สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก มาดูบล็อกของตัวเอง ว่าล่าสุดอัพบล็อกไปตอนไหน ก็มาเห็นว่านี่เราอัพบล็อกแค่ช่วงแรกๆที่มา แล้วก็ดองบล็อกยังกะกิมจิซะงั้น ~
ในขณะที่มีน้องๆที่เตรียมตัวสอบหลายคน และคนที่สนใจทุนรัฐบาลเกาหลี ก็มาคอมเมนต์ถามเกี่ยวกับข้อมูลการเรียนต่อที่นี่ (เนื่องจากว่าข้อมูลเกี่ยวกับทุนนี้ และข้อมูลรุ่นพี่ก็ไม่มีให้ค้นหาง่ายๆใน Google เช่นกัน) ก็เลยคิดว่า จะใช้โอกาสนี้เล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอดทั้ง 5 เดือนให้ฟังเพราะจริงๆแล้ว ช่วงแรกของการมาที่นี่ ก็ยังไม่รู้จะเล่าอะไร ยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้ เราจะเรียกว่าอะไรเอาล่ะครับ หลังจากที่บ่มประสบการณ์มาได้ส่วนนึงแล้ว ก็จะขอเล่าแตกต่างจากบล็อกตอน เล่าเรื่องจากภาพ : ชีวิตมหาลัย’ในเกาหลี โดยจะเน้นไปเกี่ยวกับเรื่องการเรียนที่นี่ การใช้ชีวิตที่นี่ คละเคล้าไปกับบรรยากาศแบบเกาหลีๆนะครับ
เตรียมความพร้อมก่อนมาเรียนต่อเกาหลี
การเรียนต่อที่เกาหลี สำคัญที่สุดแน่นอนก็คือ “ภาษาเกาหลี” ครับ สำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับภาษาเกาหลี ถามว่า” ภาษาเกาหลียากมั้ย ?” เฟรมขอตอบว่า ไม่ยากที่จะเรียนรู้เท่าไรจากระบบตัวอักษรที่ไม่ซับซ้อน ไม่ใช่อักษรภาพเหมือนภาษาจีน ก็ไม่ยากครับ ก็พอจะอ่านคร่าวๆ ได้ภายใน 1 วัน
สำหรับคนที่เรียนรู้มาบ้างแล้ว จากการที่ติดตามซีรีส์เกาหลีอย่างต่อเนื่อง ฟังเพลง หรืออาจจะมีศิลปินในดวงใจ สำหรับเฟรมคิดว่ามาถูกทางแล้วครับ (ถ้าไม่ชอบดาราเกาหลีเพราะว่าคลั่งไคล้ที่ตัวบุคคล หรือว่าอยากจะมาเจอตัวจริงที่นี่ อันนั้นไม่เป็นผลดีต่อการเรียนภาษาเกาหลีแน่นอนครับ) เพราะการเรียนภาษาใหม่ๆ ก็คือการสะสมคำศัพท์ใหม่ๆไปเรื่อยๆ บวกกับต้องไม่ลืมเรื่องไวยากรณ์ ที่ต้องเรียนรู้
การเรียนภาษาเกาหลี ก็แบ่งเป็นระดับได้ 3 ระดับ คือ Beginner (초급) , Intermediate (중급)และ Advanced (고급) ครับ อ้างอิงจากการสอบวัดระดับภาษาเกาหลี (TOPIK) ซึ่งสถาบันสอนภาษาเกาหลี ส่วนมากก็จะยึดตามนี้ ระยะเวลาของการเรียนแต่ละดับ ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันคร่าวๆของที่เฟรมเรียนก็ประมาณ 4 เดือน/ระดับ
- ระดับ Beginner : รู้คำศัพท์คร่าวๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถแสดงออกได้ว่าต้องการอะไร ไม่ชอบอะไร ปรารถนาอะไร ใช้คำเชื่อม (และ,หรือ) บอกเหตุผล แต่งประโยค เขียนไดอารีด้วยคำศัพท์ง่ายๆ ได้ครับ ความสามารถที่เด่นๆ ของระดับนี้คงเป็นการอ่านภาษาเกาหลีได้และสามารถออกไปซื้อของได้ แต่อาจจะยังฟังคนเกาหลี พูดเร็วๆยังไม่ได้ครับ
- ระดับ Intermediate : ที่เฟรมกำลังศึกษาอยู่ตอนนี้ ก็จะรู้ขอบข่ายของคำศัพท์เพิ่มเข้าไปอีกไวยากรณ์ที่ยากขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอารมณ์ เรียนรู้คำศัพท์และไวยากรณ์ที่คน เกาหลีใช้พูดจริงๆ อ.บอกว่า ถ้าเกิดจบระดับนี้ แล้วขยันทั้งเทอม ก็จะสามารถดูซีรีส์เกาหลีได้
อย่างสบายๆและฟังข่าวได้ครับ เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้อยากตั้งใจเรียนขึ้นมาทันทีเลย ~ - ระดับ Advanced : แค่ชื่อก็โหดแล้วครับ ระดับนี้ไม่ทราบรายละเอียดมาก เพราะยังไม่ได้เรียนแต่เห็นจากเพื่อนๆที่เรียนระดับนี้ ก็สามารถพูดภาษาเกาหลี เอาตัวรอดในชีวิตประจำวันได้อย่างสุดยอดแล้วครับ เพื่อนๆบอกว่า ระดับนี้จะเรียนการใช้ภาษาที่เป็นเชิงเปรียบเทียบ ถ้าจะให้เทียบผมคิดว่า คงเหมือนกับการเรียนสำนวนไทยในบ้านเรา เพื่อใช้ในการเขียน และความคิดเห็นของอ.เกาหลีก็บอกว่า ถ้าเอาข้อสอบระดับนี้มาถามคนเกาหลี แน่นอน คนเกาหลีบางคนก็ยังเอะๆใจ งงๆเหมือนกัน….
(มาอัพเดต : การเรียนในระดับสูงจะเน้นไปที่เรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมเกาหลี ในมุมมองที่ลึกเข้าไปอีกครับ เช่น เรื่องวัฒนธรรมการแต่งงาน, การเกณฑ์ทหารของคนเกาหลี ฯลฯ จะได้เรียนในระดับนี้ครับ บวกกับจะได้จำคำศัพท์ที่นานๆที้ ~~ นานๆทีจะได้ใช้ ไวยากรณ์ที่อยู่ในงานเขียนเชิงวิชาการ, คำศัพท์ที่มีรากมาจากภาษาจีน, สำนวน
ดังนั้นการเตรียมตัวในเรื่องของภาษาเกาหลีนั้น ก็คงต้องบอกว่า มีความชอบเท่านั้นครับ ถึงจะสามารถเรียนได้ในระยะเวลาอันสั้น ผนวกกับดูหนังเกาหลี ซีรีส์เกาหลี หรือเพลงเกาหลี ก็จะช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว ทบทวน หาหนังสืออ่านเพิ่ม ก็สามารถเตรียมตัวได้ตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทยเลยครับและถ้าเป็นไปได้ ก็ลองสอบวัดระดับภาษาเกาหลีไว้ก็จะเป็นผลดีเวลาสมัครเข้าเรียนที่เกาหลีทุนต่างๆ รวมไปถึงทำงานครับ
การเรียนที่นี่ แน่นอนว่าได้เรียนกับอ.ที่เป็นคนเกาหลี ภาษาที่ใช้นั้น แน่นอนว่าก็เกาหลี ก็เริ่มแล้วสงสัยมั้ยครับว่าจะเรียนที่นี่ได้ยังไง ถ้าไม่รู้ภาษาเกาหลี แล้วมาเรียนเป็นภาษาเกาหลี
1. เฟรมโชคดีมากครับ ที่ได้รุ่นน้องที่เป็นภาษาเกาหลี เรียกว่าเก่งเลยล่ะ มาช่วยอธิบายให้ทั้งก่อนที่จะมาเกาหลีและแม้ว่าตัวเฟรมจะอยู่เกาหลีแล้วก็ตาม 555 เฟรมเรียนอ่านเขียนจากน้องมา ทำให้เรียนช่วงแรกๆที่นี่ไม่ยากเท่าไร เวลาเรียนก็ไม่มีปัญหาอะไรนอกจากฟังไม่รู้เรื่อง ก็ต้องจดเป็นคำอ่านเป็นภาษาไทยมาถามรุ่นน้องเวลาอ.สั่งให้ทำอะไร อ.ไม่บอกนะครับ ว่าอันนี้แปลว่าอะไร ตำราเรียนของมหาลัยของเฟรม ภาษาอังกฤษก็มีอยู่นิดเดียว และเป็นตำราที่ไม่สามารถอ่าน หรือศึกษาได้ด้วยตนเอง ก็เลยถือว่าลำบากพอสมควรสำหรับเพื่อนๆครับ
2. อ.ก็พูดภาษาอังกฤษ ….(บ้างหละ) แต่นิดเดียวจริงๆครับ อ.ของเฟรมที่เรียนในระดับพื้นฐาน(Beginner) นั้น มีด้วยกัน 3 ท่าน รูปแบบการเรียนการสอนก็แตกต่างกันออกไป อ.คนแรกก็พูดได้บ้าง คนที่สองก็พูดได้เก่งเลย คนที่สามพูดไม่ได้เลย สลับกันไป แต่เชื่อมั้ยครับว่า เรียนแบบนี้แล้วก็สามารถทำให้เราพอเดาๆคำสั่งอะไรจากอ.ได้บ้าง ไม่ถึงกับยากเย็นเกินไป ดังนั้นก็ไม่ต้องกลัวครับ เพราะทุกคนผ่านตรงนี้ได้หมดเลย ยังไม่เห็นใครมีปัญหาอะไรครับ
3. ภาษาเกาหลีไม่ได้ยากอย่างที่คิด มีหนังสืออ่านเพิ่มเติม แล้วก็มีแหล่งสอนภาษาเกาหลีเพิ่มเติมที่ฟรีเยอะแยะเลย อีกอย่างภาษาเกาหลีน่ารักครับ ยิ่งเวลาได้เห็นผู้หญิงเกาหลีเค้าพูดกันนี่ดูน่ารักเอามากๆเลย ~><
ในทุนรัฐบาลเกาหลีปีนี้ อย่างที่บอกไปตอนที่แล้วครับว่า ปีนี้สถาบันสอนภาษามีทั้งหมด 3 แห่งได้แก่ มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา (Ewha Woman’s University), มหาวิทยาลัยคยองฮี (Kyung Hee University) และมหาวิทยาลัยซันมูน (Sunmoon University) ซึ่งเฟรมได้มหาลัยที่สามจากการแรนด้อม เป็นมหาวิทยาลัยเดียวในปีนี้ที่ไม่ได้อยู่ในโซล – เมืองหลวงที่จะศิวิไลซ์ ก็อาจจะทำให้การใช้ชีวิตของเราแตกต่างไปหน่อย สโลว์ไลฟ์ จะว่าชนบทก็ไม่เชิง 555
นอกเรื่อง : คนก่อตั้งมหาลัยของเฟรมนั้น เค้าชื่อว่า มุน ซอน มยอง (Moon Sun Myung) ครับผู้ก่อตั้งลัทธิยูนิฟิเคชัน (Unification) ซึ่งมีคนนับถือลัทธินี้กันส่วนนึงเลย คนนี้มีบทบาท สำคัญในเกาหลีเช่นเดียวกัน ด้วยความที่มหาวิทยาลัยนี้ขึ้นชื่อว่าให้ทุนกับเด็กเยอะมากๆ แล้วก็มีกิจกรรมทางศาสนาในมหาลัยนี้ด้วย ไม่แปลกใจที่คนเกาหลีจะรู้จักมหาลัยนี้พอสมควร ควบคู่ไปกับลัทธินี้ ในหอพักก็จะมีห้องไว้สำหรับสวดให้กับเจ้าของผู้ก่อตั้ง เคยดูภาพจากเพื่อนที่ถ่ายมาเป็นภาพผู้ก่อตั้งมหาลัยแล้วก็มีหนังสือสวด เวลาคุยกับใครก็จะโดนถามว่า อยู่ลัทธินี้หรือเปล่า แถมมีพิธี เช่น แต่งงานพร้อมกัน อะไรทำนองนี้ด้วย

ด้วยความที่เฟรมเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล เค้าก็มีมาตรการที่จะรักษาระดับ และเพื่อให้นักเรียนสอบผ่านระดับที่ต้องการ และไปเรียนในมหาวิทยาลัยในปีต่อไป ทำให้เฟรมและเพื่อนๆ ต้องเรียนเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว กล่าวคือ มีคลาสเรียนด้วยตัวเอง เพิ่มตอนเช้า (09.30 – 11.20 น.) โดยเป็นการเรียนที่ให้นักเรียนอ่านหนังสือเอง โดยมี อาจารย์มานั่งคุม หากมีคำถามก็ไปสอบถามอาจารย์ได้ ตอนเช้าจึงเป็นเวลาของการทำแบบฝึกหัด และทบทวน การทบทวนก่อนที่จะเรียนคลาสตอนบ่าย (13.00-17.50 น.) ซึ่งเป็นคลาสเรียนจริงๆ ทำให้การเรียนมีประสิทธิผลมากๆครับ ดังนั้นการเรียนอะไรก็ตามถ้าได้ทบทวนของเก่าก่อนไปเรียนทุกครั้ง บวกกับการทำสม่ำเสมอ มันได้ผลจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเรียนภาษา หรือเรียนรู้อะไรใหม่ๆครับ
และแล้วเฟรมก็จบชั้นเรียนระดับพื้นฐานมาด้วยผลการเรียนที่น่าพอใจ ~! และคำชื่นชมจาก อาจารย์รวมไปถึงเกียรติบัตรที่ไม่เคยขาดเรียนเลย มาครอบครอง 555



ณ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ในคลาส Intermediate หรือระดับกลางอยู่ครับ การเรียนก็จะแตกต่างจากการเรียนในพื้นฐานหน่อย เนื่องจากพอฟังอาจารย์พูดได้บ้าง การเรียนคำศัพท์ก็จะต้องรู้ให้มากขึ้นเช่นคำที่มีความหมายเหมือนกัน (Synonym) คำที่มีความหมายตรงกันข้าม (Antonym) และการใช้ ควบคู่กับแกรมมาร์ที่ให้อารมณ์ไม่เหมือนกัน และใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น..
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย และสิ่งที่พบจากการเรียนภาษาเกาหลี
1. ภาษาเกาหลี มีการเรียงไวยากรณ์ที่แตกต่างจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยจะเรียงประธาน+กรรม+กริยา (S+O+V) ทำให้อาจจะดูแปลกๆหน่อยสำหรับเรา แต่เวลาเรียนเอาเข้าจริงๆเราก็ไม่เคยมาคิดถึงเรื่องนี้เท่าไร แต่ถ้ามาแปลก็จริงล่ะ มันแปลก…
2. ภาษาเกาหลี มีการใช้คำสุภาพด้วยนะ ใช้กับผู้ใหญ่ ใช้กับเพื่อน เวลาที่เราจะพูดก็จะลงท้ายไม่เหมือนกัน ที่เราเห็นภาษาเกาหลีลงท้ายกันด้วย โยๆๆ… หรือ ฮัมนิดา อิมนิดา อะไรพวกนั้นแหละก็คือรูปแบบการลงท้าย ที่เราเอามาผันให้เป็นรูปสุภาพ
3. ภาษาเกาหลีมีลักษณะนาม และการนับคล้ายๆบ้านเรา ก็คือ เวลานับเลขก็จะนับเหมือนบ้านเรา เช่น ยี่สิบสาม ก็จะเป็น อี ชิบ ซัม (อี = 2, ชิบ = 10 , ซัม =3) และมีลักษณะนาม เช่น คู่, อัน, แก้ว ฯลฯ
4. เสียงสูงเสียงต่ำ เปลี่ยนความหมาย เสียงสูงปุ๊บเป็นประโยคคำถามเลย เสียงต่ำก็จะเป็นบอกเล่าธรรมดาๆ
5. ภาษาเกาหลี มีอะไรที่ทำให้คนไทยออกเสียงยากอยู่ เช่น ตัว ㄹ (มันคือ ล.ลิง) ที่เวลาพูดจะต้องม้วนลิ้นด้วย ในขณะที่คนไทย ถ้ามีตัวสะกดที่ลงท้ายด้วย ล มันก็จะอ่านเป็นเสียง น.หนูไม่ต้องม้วนลิ้น เช่นคำว่า เครื่องกล เราก็จะอ่านเป็น เครื่อง-กน แต่ภาษาเกาหลี ล.ลิงก็ ล.ลิงนะ กับเรื่องอีกเรื่องที่คิดว่ายากคงเป็นเสียงหนัก เสียงเบา ตัวอักษรบางตัวที่จะต้องออกเสียงให้หนักครับ (ออกเบาคนเกาหลีบางคำก็ไม่เข้าใจ) เช่น ㅊ (ช.ช้าง เสียงหนัก) มาคู่กับ ㅈ (ช.ช้าง หรือ จ.จาน เสียงเบา)
ความสามารถในการเรียนภาษาเกาหลี สำหรับคนไทยไม่มีอะไรยากเท่าไรเลยครับ ถ้าเทียบกับเพื่อนชาวต่างชาติที่อาจจะออกเสียงบางเสียงไม่ได้
สำหรับวันนี้ก็จบไปแล้วสำหรับเรื่องของการเรียนภาษาที่สถาบันสอนภาษาในเกาหลีคร่าวๆ กับระยะเวลา 5 เดือน ก็พอจะทำให้เพื่อนๆ ที่สนใจเรียนภาษาเกาหลี รวมไปถึงวางแผนที่จะเรียนภาษาเกาหลีที่นี่ด้วย ได้เห็นบรรยากาศและรูปแบบการเรียน เอาไว้โอกาสหน้าจะแนะนำความเป็นอยู่รวมไปถึงเรื่องราวน่าสนุกๆ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเกาหลี… มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่าน
รวมไปถึงน้องๆที่สนใจจะสอบทุนรัฐบาลเกาหลี เอาไว้กำหนดออกมาแล้ว จะมาแนะนำอย่างเป็นทางการอีกที เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม และขั้นตอนต่างๆนะครับ
ปล. ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้ระบบ Comment ของ Facebook แทนแล้ว อาจจะทำให้ติดต่อกับผู้อ่านได้ง่ายขึ้นและทิ้งคำถาม ตอบคำถามกลับไปได้ง่ายขึ้นนะครับ 🙂