Homeรีวิวเกาหลีเที่ยวเกาหลี ใส่ชุดฮันบกไปเที่ยวหมู่บ้านฮันอกที่ชอนจู (Jeonju) กัน!

[เที่ยวเกาหลี] ใส่ชุดฮันบกไปเที่ยวหมู่บ้านฮันอกที่ชอนจู (Jeonju) กัน!

วันนี้กลับมาในบล็อกท่องเที่ยว จะพาทุกคนไปสัมผัสเกาหลีในต่างจังหวัดกันบ้างครับ มีความคิดว่าจะไปผ่อนคลาย หนีความจำเจในกรุงโซล ไปเที่ยวต่างจังหวัดอยู่ตั้งนานแล้ว รอบนี้เลยลงมาทางตอนใต้ที่เมืองชอนจู หรือ จอนจู (อ่านตามการเขียนภาษาอังกฤษ – Jeonju) จังหวัดชอลลาบุกโด (Jeollabuk-do) ครับ

ถ้าพูดถึง ชอนจู สิ่งแรกที่คนเกาหลีส่วนใหญ่จะนึกถึงก็คือ “หมู่บ้านฮันอก” ครับ ฮันอก (Hanok/한옥) เป็นรูปแบบบ้านของคนเกาหลีในสมัยก่อน ลักษณะจะเป็นไม้ มุงหลังคาด้วยฟางบ้าง หินหรือกระเบื้องบ้าง มีโครงสร้างที่ให้ความร้อนและถ่ายเท รองรับกับทุกสภาพอากาศของเกาหลี ในช่วงหน้าหนาว คนเกาหลีสมัยก่อนจะก่อไฟจากห้องครัว แล้วถ่ายเทความร้อนมายังใต้พื้นดินที่เรียกว่า “โอนดล (온돌)” (ปัจจุบันก็มีการประยุกต์ใช้ระบบแก๊สทำความร้อนใต้พื้นดิน) เวลาเรานอนกับพื้นก็จะรู้สึกผ่อนคลาย และว่ากันว่าดีต่อสุขภาพอีกด้วย

Jeonju Hanok Villageที่โซลก็มีหมู่บ้านลักษณะนี้อยู่เหมือนกันครับ คือที่ บุกชอน (Bukchon) แต่เทียบกับสเกลกับของเมืองชอนจูแล้วก็เทียบไม่ได้เลย เพราะชอนจูใหญ่กว่ามากครับ หมู่บ้านบุกชอนเองภายหลังก็มีปัญหาหลังจากนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาแล้วส่งเสียงดัง ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง จนหลังๆนี้มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในนั้นออกมาประท้วงทุกอาทิตย์ไม่รับนักท่องเที่ยวเหมือนกัน แม้ว่ากรุงโซลเองจะปิดป้ายประกาศไม่ให้นักท่องเที่ยวส่งเสียงดังแล้วก็ตาม… ดังนั้นถ้าอยากจะลองมาสัมผัสกับบรรยากาศหมู่บ้านฮันอกแบบเต็มๆหน่อย ก็ลองแบ่งเวลาให้เมืองชอนจูดูสักวันครับ…

การเดินทางจากโซลไปเมืองชอนจู

จากโซลสามารถไปได้หลายวิธีด้วยกันครับ

Direction : How to get to Jeonju from Seoul

  • โดยรถไฟความเร็วสูง (KTX) : สามารถนั่งรถไฟจากสถานี Seoul station (34,600 วอน/1 ชั่วโมง 48 นาที) หรือจากสถานียงซาน (Yongsan station) (34,400 วอน/1 ชั่วโมง 33 นาที) ได้ โดยรอบรถไฟจากสถานี Yongsan จะเยอะกว่าครับ แนะนำให้ไปขึ้นที่ Yongsan โดยตั๋วรถไฟความเร็วสูง สามารถซื้อ-จองตั๋วผ่านเว็บไซต์ Korail หรือหาซื้อได้จากสถานี
  • โดยรถไฟปกติ : มีสองประเภทให้เลือกครับ คือ รถไฟมูคุงฮวา (Mugunghwa) ซึ่งจะเป็นรถไฟแบบเก่า, ITX เซมาอึล (ITX-Saemaul) รถไฟขบวนใหม่ขึ้นมาหน่อย ระยะเวลาเดินทางใกล้เคียงกันอยู่ที่ประมาณ 3 ชั่วโมง จากสถานี Yongsan สำหรับค่าโดยสารถ้านั่งรถไฟมูคุงฮวา จะอยู่ที่ 17,600 วอน ถูกกว่าแบบ ITX เซมาอึลที่จะราคาประมาณ 26,200 วอน/เที่ยว สามารถจองผ่านเว็บไซต์ Korail หรือซื้อที่สถานีก็ได้เช่นกัน
  • โดยรถบัส : สถานีรถบัสในเมืองชอนจูมี 2 ที่ด้วยกันครับ คือ Jeonju Express Bus Terminal และ Jeonju Intercity Bus Terminal จะเป็นคนละอาคารกันเลย แต่ก็อยู่ห่างกันไม่ไกลเท่าไหร่ รถจะไปจอดตรงไหน ขึ้นอยู่กับจุดที่เราขึ้นรถครับ หากนั่งรถจากโซลมาจากสถานี Central City รถจะไปจอดที่ Jeonju Express Bus Terminal หากนั่งรถจาก Seoul Nambu Bus Terminal จะไปลงที่ Intercity Bus Terminalค่าใช้จ่าย – ขึ้นอยู่กับประเภทของรถครับ รถบัสมีหลายแบบตั้งแต่ รถ 4 แถว, รถ 3 แถว (เก้าอี้ 2 ที่ติดกัน กับที่นั่งโดดมาอีกหนึ่งที่)และรถที่วิ่งรอบดึก ราคาจะแตกต่างกัน สำหรับรถบัสที่นั่ง 4 แถวจะอยู่ที่ 12,800 วอน/เที่ยว

ส่วนผมนั้น… คำนวนจากค่าใช้จ่ายและเรื่องเวลาแล้ว รอบนี้ขอเดินทางด้วยรถบัสครับ โดยผมนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ไปลงที่ สถานี Express Bus Terminal (สาย 3,7,9) ตาม ประตูทางออก 8 ไปยัง Honam Line (เนื่องจากสถานีค่อนข้างใหญ่ ติดกับห้าง ระวังสับสนกันด้วยครับแนะนำให้ตามป้ายมาเรื่อยๆ) จะผ่าน ห้างชินเซกเย (Shinsegae) ทะลุเข้ามาส่วนสถานีรถบัส ตรงนี้เรียกว่า Central City Terminal

สถานีรถบัส Central City Terminal บอกเลยว่า กว้างใหญ่ สะอาดครับ มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ล็อคเกอร์ฝากกระเป๋า ตู้ ATM และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

Central City Terminal Ticket Booth (Korea)
จุดจำหน่ายตั๋วโดยสาร สถานี Central City Terminal

เนื่องจากผมจองตั๋วมาจากที่บ้าน ผ่านเว็บไซต์ Kobus (ภาษาเกาหลี) ซึ่งเชื่อมต่อกับ แอพ 고속버스모바일 (ภาษาเกาหลี) เราสามารถนำตั๋วที่เป็น QR Code ไปสแกนตอนขึ้นรถได้ และหากไม่ได้ภาษาเกาหลีก็สามารถไปซื้อที่หน้าเคาน์เตอร์ได้ครับ บอกกับพนักงานขายตัวว่าเราจะเดินทางไป Jeonju เลือกเวลา และประเภทรถ ก็จะได้ตั๋วกระดาษที่เป็น QR Code ไปสแกนก่อนขึ้นรถ โดยจุดขึ้นรถก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ซื้อตั๋ว จะเป็นชานชาลายาวเลยครับ จุดขึ้นรถบัสไปชอนจูจะอยู่ชานชาลาหมายเลข 9

รถบัสจะมาถึงก่อนเวลาประมาณ 10~15 นาทีครับ เมื่อใกล้เวลาให้ออกมาดูรถบัส เช็คเวลาว่าตรงกับที่ขึ้นในหน้าจอหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ขึ้นรถ เอาตั๋วส่วนที่เป็นรหัส QR Code ไปสแกนที่เครื่องข้างคนขับ (หรือบางทีก็ยื่นตั๋วให้คนขับได้เลย) แล้วก็ไปนั่งตามหมายเลขบนตั๋วครับ มันจะทำการเช็คชื่อ! ไปแสดงบนจอว่าใครขึ้นรถแล้วบ้าง ต้องรออีกกี่คน ชอบตรงนี้มากเลย…

ผมนั่งรถออกจากโซล 10.35 น. รถออกตรงเวลาเป๊ะเลยครับ นั่งรถไปประมาณ 2 ชม.ครึ่ง รถจะแวะพัก 1 ครั้งที่จุดพักรถ โดยปกติแล้วที่จุดพักรถของเกาหลี จะเหมือนปั๊มน้ำมันใหญ่ๆบ้านเราที่เต็มไปด้วยของกิน มีของมาขายเยอะๆ ให้ได้เข้าไปพักกันเพลินๆ แต่ว่ารถบัสจะจอดให้เราพักแค่ 15 นาที สำหรับธุระส่วนตัวซึ่งเพียงพอแค่สำหรับเข้าห้องน้ำเท่านั้น ใครจะซื้อของอะไรอาจจะต้องรีบหน่อย ก่อนลงจากรถไปเข้าห้องน้ำก็ควร จำหมายเลขทะเบียนรถและพกตั๋วโดยสารไว้กับตัวด้วยครับเผื่อฉุกเฉิน เทคนิคอีกอย่างเวลานั่งรถนานๆ แนะนำให้ติดน้ำดื่มหรืออาหารเบาๆไปทานบนรถด้วยก็ดีครับ เผื่อหิว ตอนก่อนเดินทางหลายคนอาจจะไม่บ่นหิว แต่กว่าจะถึงปลายทาง ไปจนถึงหาร้านอาหารเจอ-สั่งอาหาร-รออาหาร มันจะทนไม่ไหวเสียก่อน!

จุดพักรถชองอาน (정안 휴게소)

พักเข้าห้องน้ำแล้ว กลับไปขึ้นรถ รัดเข็มขัดให้เรียบร้อย … แล้วเดินทางต่อไปอีกเกือบชม. รถก็มาจอดที่ Jeonju Express Bus Terminal ครับ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายมาตลอดทาง เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่เราจะต้องเจอในวันนี้

Arrival - Jeonju Express Bus Terminal
ภายในอาคารผู้โดยสาร สถานีรถบัส Jeonju Express Bus Terminal

ถึงชอนจูตอนเวลา 13.45 น. กำลังจะตามเส้นทางที่ปักหมุดไว้ ไปร้านอาหารร้านหนึ่งชื่อ “Sung mi dang (성미당)” ซึ่งขายข้าวยำเกาหลี พิบิมปับ ของดีขึ้นชื่อ เปิดมากว่า 50 ปี ทันทีที่กำลังจะออก ก็ได้โทรศัพท์จากเจ้าของที่พัก ว่าห้องเสร็จก่อนสามารถเข้าไปได้ตั้งแต่บ่าย 2 (ปกติบ่าย 3) เลยตอบไปว่าจะเข้าไปช่วงๆ 4 โมง พูดถึงที่พัก คืนนี้ผมจะมาลองค้างที่ชอนจูในบ้านฮันอกดูครับ เลยได้ทำการจองล่วงหน้ามาประมาณ 1 สัปดาห์ผ่านเว็บไซต์ NAVER ที่มีฟังก์ชันจองที่พัก เป็นครั้งแรกที่จองผ่านที่นี่ เลยต้องการจะทดสอบดูด้วยครับ (NAVER อารมณ์เหมือนมีบริการครอบจักรวาลอย่าง Google ในเกาหลี ส่วนใครที่อยู่ในเกาหลี อยากลองใช้ให้ลองค้นหาว่า “전주 한옥마을 숙소” ดูนะ)

ถามว่าเพื่อนๆถ้าอยากจะมานอนบ้านพักบ้านฮันอกบ้าง แต่พูดเกาหลีไม่เป็นก็ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะจริงๆแล้วในเว็บไซต์จองห้องพักอย่าง Booking หรือตาม Agoda ก็มีที่พักให้เลือกเช่นกัน แต่ตัวเลือกอาจจะน้อยกว่าหน่อย และอาจจะต้องจองล่วงหน้าพอสมควร

ผมเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 ของอาคารโดยสารครับ ตรงนี้จะเป็นจุดรอแท็กซี่

แต่เห็นแถวแท็กซี่ยาวเหยียด ท่ามกลางสายฝนแบบนี้ เลยเปลี่ยนแผนลองไปนั่งรถบัสดู เปิดแผนที่ดูก็บอกว่าต้องเดินไปที่ป้ายอีกประมาณ 15 นาทีครับ กว่าจะถึงป้ายรถบัสก็ฝ่าไปหลายแยกมาก ที่สำคัญคือฝนตกอีกต่างหาก! ไม่สะดวกเท่าไรครับ

หน้าตาป้ายรถ เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ไม่มีภาษาอังกฤษสักตัว!

ผมเดินประมาณ 15 นาทีจนมาถึงป้ายรถบัสครับ มีอยู่ 2 สายที่เราจะนั่งไปลงบริเวณในเมืองคือสาย 381, 385 ใกล้กับร้านซองมีดัง ร้านพิบิมปับชื่อดัง… สิ่งที่ผมค้นพบเกี่ยวกับรถบัสในต่างจังหวัดคือ

1. ไม่มีภาษาอังกฤษบนป้ายรถบัส แต่มีเสียงประกาศภาษาอังกฤษบนรถบัส
2. ระยะห่างระหว่างบัสค่อนข้างนาน พลาดทีก็ต้องรอประมาณ 15-30 นาทีได้

สรุป ถ้าจะให้ดีนั่งแท็กซี่ดีกว่าครับ ถ้าเกิดขึ้นรถบัสจากสถานีแล้วคนเยอะ ให้เดินออกมาหน่อยแล้วมาหาแท็กซี่น่าจะสะดวกกว่า

มาลงที่ป้าย Chunggyeongn Gaeksa (충경로 객사) ห่างประมาณ 4 ป้าย (20 นาที) เดินต่อมาหาร้านอีกประมาณ 3 นาที แต่ก็ต้องมาพบความจริง… นั่นก็คือ…

ร้านปิดปรับปรุงครับ !! แหม ไอ่ตอนเสิร์ชก็ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับร้านบอกเราเลยสักคำ (โมโหมากก) บอกแต่ว่าอร่อยต้องมาโดน โดนเลยครับทีนี้… เลยเปลี่ยนเป้าหมายตรงไปที่พักก่อนแทน ซึ่งจากบริเวณนั้นสามารถเดินไปแถวๆที่พักได้ ไม่ไกลมาก

ก็เดินมาเจอกับร้านที่ขายพิบิมปับอีกร้าน อยู่ใกล้ๆกับทางไปที่พัก ร้านนี้เขาก็การันตีด้วยปีที่ก่อตั้งว่า Since 1970 คำนวณในหัวก็พบว่าร้านนี้ก็ 48 ปี !! เอาวะ !! ถึงเวลาแล้วล่ะ!

เมนู พีบิมปับ หรือ บิบิมปับ (Bibimpap) ที่นี่ราคาชามละ 10,000 วอนครับ ก็ถือเป็นราคาอาหารระดับภัตตาคาร มาพร้อมกับเครื่องเคียงเป็นผัก เป็นบุก กิมจิ ซุป ประมาณ 7-8 อย่าง เสิร์ฟในถ้วยร้อนๆ

ร้านจงโนฮเวกวาน (Jongno Hoegwan 종로회관)
พิกัด: [Google Maps] [Naver Map]
เวลาทำการ : 09:30 – 21:30น. ทุกวัน เว้นวันหยุด

เครื่องเคียง
ชอนจู พิบิมปับ ต้นตำรับ (Jeonju Bibimpap)

พูดถึงรสชาติ บอกเลยว่าอร่อยจริงๆครับ เคยกินในโซลก็รู้สึกว่าข้าวแข็งไปบ้าง ผักไม่สดบ้าง อันนี้ตอบโจทย์ จริงๆอร่อยตั้งแต่เครื่องเคียงแล้ว เพราะเครื่องเคียงที่เป็นผักก็สด และอีกอย่างรสชาติค่อนข้างเข้มข้น ไม่ได้โปรดปรานเมนูผักเป็นพิเศษแต่พอมากินที่นี่แล้วชอบเลย

เดินฝ่าสายฝนรีบเดินเข้าไปที่ที่พัก ระหว่างทางก็เห็นคนเดินใส่ชุดฮันบก จัดเต็ม แม้ว่าฝนจะตกก็ยังคงเดินกางร่ม ถ่ายรูปกันเรื่อยๆ

เดินเรื่อยๆจนมาถึงที่พักครับ ที่พักผมเลือกอยู่ในโซนหมู่บ้านฮันอกเลย กล่าวคือ แถวนี้เต็มไปด้วยบ้านฮันอกที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถมาค้างคืนได้ครับ ออกมาเดินไม่กี่ก้าวก็อยู่ในจุดท่องเที่ยว หาของกิน ถ่ายรูปได้ไม่ยาก ที่พักชื่อภาษาไทยจะไม่สุภาพเท่าไหร่ ภาษาเกาหลีอ่านว่า ‘อีดำ (이담)’ ครับ ตกคืนละ 70,000 วอน สำหรับห้องขนาดเล็ก ราคาส่วนใหญ่ก็จะเริ่มต้นราวๆนี้ครับ บางที่อาจจะมีบริการชุดฮันบก หรือว่าอาหารเช้าด้วย ก็แล้วแต่ราคา

เจ้าของบ้านออกมาเปิดประตู พร้อมกับตกใจที่ผมพูดภาษาเกาหลี ตอนติดต่อไปทางโทรศัพท์ก็เห็นอยู่ว่าชื่อเป็นคนต่างชาติ ก็หวั่นๆใจอยู่ เพราะเจ้าตัวบอกเองเลยว่าผมพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เจ้าของบ้านใจดีมากครับ แนะนำส่วนต่างๆของบ้าน อุปกรณ์ต่างๆ, การใช้เครื่องทำน้ำอุ่น, WIFI ฯลฯ  ลักษณะของบ้านฮันอกนี้ ต้องทำใจเลยครับเรื่องของเสียงที่อาจจะรบกวน เพราะลักษณะบ้านที่ให้เช่า ส่วนใหญ่ก็คือแบ่งห้องในบ้านหนึ่งหลัง เป็นห้องๆให้เช่า ก็จะมีห้องที่สามารถใช้ส่วนร่วมได้ อย่างเช่นห้องครัว ห้องนั่งเล่น (อารมณ์เหมือนเกสต์เฮาส์)

ห้องนั่งเล่น

พื้นที่ส่วนกลางนี้ เจ้าของห้องก็บอกว่าใช้ได้ล่ะครับ แต่ก็อาจจะไม่ได้สะดวกเต็มที่ เพราะก็จะมีอีก 3-4 ครอบครัวที่อยู่ห้องอื่นๆ แล้วบอกเลยว่าห้องไม่เก็บเสียง ใครที่ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กแล้วนอนไม่ค่อยหลับนี่ ต้องพิจารณา อ่านรีวิวกันให้ดีๆ สำหรับผมสบายมาก ที่นี่ถือว่าโอเคเลย

ภายในห้องพัก

เราอาจจะไม่ค่อยเห็นโรงแรมหรือที่พักในบ้านเราปูพื้นให้นอนเท่าไหร่ แต่ลักษณะของฮันอกที่เล่าให้ฟัง จำกันได้หรือเปล่าว่าบ้านฮันอกมีระบบทำความร้อนใต้พื้นดิน ต้องเอาผ้ามาปูแบบนี้ถึงจะรู้สึกอุ่นนั่นเอง (ในวันที่อากาศหนาวเขาก็จะเปิดให้ครับ) ส่วนอากาศร้อนในห้องมีแอร์ ห้องน้ำมีแชมพู ครีมนวดผม สบู่ ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ครบเหมือนกับโรงแรมดีๆเลย

ตกดึก ผมออกไปสำรวจบรรยากาศรอบนอกอีกครั้งครับ ท่ามกลางสายฝน ฝนคงยังไม่หยุดตกและตกหนักขึ้นเรื่อยๆ (กลัวไม่คุ้ม) จากที่พักเดินออกไปหาของกินก็ไม่ไกลครับ มาเจอกับร้านที่ตอนเช้าเห็นคนต่อแถวกันเยอะมาก แต่ตกดึกแทบจะไม่มีแถวเลย นั่นก็คือร้าน ทาอูรัง (Daulang – 다우랑) เป็นร้านขายขนมจีบ ซาลาเปา (คนไทยอาจจะบอกว่าธรรมดามาก… – -) แต่เมนูนี้ไม่ได้หากินง่ายๆที่เกาหลีเลย มีขนมจีบกุ้งที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของร้านนี้ครับ สามารถซื้อแล้วนั่งทานได้เหมือนกัน รสชาติดีนะ แต่เสียดายไม่มีน้ำจิ้มแบบบ้านเรา…

ร้านทาอูรัง (Daulang – 다우랑)
พิกัด : [Google Maps] [Naver Map]
เวลาทำการ : ทุกวัน 11:00 – 21:00

Daulang - 다우랑 전주
ขนมจีบกุ้ง ชิ้นละ 2,000 วอน มีเมนูเกี๊ยว ซาลาเปา และลูกชิ้นต่างๆ

เดินออกมา ก็มาเจอร้านขายของกินเล่น อยู่ติดกันเลยครับ เป็นร้านขายขนมปัง มีเป็นขนมปังไส้ครีมเรียก โทเกบีปัง ข 도깨비빵 (ไม่มีรูปเพราะกินหมดก่อน อร่อยมากกก) และไฮไลท์อีกอย่างของขนมหวานคือ “ช็อคโกพาย” ครับ มีหลายเจ้าที่ขายช็อคโกพายในชอนจู จุดเด่นคือ จะชิ้นใหญ่ แป้งหอม ครีมนุ่ม (ตกชิ้นละประมาณ 1,200 วอน) ก็ไปหาลองชิมกันได้ ร้านขนมปังอันนี้ขึ้นชื่ออยู่นะ

ร้านขนมปัง ฮันซึบึเรดึ (ฮันส์ เบรด) – 한스브레드
พิกัด :[Google Maps] [Naver Map]
เวลาทำการ : 09:00-23:00 น.

Day 2 เที่ยวรอบหมู่บ้าน

แผนของวันที่สอง เช้านี้ต้องเตรียมเช็คเอาท์เวลา 11.00 น. ครับ (ถือว่าเช้ามาก ปกติโรงแรมประมาณเที่ยงถึงบ่าย) เช้านี้เลยเดินจากที่พักมาที่ จุดชมวิวโอมกเด (Omokdae – 오목대) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก เป็นเนินเล็กๆที่สามารถขึ้นไปดูวิวเมืองชอนจูสวยๆได้

จุดที่ขึ้นไปชมเนินโอมกแด จะเห็นป้ายทางเข้าหมู่บ้านแบบนี้
ศาลานี้แหละที่เรียกว่า Omokdae ว่ากันว่าเป็นสถานที่เฉลิมฉลองชัยชนะสงครามกับญี่ปุ่นของกษัตริย์แทโจ – กษัตริย์พระองค์แรกในสมัยราชวงศ์โจซอน

สังเกตหาบันไดและป้ายแบบนี้ครับ พอเข้ามาแล้วเราจะเห็นถนนเล็กๆ ที่เราสามารถเดินเข้าไปดูวิวสวยๆของทั่วทั้งหมู่บ้าน

แผนตอนแรกก่อนจะขึ้นมาจุดชมวิว ตั้งใจว่าจะเช่าชุดแล้วขึ้นมาครับ แต่ปรากฏว่าร้านต่างๆเริ่มเปิดราวๆ 10 โมงเช้า พอจวนจะได้เวลาก็รีบลงไป ตามหาเช่าชุดถ่ายรูปเจ๋งๆกัน และผมก็มาเจอร้านนี้ครับ เป็นร้านที่เปิดให้เช่าชุดนักเรียนเกาหลีสมัยก่อน แบบครบวงจร!

ร้านเช่าชุดนักเรียนเกาหลี โกลมกเดจัง (골목대장)
พิกัด : [Google Maps] [Naver map]
เวลาทำการ : 10:00-19:00

ตามพิกัดมาเรื่อยๆ ร้านจะอยู่ในซอยเล็กๆ เป็นร้านชุดนักเรียนครบวงจรก็เพราะว่ามีชุดนักเรียนให้เลือกอย่างเดียว! มีให้เลือกหลายแบบ หลากไซส์ พร้อมกับเครื่องประดับอย่างหมวก กระเป๋า รองเท้า พรอพครบมาก

เช่าชุดนักเรียนเกาหลี 골목대장

เข้าไปถึงร้านก็สามารถเลือกหาขนาดที่ต้องการได้เลยครับ ผู้หญิงจะมีเสื้อ 2 แบบ เป็นเสื้อดำเรียบๆ (5,000 วอน/ชั่วโมง) และเสื้อเซเลอร์มูน (7,000 วอน/ชั่วโมง) ส่วนผู้ชายจะมีแบบเดียวครับ (5,000 วอน/ชั่วโมง) ผู้หญิงสามารถเดินเลือกหาไซส์กระโปรงได้เอง ส่วนผู้ชายก็สามารถบอกไซส์ที่ต้องการได้เลย เมื่อเลือกได้แล้ว เราก็ไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า นำเสื้อผ้าเราไปฝากไว้ในตู้ล็อคเกอร์ได้ (ต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น ถ้าจ่ายด้วยบัตรจะเสียค่าล็อคเกอร์) จากนั้นก็เขียนชื่อ เบอร์ติดต่อ อุปกรณ์ที่เช่าเอาไว้ และทำการชำระเงินครับ

เครื่องประดับ ก็จะมีป้ายแท็กเป็นข้อความภาษาเกาหลี ติดกับแขนเสื้อ (หัวหน้าห้อง, เด็กไม่มีใครคบ ฯลฯ อันนี้ 1,000 วอน), รองเท้าผ้าใบ 2,000 วอน, หมวก 2,000 วอน)

เสร็จแล้วเราก็ใส่ไปเดินเล่น ถ่ายรูปกันได้อย่างจุใจ… ทั่วทั้งหมู่บ้าน

แวะกลับมาที่พัก มาเคลียร์กระเป๋าในห้องแล้วฝากเอาไว้ เนื่องจากเราจะไม่แบกกระเป๋าเที่ยวแน่นอน

ต้องบอกว่าชุดนักเรียนนี้ เด่นสะดุดตาจริงๆครับ อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะแต่งชุดฮันบกกัน ถือว่าเป็นคอนเซ็ปต์แปลกใหม่ ใส่ง่ายอีกต่างหาก

เดินถ่ายรูปกันอย่างรวดเร็วครับ ภายใน 1 ชั่วโมง นำชุดนักเรียนไปคืน เสร็จจากตรงนี้เราไปหาชุดฮันบกใส่กันต่อครับ

พูดถึงร้านให้เช่าฮันบกในเมืองชอนจูนี้ มีอยู่ด้วยกันหลายร้าน เต็มไปหมดครับ บางร้านมีบริการถ่ายรูปขาวดำ มีเครื่องประดับต่างๆพร้อมเลย ก็แล้วแต่ว่ามองเห็นชุดร้านไหนแล้วชอบก็ไปเลือกหาได้ ส่วนมากราคาไม่ห่างกันมาก อยู่ที่ชั่วโมงละ 10,000 วอน

ผมเดินมาเจอชุดของร้าน “นาบีรังฮันบก (나비랑한복)” ดูมีตัวเลือกเยอะดีครับ เข้ามาก็มีคุณป้าแนะนำให้อย่างดี ผู้ชายจะมีเสื้อชั้นใน กางเกง และเสื้อคลุม ก็จะได้เข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า กางเกงผู้ชายดึงขึ้นมาให้สุด ผูกเชือกมาทางด้านหลัง แล้วใส่เสื้อใน และเสื้อคลุมตาม สำเร็จรูปง่ายๆแบบนี้เลย ของผู้หญิงก็อาจจะมีอุปกรณ์เสริม ทำผม อันนี้ก็แล้วแต่ครับ ร้านนี้ถ้าจ่ายเงินสดก็จะสามารถแลกเป็นเครื่องประดับได้ 1 ชิ้น และสำหรับผู้หญิงถ้าเกิดเช่า 2 ชั่วโมง (10,000 x 2 ชม. = 20,000 วอน) เห็นว่ามีทำผมให้ฟรีด้วยครับ!

ร้านเช่าชุดฮันบก นาบีรังฮันบก (나비랑한복)
พิกัด : [Google Maps] [Naver Map]
เวลาทำการ : 09:00~20:00 น. ไม่มีวันหยุด

จุดแรกที่ไปคือบริเวน ศาลเจ้าคยองกีจอน (Gyeonggijeon Shrine, 경기전) ตรงนี้จะเป็นคล้ายๆกับปราสาทเล็กๆ ที่คนเกาหลีใส่ชุดฮันบกเข้าไปถ่ายรูปเยอะมาก ความสำคัญคือที่นี่เป็นที่เก็บรูปวาดของพระเจ้าแทโจ กษัตริย์พระองค์แรกในสมัยราชวงศ์โจซอน ไฮไลท์อาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่โลเคชั่นเหมาะกับการถ่ายรูปครับ สามารถซื้อตั๋วได้ที่ทางเข้า ตั๋วราคา 3,000 วอน

ทางเข้า

อาคารก็จะเป็นอาคารหลังเล็กๆ ให้อารมณ์เหมือนวังจำลองมาอีกที แตกต่างจากที่วังอื่นๆในโซล จะใหญ่มาก

ภาพวาดของพระเจ้าแทโจ ที่มีการเก็บรักษาไว้อย่างยาวนาน

เลยใส่ชุดฮันบกมาหากาแฟดื่มแถวๆวังเล็ก มาเจอร้านกาแฟ Mango Six Cafe แม้ว่าร้านนี้จะมีสาขาในโซล แต่ด้วยความที่สามารถนั่งชิวและเห็นวิวโดยรอบได้ เลยมานั่งพักดื่มกาแฟที่นี่

ก่อนเวลาเช่าฮันบกจะหมดเวลา เดินต่อไปอีกนิดจะเป็นที่ตั้งของ โบสถ์ชอนดง (Jeondong Catholic Cathedral) เป็นโบสถ์คาทอลิกที่สวยงาม ยิ่งใหญ่ เด่นมากๆ

ภายในตัวโบสถ์ครับ เนื่องจากว่าไม่สามารถเข้าไปได้ หากไม่ได้ไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนาจึงสามารถถ่ายได้เฉพาะจากข้างหน้า แต่ตรงนี้ก็สวยมากและมีนักท่องเที่ยวแห่เข้ามาถ่ายรูปกันเต็ม

ได้เวลาคืนชุดพอดี ก็กลับไปคืนชุด แล้วก็มาหาทานข้าวก่อนที่จะกลับไปที่พักเพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้ และนั่งแท็กซี่ไปที่สถานีรถบัสครับ จากบริเวณทางเข้าหน้าหมู่บ้านไปสถานีรถบัสชอนจู ใช้เวลาประมาณ 15 นาที (5,000 วอน)

เดินทางกลับถึงโซลโดยสวัสดิภาพ สามารถนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 3,7,9 เข้าเมืองต่อได้ทันที

หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการมาสัมผัสประสบการณ์เกาหลีในต่างจังหวัดกันดูนะครับ ชอนจู เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เฟรมขอแนะนำ ถ้าอยากหลีกหนีความจำเจของตึกสูงระฟ้า ลองมาเที่ยวที่ชอนจูดูกันครับ !

ติดตามข้อมูลชีวิตในเกาหลีได้เรื่อยๆผ่าน Facebook และ YouTube

บทความที่เกี่ยวข้อง

ติดตามเรื่องอื่นๆ