ความฝันนึงหลังจากที่มีโอกาสได้ไปเรียนอยู่ต่างแดน รู้จักกับเพื่อนต่างชาติมากมาย สิ่งหนึ่งที่อยากทำ
คือการที่มีโอกาสได้กลับมาประเทศตัวเองอีกครั้งพร้อมกับเพื่อนๆ พาเค้ามาเยี่ยมบ้านชมเมืองไทยของเรา
ในเทอมที่แล้ว ผมลงวิชาเรียนนึงครับ ชื่อว่า Tutoring Program กับหนึ่งหน่วยกิตที่ผมจะต้องสอน วิชาอะไร
ก็ได้ แต่ต้องมีคนมาลงทะเบียนเรียน ซึ่งผมก็ลงวิชา ภาษาไทยไปขำๆครับ (วิชาที่จะสอน ผู้สอนต้องได้เกรด
A จากเทอมแรก หรือเป็นเจ้าของภาษา) จนแล้ววันนึง สถานะในที่ระบบลงทะเบียนก็บอกว่า มีคนมาสมัคร
เรียน ทำผมอึ้งไปสักพักนึงและอดลุ้นไม่ได้ว่า คนที่สมัครนี้คือใคร … จนถึงวันปฐมนิเทศที่เค้าจะให้ติวเตอร์
และติวตี้ ได้มาเจอกัน
วันนั้นทำให้ผมได้เจอกับพี่ โชเฮจิน (조혜진) อยู่ปี 4 คณะ Library information & Science ครับ เมื่อได้เจอกัน
คำถามแรกที่ผมอดถามไม่ได้ก็คือ “ทำไมถึงอยากเรียนภาษาไทย?” เค้าก็เล่าให้ฟังครับว่า เค้าไป Work and
travel ที่แคนาดามา ได้ไปเจอกับเพื่อนชาวไทยคนนึง สนิทกัน จนวันนึงเห็นเค้าคุยโทรศัพท์เป็นภาษาไทย
ฟังๆแล้วก็รู้สึก ‘ทึ่ง’ อยากพูดภาษาไทยได้บ้าง จึงเป็นที่มาในการลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาไทยกับผมครับ
ซึ่งในการเรียนการสอนผมก็ทำชีทสอนประกอบบ้าง พาไปกินอาหารไทยบ้าง (ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้ครับ อิอิ)
ผมทราบมาว่าเค้าชอบผัดไทยครับ เลยพาไปกินร้านอาหารไทยอยู่ระหว่างถนนมหาวิทยาลัยของผม กับ
มหาวิทยาลัยฮงอิกเค้าล่ำลือกันว่า ร้านนี้เชฟไทย บรรยากาศไทยๆด้วย เค้าก็สั่งผัดไทยครับ ผมก็เลย
ลองสั่งส้มตำไก่ย่างมาให้ลองกินด้วย ส้มตำไก่ย่าง ตีเป็นเงินไทยนี่ 800 กว่าบาทแน่ะ !! เค้าก็ชอบครับ
ผมเลยบอกเค้าว่า เนี่ย ถ้าไปที่ไทยนะ ราคาเท่านี้ กินผัดไทยได้เป็นสิบจานเลย !!
เค้าก็คิดหนักเลยสิครับทีนี้ …
วันสุดท้ายของการเรียน จะมีการนำเสนอกิจกรรม
ที่เรียนด้วยกันทั้งหมด ซึ่งเค้าก็ออกไปนำเสนอครับ ประโยคนึงที่เค้าพูดออกมาคือ เค้าชอบภาษาไทย
และตอนนี้ก็ได้ตัดสินใจ ซื้อตั๋วไปเที่ยวประเทศไทยช่วงเดือนสิงหาคม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
ทำคนสอนอึ้งเหมือนกัน และเมื่อผมมีโอกาสจะได้กลับไทยช่วงปิดเทอมเดือนสิงหาคมนี้ ก็เป็น
ช่วงเวลาที่ตรงกันพอดี ที่ผมจะมีโอกาสได้พาเค้าไปเที่ยวเมืองไทยครับ
งานนี้ไม่ใช่ผมคนเดียว ที่จะพาเค้าไปเที่ยวตลอดช่วงเวลาอาทิตย์กว่าๆนี้ แต่มีเพื่อนอีกคนนึง
ยังจำได้มั้ยครับ ที่เค้าบอกว่าไปเจอคนไทยที่แคนาดา เพื่อนเค้าคนนี้ชื่อ ‘ลูกหนู’ ครับ รุ่นเดียวกัน
กับเฟรมเลย ซึ่งลูกหนูกำลังเรียนป.ตรีอยู่ที่แคนาดา แล้วก็กลับมาบ้านช่วงปิดเทอม จึงทำให้ได้มา
เจอกันครับ เรื่องสถานที่ การเดินทาง ก็ต้องยกให้ลูกหนูและพี่ปุน พี่ของลูกหนูเป็นคนจัดการ
วันแรกเราไปกันที่ วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดารามครับ วัดนี้เป็นวัดที่ผมคิดว่าเป็นเอกลักษณ์
สวยงาม ปรากฏบนเหรียญบาทของเราด้วย เวลาที่เค้าได้มาเที่ยวแล้ว หากหยิบเหรียญบาทขึ้นมาดู
เค้าก็จะรู้สึกประทับใจ ว่าเค้าได้ไปที่นั่นมาแล้ว ค่าเข้าสำหรับชาวต่างชาติ (อัพเดตปี 2556) เป็น
500 บาทครับ คนไทยนั้นเข้าฟรี ดังนั้นผมบอกเลยครับว่า เป็นโอกาสที่ดีของคนไทย ที่ได้ชม
สิ่งสวยงาม สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนต่างชาตินี้
เดินเข้ามาอีกนิดหน่อย ก็จะเป็นส่วนบริเวณรอบๆพระบรมมหาราชวังครับ
ก่อนที่เราจะนั่งรถตุ๊กตุ๊ก ที่แน่นอนว่าที่เกาหลีไม่มีอะไรแบบนี้ เค้าก็ตื่นเต้นสิครับ ถ่ายแทบทุกช็อต ขณะตอนกำลังนั่ง
ก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายด้วย เรานั่งไปกินก๋วยเตี๋ยวแถวๆท่าพระจันทร์ครับ ตอนแรกว่าจะนั่งเรือข้ามไปอีกฝั่ง แต่ดันเป็น
ช่วงพัก รอไม่ไหวจึงเปลี่ยนแผนกันเล็กน้อยครับ
เราเดินทางมาต่อที่วัดโพธิ์ครับ แผนของเราก็อยากจะให้เฮจินได้เข้าไปดูความสวยงามของวัด ข้างในอุโบสถซึ่ง
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาส หรือพระนอนที่ใหญ่ และสวยงาม และมาถึงวัดโพธิ์ ที่เป็นขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่ง
ก็คือ การนวดแผนไทย แต่บังเอิญที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจซักเท่าไรครับ…
อ้อ ค่าเข้าชมวัดโพธิ์ สำหรับชาวต่างชาตินั้น อยู่ที่ 100 บาทครับ ค่านวดแผนไทย นวดทั้งตัว รู้สึกจะอยู่ที่
250 บาทต่อชั่วโมง สำหรับชาวต่างชาตินั้น 250 บาท ได้ครึ่งชม.ครับ
พอฝนตกเราก็ต้องเปลี่ยนแผน เข้าไปในอาคารกันครับ เราเลยตัดสินใจ ย้ายไปที่พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม
ซึ่งเป็นตึกกระทรวงพาณิชย์เก่า ภายในก็จะจัดแสดงเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทยครับ เนื่องจากเนื้อหา
มีสองภาษา จึงได้ตัดสินใจไปที่นั่น นั่งตุ๊กๆ ออกมาจากวัดโพธิ์นั้นก็ไม่ไกลมากครับ แล้วตอนที่ไปนั่น ไม่เก็บค่า
เข้าชมสำหรับคนต่างชาติด้วย ถือว่าดีมากๆเลยครับ
ที่นี่มีชุดสมัยก่อนให้แต่งเล่นด้วยครับ ซึ่งก็พอดีที่เค้าอยากลองแต่งชุดไทยถ่ายรูป
ก่อนที่เราจะแยกย้ายกลับไปเพราะอากาศไม่ค่อยอำนวยครับ วันพรุ่งนี้ เรามีแผนที่จะไปเที่ยว ช็อปปิ้ง
ที่ตลาดนัดจตุจักร แล้วก็จะเป็นวันสุดท้ายของผมในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะต้องกลับโคราช มาเตรียมของ
เพื่อกลับเกาหลีครับ ส่วนแผนของเฮจินนั้น จะไปเที่ยวต่อที่พัทยาและเกาะล้าน อยู่นานกว่าผมอีกหน่อย
ครับ
นับว่าเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่ากับการที่ได้กลับมาประเทศไทย และได้ทำความฝันฝันหนึ่งให้สำเร็จ ผมเองก็หวังว่า
จะมีโอกาสต่อๆไป กับเพื่อนต่างชาติอีกหลายๆคน และยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่อีก คนไทยในต่างแดนอีกคน
‘ลูกหนู’ และพี่ปุน ที่ดูแลเรื่องที่พักให้กับเฮจิน รวมไปถึงเรื่องการเดินทาง ความเป็นอยู่ตลอดที่อยู่ที่ไทยนี้ด้วย
คนไทยใจดีใช่มั้ยล่ะครับ 😀
ผมก็หวังว่าเค้าจะได้รับความทรงจำดีๆตลอดระยะเวลาที่อยู่เมืองไทยนี้ครับ เพื่อนเกาหลีที่ผมรู้จัก ไม่น้อยเลย
ที่รู้จักประเทศไทย และมีโอกาสได้มาประเทศไทย มีหลายสถานที่ (เรียกว่าเกือบจะทั้งหมดก็ว่าได้) ที่ได้มาเที่ยว
ไปพร้อมกับเฮจินนี้ ผมเองก็รู้สึกประทับใจและภูมิใจกับการเป็นคนไทยมาก อีกหนึ่งประสบการณ์ที่แสนประทับใจ
นี้ ก็ขอเก็บมาเล่าฝากคุณผู้อ่านทุกท่าน…
สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
เพิ่มเติม : เรื่องเล่าเกี่ยวกับคนเกาหลี
– มีคนเกาหลีส่วนนึงที่ไม่ชอบกินผักชีครับ แน่นอน เฮจินก็ไม่ชอบ เค้าบอกว่ามันเป็นผักชนิดนึงที่กลิ่น
มันค่อนข้างแรง และบางคนไม่ชอบถึงขนาดจำประโยคที่ว่า “ไม่ ใส่ ผัก ชี” ได้ !!
– คนเกาหลีชอบเที่ยวคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว อาจจะเป็นเพราะว่า บ้านเมืองเค้า การไปไหน
มาไหนค่อนข้างสะดวก รถไฟฟ้า รถไฟ รถไฟความเร็วสูงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง การเดินทางจึงไม่ลำบาก
– ร้านเหล้า ร้านเบียร์ ผับ เป็นสิ่งที่คนเกาหลีไม่น้อยถามหา มีคนเกาหลีส่วนนึงที่จะชอบสังสรรค์กับ
เพื่อนๆในวันหยุด ด้วยการไปกินเหล้าเกาหลี (โซจู) หรือ เบียร์ ตามผับ หรือร้านเหล้า ดังนั้น คนเกาหลี
(ที่ดื่ม) ก็จะดื่มจัดมากๆเลยล่ะครับ
– ถ้าพูดถึงประเทศไทย สถานที่คนเกาหลีส่วนใหญ่รู้จัก คงไม่พ้น กรุงเทพ (ภาษาเกาหลีเรียกว่า พังคก),
เชียงใหม่, พัทยา, เกาะช้าง, เกาะล้าน, ภูเก็ต ฯลฯ ครับ