษัทบุหรี่รายใหญ่ของเกาหลีเลย (เพิ่งไปค้นมา)
ภายในงานเต็มไปด้วยหลากบูธ ประดับไปด้วยธงชาติ หลากหลายชาติกันเลยทีเดียว
ผู้คนในงานก็เต็มไปด้วยทีมงาน เป็นชาวอาสาสมัครเกาหลี อายุผมว่าก็น่าจะราวๆ 23 ปีขึ้นไป ถามว่า
ทำไมต้อง 23 เดี๋ยวผมจะอธิบายอีกที ฮ่าๆ… ปกติแล้วคนเกาหลี ในความคิดของเรา จะมีอัธยาศัยไม่ดี
เมื่อเจอคนแปลกหน้า โดยเฉพาะยิ่งคนต่างชาติ เค้าจะไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไร บางรายแสดงอาการออก
มาเลยก็มีแต่ที่นี่ ทุกคนอัธยาศัยดีมาก ผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ประเทศไทย (ผมกำลังจะบอกว่าคนไทย
อัธยาศัยดีทุกเวลา แต่ก็อดนึกไม่ได้ว่า ถ้าคนไทยต้องมาดูแลคนต่างชาติบ้างล่ะ คนไทยก็จะอีกแบบ
นึงเหมือนกัน)
ได้เสื้อมาตัวนึงด้วย… ที่น่าดีใจ มีธงประเทศไทยอยู่ในเสื้อด้วยครับ
กิจกรรมมีเท่ๆ คูลๆ สมชื่องาน ผมพามาดูกิจกรรมนึงก่อน ที่คลายร้อนได้ดีทีเดียวเลย ซึ่งผมก็ชอบวนไป
เล่นกับเพื่อนบ่อยๆมาก หลักการไม่มีอะไรมากครับ เค้าเอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ (นึกถึงน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆที่
ใส่ไปในถังน้ำตอนเล่นสงกรานต์) ไปวางบนแผ่นพลาสติก (ตามรูป) ขึ้นไปยืนแล้วก็ผลักกันครับ
อ้าวแล้วถ้าผลักกัน หัวฟาดพื้นทำไง…. เค้ามีกติกาว่า ก็ห้ามจับส่วนอื่นๆของร่างกายครับ ผลักได้
อย่างเดียว มือชนมือ แล้วมันไม่ต้องผลักกันเสมอไปครับเกมนี้ เราเอามือหลบจังหวะเพื่อนผลักมา เพื่อน
ก็มีสิทธิ์ล้มได้ (อันนี้ผมค้นพบตอนที่เล่นรอบแรก 555) ก็ลองไปเล่นๆกันดูนะครับ คลายร้อนได้ดีทีเดียว
เย็นเท้าสุดๆไปเลย แล้วก็ไปเล่นในสนามหญ้านะครับ
อีกกิจกรรมตรงนี้ก็สนุกดีครับ กิจกรรมนี้ทำให้ผมรู้ว่า ปืนสงกรานต์บ้านเราเนี่ย เกาหลีก็มีเหมือนกัน
แต่ถามว่าอิมพอร์ตมาจากบ้านเรามั้ย อันนี้ไม่ทราบครับ … เกมนี้ให้เราเป่ายิงฉุบกันครับ ถ้าคนไหนแพ้
ต้องรีบหยิบหม้อมากันคนที่เป่ายิงฉุบชนะ คนที่ชนะเค้าจะใช้ค้อนเด็กเล่น หรือไม่ก็ปืนฉีดน้ำยิงใส่ครับ
ถ้ากันได้ก็รอดไป ไม่ทันก็เปียกไป … ฝึกสมาธิดีจริงๆ
มาดูแนวของกินกันบ้าง… สำหรับหน้าร้อนนั้น ถ้าถามคนเกาหลีว่า อาหารยอดฮิตของหน้าร้อนคืออะไร?
หลายๆคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พัด ปิง ซุ” พัดปิงซุ (팥빙수) ชื่อเกาหลีซะขนาดนี้ จริงๆมันก็คือ
น้ำแข็งใส (สามพยางค์เหมือนกันซะด้วย) บ้านเรานี่ล่ะครับ ความแตกต่าง คงเป็นที่เครื่อง คือ ต้องเป็น
ถั่วแดง (มาจากคำว่าพัด แปลว่าถั่วแดง) กับเครื่องข้างในที่เห็นบ่อยๆ ก็จะเป็น ข้าวต๊อก (มันคือแป้ง
ข้าวเหนียว ที่ผมไม่คิดว่ามันจะถูกแปรรูปไปอยู่ในสารพัดอาหารของเกาหลีได้) คอนเฟลกต์ ผลไม้เช่น
สัปปะรด และนม ถ้าเกิดไปกินในร้านฟาสต์ฟู้ด หรือกาแฟ ก็อาจจะเห็นมันถูกแปรรูปใส่ไอติมไปด้วย
มีโอกาสก็ลองหาทานดูนะครับ สำหรับรสชาตินั้น ยังไงผมคิดถึงนมข้นหวานในน้ำแข็งใสบ้านเราครับ
(มันหอมอร่อยกว่าเยอะ)
เดินมาอีกบูธ เค้ากำลังตอก “ตังเม” กันอยู่ครับ อันนี้ก็ได้ไปลองตอกเหมือนกัน ก็จะเป็นแป้งเหนียวๆ
หน่อยอะนะครับ แล้วเค้าจะไปคลุกกับแป้งที่ทำมาจากถั่ว รสชาติหอมหวาน อร่อยได้ใจไปเลย~
เสร็จแล้ว เราไปดูอะไรที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนเกาหลีบ้างครับ มาที่บูธเพ้นท์เล็บกันบ้าง อย่าเพิ่ง
ตกใจว่าผมคิดยังไงไปทำเล็บ เค้ามีความเชื่ออยู่ครับ แล้วอุปกรณ์ วัตถุดิบเนี่ย เค้าใช้ใบกับดอกของ
ต้นพีช (ถ้าจำไม่ผิด) แล้วก็เอามาตำๆๆๆ แล้วเอาอันนั้นล่ะ มาห่อนิ้วแบบนี้ ทิ้งไปสัก 3-4 ชั่วโมง
สีนี้ก็จะติดอยู่ที่นิ้วเราอยู่หลายเดือนเลย เห็นเค้าว่า… (แต่ไอ่ที่เซ็งคือเพิ่งมารู้ทีหลังว่าอยู่อีกหลาย
เดือน แถมทำนิ้วชี้เห็นเด่นชัดซะด้วย) เค้ามีความเชื่อว่า ถ้าเกิดทำแล้วมันนานมากกว่าจะหายเนี่ย
แสดงว่าจะสมหวังในความรัก หรือโชคดีอะไรทำนองนั้นครับ
ถัดมาตรงนี้เป็นส่วนของพู่กันเกาหลีครับ (เกือบจะหลุดว่าพู่กันจีนไปซะละ) การเขียนตัวอักษรด้วย
พู่กันเนี่ย ก็ถือว่าเป็นการคลายเครียดอย่างนึงได้เลย แล้วก็เป็นการที่เราต้องใช้สมาธิ จดจ่อ เพื่อให้
น้ำหนักมันได้ สำหรับตัวอักษรภาษาเกาหลีนั้นก็โอเคครับ รวมไปถึงแต่ก่อนนั้น ก่อนที่ประเทศ
เกาหลีจะใช้อักษรเกาหลีนั้น ก็ใช้ภาษาจีนมาก่อน ทำให้รากทางภาษามาจากทางจีน ก็เลยจะมีตัว
ที่เค้าเรียกว่า ฮันจา ที่เป็นอักษรเหมือนอักษรจีนครับ เลยเข้าใจว่าเป็นที่มาของการเขียนพู่กันเกาหลี
เช่นนี้ และแน่นอน มันยากสำหรับเฟรมเหมือนกัน
ส่วนตรงนี้เป็นการสอนประดิษฐ์ลูกโป่งครับ แน่นอนผมกลัวทำมันแตก เลยทำได้ไม่ดีเท่าไร
รูปที่เห็นต่อไปนี้เป็นรูปผลงานที่ป้าแกช่วยผมหมดเลย T^T
ส่วนตรงนี้ที่เป็นของการพับกระดาษ อันนี้พอเข้าใจได้หน่อย นึกถึงประถมเลย พับนกตัวแบบนี้
จำได้ว่าต้องมีเป่าที่ตัวนกด้วย ให้มันพอง 555 แต่ก่อนจะทำ ก็เขียนคำอธิษฐานไปครับ ก่อน
ที่จะไปห้อยแบบนี้
และแล้วงานก็ดำเนินมาถึงช่วงเที่ยงครับ แน่นอน เราเริ่มหิวข้าวกันแล้ว ตรงลานหน้าเวทีนี้ มีกระทะ
ขนาดใหญ่ มีผักเรียงกัน เป็นโลโกของโครงการนี้ครับ สวยงามมากๆ แน่นอนครับ เรากำลังจะทำ
อาหารด้วยกัน อาหารที่ว่านี้ก็เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของเกาหลีเลย นั่นก็คือ “พิบิมปับ” ซึ่งมันเป็นข้าวยำ
เกาหลี โดยก็จะเอาผักกับข้าวและซอสพริกมาผสมกัน แล้วก็จะอาจจะประดับด้วยไข่ดาว เป็นอะไรที่
ผมก็ชอบทานเหมือนกันครับ วันนี้เราจะมาร่วมมือ ร่วมแรงกัน ช่วยกันคน พิบิมปับยักษ์นี้ ให้คนทั้ง
งานได้กินกันครับ
ตอนเย็น ก็ยังมีการแสดงมายากลสนุกๆ รวมไปถึงการเต้น Cover dance แน่นอนว่า เรามาถึงถิ่นครับ
และเพลงที่ไม่พ้น จะถูกนำมาให้ได้เต้นตามกันไปด้วยนั่นก็คือ “โอปป้า คังนัม สไตล์” ที่ฮิตยอดวิว
ทะลุ 30 ล้าน ณ เวลานี้ครับ
ก่อนที่พวกเราจะจากกัน ด้วยการโยนถุงทราย ไปบนกล่องที่เห็นนั่นครับ อารมณ์คือ ถ้ากล่องมัน
แตก ของข้างในมันจะทะลักออกมา เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการปิดงานครับ
งานจบลงไปด้วยดี ผมต้องขอบคุณทีมงานทุกคนที่นี่มาก (ถึงแม้ว่าผมจะเขียนเป็นภาษาไทย ใน
บล็อกนี้) สิ่งที่ผมได้รับ จากการบันทึกเรื่องราวในวันนี้ หนึ่งคงเป็นการทำงาน ที่เป็น “อาสาสมัคร”
ที่ทำงานเพื่อคนอื่นจริงๆ ผมจำได้ว่า เวลาที่ผมเดินอยู่ในงานคนเดียว จะมีพี่มาถามตลอดเลยว่า
ไปตรงนี้หรือยัง ตรงโน้นหรือยัง ไม่ได้ไป ก็พาไป แถมชวนคุยด้วย ทุกๆคนในทีมนี้ เป็นแบบนี้
หมดเลย ต้องไม่ลืมว่า พวกเราเป็นคนต่างชาติ สำหรับพวกเค้า ไม่ว่าเราจะหน้าแปลกขนาดไหน
มีจิตใจบริการแบบนี้ ผมนับถือจริงๆครับผม
นอกเหนือจากนี้ ก็คงเป็นการที่ได้เรียนรู้ วัฒนธรรมเกาหลีมาทีละนิดๆ ซึ่งของแบบนี้ อธิบายยาก
แต่อธิบายได้ ผมจึงพยายามที่จะนำเรื่องราวต่างๆในเกาหลี มาให้ได้อ่านกันอย่างต่อเนื่องครับ
อ่านแล้วสนุก ชื่นชอบตรงไหน ตอนไหนคอมเมนต์ได้นะครับ อยากจะมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้อ่านบ้าง
ว่ารู้สึกยังไงกับวัฒนธรรมเกาหลี หรืออยากจะรู้เรื่องไหน ลองสอบถามกันเข้ามาได้ มีโอกาสก็จะไปหา
คำตอบมาให้ได้ครับผม สำหรับบล็อกตอนนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ พบกันใหม่ตอนหน้า สวัสดีครับ 😀