5 เดือน กับ “ภาษาเกาหลี”

0
20626

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก มาดูบล็อกของตัวเอง ว่าล่าสุดอัพบล็อกไปตอนไหน ก็มาเห็นว่านี่เราอัพบล็อกแค่ช่วงแรกๆที่มา แล้วก็ดองบล็อกยังกะกิมจิซะงั้น ~

blog-journey-korea-cover-2

ในขณะที่มีน้องๆที่เตรียมตัวสอบหลายคน และคนที่สนใจทุนรัฐบาลเกาหลี ก็มาคอมเมนต์ถามเกี่ยวกับข้อมูลการเรียนต่อที่นี่ (เนื่องจากว่าข้อมูลเกี่ยวกับทุนนี้ และข้อมูลรุ่นพี่ก็ไม่มีให้ค้นหาง่ายๆใน Google เช่นกัน) ก็เลยคิดว่า จะใช้โอกาสนี้เล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอดทั้ง 5 เดือนให้ฟังเพราะจริงๆแล้ว ช่วงแรกของการมาที่นี่ ก็ยังไม่รู้จะเล่าอะไร ยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้ เราจะเรียกว่าอะไรเอาล่ะครับ หลังจากที่บ่มประสบการณ์มาได้ส่วนนึงแล้ว ก็จะขอเล่าแตกต่างจากบล็อกตอน เล่าเรื่องจากภาพ : ชีวิตมหาลัย’ในเกาหลี โดยจะเน้นไปเกี่ยวกับเรื่องการเรียนที่นี่ การใช้ชีวิตที่นี่ คละเคล้าไปกับบรรยากาศแบบเกาหลีๆนะครับ

airport-korea2

เตรียมความพร้อมก่อนมาเรียนต่อเกาหลี

การเรียนต่อที่เกาหลี สำคัญที่สุดแน่นอนก็คือ “ภาษาเกาหลี” ครับ สำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับภาษาเกาหลี ถามว่า” ภาษาเกาหลียากมั้ย ?” เฟรมขอตอบว่า ไม่ยากที่จะเรียนรู้เท่าไรจากระบบตัวอักษรที่ไม่ซับซ้อน ไม่ใช่อักษรภาพเหมือนภาษาจีน ก็ไม่ยากครับ ก็พอจะอ่านคร่าวๆ ได้ภายใน 1 วัน

สำหรับคนที่เรียนรู้มาบ้างแล้ว จากการที่ติดตามซีรีส์เกาหลีอย่างต่อเนื่อง ฟังเพลง หรืออาจจะมีศิลปินในดวงใจ สำหรับเฟรมคิดว่ามาถูกทางแล้วครับ (ถ้าไม่ชอบดาราเกาหลีเพราะว่าคลั่งไคล้ที่ตัวบุคคล หรือว่าอยากจะมาเจอตัวจริงที่นี่ อันนั้นไม่เป็นผลดีต่อการเรียนภาษาเกาหลีแน่นอนครับ) เพราะการเรียนภาษาใหม่ๆ ก็คือการสะสมคำศัพท์ใหม่ๆไปเรื่อยๆ บวกกับต้องไม่ลืมเรื่องไวยากรณ์ ที่ต้องเรียนรู้

korean-book-beginner

การเรียนภาษาเกาหลี ก็แบ่งเป็นระดับได้ 3 ระดับ คือ Beginner (초급) , Intermediate (중급)และ Advanced (고급) ครับ อ้างอิงจากการสอบวัดระดับภาษาเกาหลี (TOPIK) ซึ่งสถาบันสอนภาษาเกาหลี ส่วนมากก็จะยึดตามนี้ ระยะเวลาของการเรียนแต่ละดับ ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันคร่าวๆของที่เฟรมเรียนก็ประมาณ 4 เดือน/ระดับ

  • ระดับ Beginner : รู้คำศัพท์คร่าวๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถแสดงออกได้ว่าต้องการอะไร ไม่ชอบอะไร ปรารถนาอะไร ใช้คำเชื่อม (และ,หรือ) บอกเหตุผล แต่งประโยค เขียนไดอารีด้วยคำศัพท์ง่ายๆ ได้ครับ ความสามารถที่เด่นๆ ของระดับนี้คงเป็นการอ่านภาษาเกาหลีได้และสามารถออกไปซื้อของได้ แต่อาจจะยังฟังคนเกาหลี พูดเร็วๆยังไม่ได้ครับ
  • ระดับ Intermediate : ที่เฟรมกำลังศึกษาอยู่ตอนนี้ ก็จะรู้ขอบข่ายของคำศัพท์เพิ่มเข้าไปอีกไวยากรณ์ที่ยากขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอารมณ์ เรียนรู้คำศัพท์และไวยากรณ์ที่คน เกาหลีใช้พูดจริงๆ อ.บอกว่า ถ้าเกิดจบระดับนี้ แล้วขยันทั้งเทอม ก็จะสามารถดูซีรีส์เกาหลีได้อย่างสบายๆ และฟังข่าวได้ครับ เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้อยากตั้งใจเรียนขึ้นมาทันทีเลย ~
  • ระดับ Advanced : แค่ชื่อก็โหดแล้วครับ ระดับนี้ไม่ทราบรายละเอียดมาก เพราะยังไม่ได้เรียนแต่เห็นจากเพื่อนๆที่เรียนระดับนี้ ก็สามารถพูดภาษาเกาหลี เอาตัวรอดในชีวิตประจำวันได้อย่างสุดยอดแล้วครับ เพื่อนๆบอกว่า ระดับนี้จะเรียนการใช้ภาษาที่เป็นเชิงเปรียบเทียบ ถ้าจะให้เทียบผมคิดว่า คงเหมือนกับการเรียนสำนวนไทยในบ้านเรา เพื่อใช้ในการเขียน และความคิดเห็นของอ.เกาหลีก็บอกว่า ถ้าเอาข้อสอบระดับนี้มาถามคนเกาหลี แน่นอน คนเกาหลีบางคนก็ยังเอะๆใจ งงๆเหมือนกัน….

(มาอัพเดต : การเรียนในระดับสูงจะเน้นไปที่เรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมเกาหลี ในมุมมองที่ลึกเข้าไปอีกครับ เช่น เรื่องวัฒนธรรมการแต่งงาน, การเกณฑ์ทหารของคนเกาหลี ฯลฯ จะได้เรียนในระดับนี้ครับ บวกกับจะได้จำคำศัพท์ที่นานๆที้ ~~ นานๆทีจะได้ใช้ ไวยากรณ์ที่อยู่ในงานเขียนเชิงวิชาการ, คำศัพท์ที่มีรากมาจากภาษาจีน, สำนวน

ดังนั้นการเตรียมตัวในเรื่องของภาษาเกาหลีนั้น ก็คงต้องบอกว่า มีความชอบเท่านั้นครับ ถึงจะสามารถเรียนได้ในระยะเวลาอันสั้น ผนวกกับดูหนังเกาหลี ซีรีส์เกาหลี หรือเพลงเกาหลี ก็จะช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว ทบทวน หาหนังสืออ่านเพิ่ม ก็สามารถเตรียมตัวได้ตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทยเลยครับและถ้าเป็นไปได้ ก็ลองสอบวัดระดับภาษาเกาหลีไว้ก็จะเป็นผลดีเวลาสมัครเข้าเรียนที่เกาหลีทุนต่างๆ รวมไปถึงทำงานครับ

การเรียนที่นี่ แน่นอนว่าได้เรียนกับอ.ที่เป็นคนเกาหลี ภาษาที่ใช้นั้น แน่นอนว่าก็เกาหลี ก็เริ่มแล้วสงสัยมั้ยครับว่าจะเรียนที่นี่ได้ยังไง ถ้าไม่รู้ภาษาเกาหลี แล้วมาเรียนเป็นภาษาเกาหลี

1. เฟรมโชคดีมากครับ ที่ได้รุ่นน้องที่เป็นภาษาเกาหลี เรียกว่าเก่งเลยล่ะ มาช่วยอธิบายให้ทั้งก่อนที่จะมาเกาหลีและแม้ว่าตัวเฟรมจะอยู่เกาหลีแล้วก็ตาม 555 เฟรมเรียนอ่านเขียนจากน้องมา ทำให้เรียนช่วงแรกๆที่นี่ไม่ยากเท่าไร เวลาเรียนก็ไม่มีปัญหาอะไรนอกจากฟังไม่รู้เรื่อง ก็ต้องจดเป็นคำอ่านเป็นภาษาไทยมาถามรุ่นน้องเวลาอ.สั่งให้ทำอะไร อ.ไม่บอกนะครับ ว่าอันนี้แปลว่าอะไร ตำราเรียนของมหาลัยของเฟรม ภาษาอังกฤษก็มีอยู่นิดเดียว และเป็นตำราที่ไม่สามารถอ่าน หรือศึกษาได้ด้วยตนเอง ก็เลยถือว่าลำบากพอสมควรสำหรับเพื่อนๆครับ

conversation

2. อ.ก็พูดภาษาอังกฤษ ….(บ้างหละ) แต่นิดเดียวจริงๆครับ อ.ของเฟรมที่เรียนในระดับพื้นฐาน(Beginner) นั้น มีด้วยกัน 3 ท่าน รูปแบบการเรียนการสอนก็แตกต่างกันออกไป อ.คนแรกก็พูดได้บ้าง คนที่สองก็พูดได้เก่งเลย คนที่สามพูดไม่ได้เลย สลับกันไป แต่เชื่อมั้ยครับว่า เรียนแบบนี้แล้วก็สามารถทำให้เราพอเดาๆคำสั่งอะไรจากอ.ได้บ้าง ไม่ถึงกับยากเย็นเกินไป ดังนั้นก็ไม่ต้องกลัวครับ เพราะทุกคนผ่านตรงนี้ได้หมดเลย ยังไม่เห็นใครมีปัญหาอะไรครับ

3. ภาษาเกาหลีไม่ได้ยากอย่างที่คิด มีหนังสืออ่านเพิ่มเติม แล้วก็มีแหล่งสอนภาษาเกาหลีเพิ่มเติมที่ฟรีเยอะแยะเลย อีกอย่างภาษาเกาหลีน่ารักครับ ยิ่งเวลาได้เห็นผู้หญิงเกาหลีเค้าพูดกันนี่ดูน่ารักเอามากๆเลย ~><

ในทุนรัฐบาลเกาหลีปีนี้ อย่างที่บอกไปตอนที่แล้วครับว่า ปีนี้สถาบันสอนภาษามีทั้งหมด 3 แห่งได้แก่ มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา (Ewha Woman’s University), มหาวิทยาลัยคยองฮี (Kyung Hee University) และมหาวิทยาลัยซันมูน (Sunmoon University) ซึ่งเฟรมได้มหาลัยที่สามจากการแรนด้อม เป็นมหาวิทยาลัยเดียวในปีนี้ที่ไม่ได้อยู่ในโซล – เมืองหลวงที่จะศิวิไลซ์ ก็อาจจะทำให้การใช้ชีวิตของเราแตกต่างไปหน่อย สโลว์ไลฟ์ จะว่าชนบทก็ไม่เชิง 555

นอกเรื่อง : คนก่อตั้งมหาลัยของเฟรมนั้น เค้าชื่อว่า มุน ซอน มยอง (Moon Sun Myung)  ครับผู้ก่อตั้งลัทธิยูนิฟิเคชัน (Unification) ซึ่งมีคนนับถือลัทธินี้กันส่วนนึงเลย คนนี้มีบทบาท สำคัญในเกาหลีเช่นเดียวกัน ด้วยความที่มหาวิทยาลัยนี้ขึ้นชื่อว่าให้ทุนกับเด็กเยอะมากๆ แล้วก็มีกิจกรรมทางศาสนาในมหาลัยนี้ด้วย ไม่แปลกใจที่คนเกาหลีจะรู้จักมหาลัยนี้พอสมควร  ควบคู่ไปกับลัทธินี้ ในหอพักก็จะมีห้องไว้สำหรับสวดให้กับเจ้าของผู้ก่อตั้ง เคยดูภาพจากเพื่อนที่ถ่ายมาเป็นภาพผู้ก่อตั้งมหาลัยแล้วก็มีหนังสือสวด เวลาคุยกับใครก็จะโดนถามว่า อยู่ลัทธินี้หรือเปล่า แถมมีพิธี เช่น แต่งงานพร้อมกัน อะไรทำนองนี้ด้วย

เพื่อนชาวต่างชาติที่เรียนภาษาเกาหลีที่เรียนในคลาสพื้นฐานกับเฟรมครับ ส่วนนึงเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลเกาหลี (KGSP) ด้วยกันครับ สังเกตว่าประเทศไม่ซ้ำกันเลย
เพื่อนชาวต่างชาติที่เรียนภาษาเกาหลีที่เรียนในคลาสพื้นฐานกับเฟรมครับ ส่วนนึงเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลเกาหลี (KGSP) ด้วยกันครับ สังเกตว่าประเทศไม่ซ้ำกันเลย

ด้วยความที่เฟรมเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล เค้าก็มีมาตรการที่จะรักษาระดับ และเพื่อให้นักเรียนสอบผ่านระดับที่ต้องการ และไปเรียนในมหาวิทยาลัยในปีต่อไป ทำให้เฟรมและเพื่อนๆ ต้องเรียนเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว กล่าวคือ มีคลาสเรียนด้วยตัวเอง เพิ่มตอนเช้า (09.30 – 11.20 น.) โดยเป็นการเรียนที่ให้นักเรียนอ่านหนังสือเอง โดยมี อาจารย์มานั่งคุม หากมีคำถามก็ไปสอบถามอาจารย์ได้ ตอนเช้าจึงเป็นเวลาของการทำแบบฝึกหัด และทบทวน การทบทวนก่อนที่จะเรียนคลาสตอนบ่าย (13.00-17.50 น.) ซึ่งเป็นคลาสเรียนจริงๆ ทำให้การเรียนมีประสิทธิผลมากๆครับ ดังนั้นการเรียนอะไรก็ตามถ้าได้ทบทวนของเก่าก่อนไปเรียนทุกครั้ง บวกกับการทำสม่ำเสมอ มันได้ผลจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเรียนภาษา หรือเรียนรู้อะไรใหม่ๆครับ

และแล้วเฟรมก็จบชั้นเรียนระดับพื้นฐานมาด้วยผลการเรียนที่น่าพอใจ ~!  และคำชื่นชมจาก อาจารย์รวมไปถึงเกียรติบัตรที่ไม่เคยขาดเรียนเลย มาครอบครอง 555

แต่งชุดฮันบกกันตอนวันจบคอร์ส
แต่งชุดฮันบกกันตอนวันจบคอร์ส
การเล่นยูนโนริ (윷놀이) วันปิดคอร์ส
การเล่นยูนโนริ (윷놀이) วันปิดคอร์ส
 อ.ที่สุดแสนจะน่ารัก จริงๆแล้วมีอีกท่านครับ แต่วันนั้นท่านไม่ได้มา อ.ใจดีมากๆ เข้าใจเลยว่าการสอนภาษาของอ.นั้น ให้คนต่างชาติ จะต้องพูดช้ากว่าปกติมากๆ ย้ำ ซ้ำๆ เหมือนสอนเด็กเลย เข้าใจถึงความยากลำบากจริงๆ
อ.ที่สุดแสนจะน่ารัก จริงๆแล้วมีอีกท่านครับ แต่วันนั้นท่านไม่ได้มา อ.ใจดีมากๆ เข้าใจเลยว่าการสอนภาษาของอ.นั้น ให้คนต่างชาติ จะต้องพูดช้ากว่าปกติมากๆ ย้ำ ซ้ำๆ เหมือนสอนเด็กเลย เข้าใจถึงความยากลำบากจริงๆ

ณ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ในคลาส Intermediate หรือระดับกลางอยู่ครับ การเรียนก็จะแตกต่างจากการเรียนในพื้นฐานหน่อย เนื่องจากพอฟังอาจารย์พูดได้บ้าง การเรียนคำศัพท์ก็จะต้องรู้ให้มากขึ้นเช่นคำที่มีความหมายเหมือนกัน (Synonym) คำที่มีความหมายตรงกันข้าม (Antonym) และการใช้ ควบคู่กับแกรมมาร์ที่ให้อารมณ์ไม่เหมือนกัน และใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น..

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย และสิ่งที่พบจากการเรียนภาษาเกาหลี

1. ภาษาเกาหลี มีการเรียงไวยากรณ์ที่แตกต่างจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยจะเรียงประธาน+กรรม+กริยา (S+O+V) ทำให้อาจจะดูแปลกๆหน่อยสำหรับเรา แต่เวลาเรียนเอาเข้าจริงๆเราก็ไม่เคยมาคิดถึงเรื่องนี้เท่าไร แต่ถ้ามาแปลก็จริงล่ะ มันแปลก…

language-structure

2. ภาษาเกาหลี มีการใช้คำสุภาพด้วยนะ ใช้กับผู้ใหญ่ ใช้กับเพื่อน เวลาที่เราจะพูดก็จะลงท้ายไม่เหมือนกัน ที่เราเห็นภาษาเกาหลีลงท้ายกันด้วย โยๆๆ… หรือ ฮัมนิดา อิมนิดา อะไรพวกนั้นแหละก็คือรูปแบบการลงท้าย ที่เราเอามาผันให้เป็นรูปสุภาพ

3. ภาษาเกาหลีมีลักษณะนาม และการนับคล้ายๆบ้านเรา ก็คือ เวลานับเลขก็จะนับเหมือนบ้านเรา เช่น ยี่สิบสาม ก็จะเป็น อี ชิบ ซัม (อี = 2, ชิบ = 10 , ซัม =3) และมีลักษณะนาม เช่น คู่, อัน, แก้ว ฯลฯ

4. เสียงสูงเสียงต่ำ เปลี่ยนความหมาย เสียงสูงปุ๊บเป็นประโยคคำถามเลย เสียงต่ำก็จะเป็นบอกเล่าธรรมดาๆ

5. ภาษาเกาหลี มีอะไรที่ทำให้คนไทยออกเสียงยากอยู่ เช่น ตัว ㄹ (มันคือ ล.ลิง) ที่เวลาพูดจะต้องม้วนลิ้นด้วย ในขณะที่คนไทย ถ้ามีตัวสะกดที่ลงท้ายด้วย ล มันก็จะอ่านเป็นเสียง น.หนูไม่ต้องม้วนลิ้น เช่นคำว่า เครื่องกล เราก็จะอ่านเป็น เครื่อง-กน แต่ภาษาเกาหลี ล.ลิงก็ ล.ลิงนะ กับเรื่องอีกเรื่องที่คิดว่ายากคงเป็นเสียงหนัก เสียงเบา ตัวอักษรบางตัวที่จะต้องออกเสียงให้หนักครับ (ออกเบาคนเกาหลีบางคำก็ไม่เข้าใจ) เช่น ㅊ (ช.ช้าง เสียงหนัก) มาคู่กับ ㅈ (ช.ช้าง หรือ จ.จาน เสียงเบา)

ความสามารถในการเรียนภาษาเกาหลี สำหรับคนไทยไม่มีอะไรยากเท่าไรเลยครับ ถ้าเทียบกับเพื่อนชาวต่างชาติที่อาจจะออกเสียงบางเสียงไม่ได้

สำหรับวันนี้ก็จบไปแล้วสำหรับเรื่องของการเรียนภาษาที่สถาบันสอนภาษาในเกาหลีคร่าวๆ กับระยะเวลา 5 เดือน ก็พอจะทำให้เพื่อนๆ ที่สนใจเรียนภาษาเกาหลี รวมไปถึงวางแผนที่จะเรียนภาษาเกาหลีที่นี่ด้วย ได้เห็นบรรยากาศและรูปแบบการเรียน เอาไว้โอกาสหน้าจะแนะนำความเป็นอยู่รวมไปถึงเรื่องราวน่าสนุกๆ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเกาหลี… มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่าน

รวมไปถึงน้องๆที่สนใจจะสอบทุนรัฐบาลเกาหลี เอาไว้กำหนดออกมาแล้ว จะมาแนะนำอย่างเป็นทางการอีกที เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม และขั้นตอนต่างๆนะครับ

ปล. ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้ระบบ Comment ของ Facebook แทนแล้ว อาจจะทำให้ติดต่อกับผู้อ่านได้ง่ายขึ้นและทิ้งคำถาม ตอบคำถามกลับไปได้ง่ายขึ้นนะครับ 🙂