เดินทางมาด้วยกันเรื่อยๆครับ สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว ที่ผมได้เพื่อนมาช่วยแนะนำการท่องเที่ยวในโตเกียวให้ ครั้งนี้จะเป็นคราวของผมที่ต้องเดินทางเที่ยวคนเดียวในโตเกียวแล้วครับ
เนื่องจากว่าการเดินทางในวันก่อนนี้ไปกับเพื่อนผู้หญิง แน่นอนล่ะครับว่าสถานที่ที่ต้องไปก็จะออกไปแนวมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งกันซักเล็กน้อย ซึ่งถ้าไม่บอกว่าผมถ่อมากินไกลถึงโตเกียวนี้ อาจจะไม่มีใครรู้จริงๆ บล็อกในวันนี้จะพาทุกท่านไปเก็บประสบการณ์ของการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เมื่อมาญี่ปุ่นแล้วต้องมาให้ได้กันครับ !!
เดินทางไปชมภูเขาไฟฟูจิ
ภูเขาไฟฟูจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่พวกเรารู้จักกันดี ภูเขาลูกนี้เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น ไม่แปลกที่คนทั่วโลกจะรู้จัก เหมือนที่คนรู้จักยอดเขาเอเวอร์เรสต์ การเดินทางไปชมภูเขาไฟฟูจิ สามารถเลือกได้หลากหลายเส้นทาง เพราะลักษณะของภูเขาไฟนี้ ถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบห้าแห่ง เราเรียกว่า “ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji-goko)” ซึ่งทะเลสาบแต่ละที่ก็มีวิวที่สวยงามแตกต่างกันไปครับ สำหรับสถานที่ที่ผมเลือกไปนั้น คือ ทะเลสาบคาวากูชิโกะ (Kawaguchiko) ครับ
การเดินทางไปชมฟูจิ ไปได้หลายวิธีครับ เช่น รถไฟ, รถบัส แต่หลังจากที่ผมศึกษาเส้นทางแล้ว การเดินทางรถบัสใช้เวลาน้อยกว่าและประหยัดกว่าครับ จึงตัดสินใจนั่งรถบัสไป รถบัสจะนั่งที่ชินจุกุ (Shinjuku) ครับ โดยสามารถเข้าไปจองได้ที่เว็บไซต์นี้เลย และไปชำระเงินที่สถานีรถได้ครับ หากไม่ไปเค้าก็จะยกเลิกโดยอัตโนมัติ ราคาค่าโดยสารต่อรอบอยู่ที่ ¥1,750 ครับ โดยปลายทางไปลงที่ สถานีคาวากูชิโกะ (Kawaguchiko station)
ผมออกเดินทางสายๆ ประมาณสิบโมงครับ กว่าจะหาสถานีรถบัสเจอก็บอกว่าหลงไปหลายรอบเลย ที่ชินจูกุนี้ต้องขอบอกว่า มือใหม่หัดเที่ยวอย่างผมนี่มึนมากครับ มีมากมายหลายประตูทางออก จากแผนที่สถานีรถบัสอยู่ติดกับร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ Yodobashi-Shinjuku ครับ

ผมมาด้วยความรีบเร่งกลัวจะไม่ทันเวลา วิ่งมาพร้อมกับใบจองที่พิมพ์มาตอนจอง ก็มีพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้ พาเราทำรายการจากตู้อัตโนมัติจนเสร็จสิ้นครับ ชำระเงินผ่านตู้ได้เลยทันที ใครที่ไม่ได้จองมาจากเน็ตก็สามารถติดต่อได้ที่เคาน์เตอร์เช่นกัน (แต่อาจจะวุ่นวายหน่อยสำหรับผู้ที่ไม่สันทัดภาษาญี่ปุ่น)
รถบัสจอดรายทางหลายสถานีเหมือนกันครับ แต่เวลาก็ไปถึงตรงตามที่ระบุเอาไว้ในเว็บไซต์ 1 ชม. 45 นาที ซึ่งสถานีที่จะไปจอดหลักๆ ก็จะมีสวนสนุก Fuji Q Land และสถานีคาวากูชิโกะ (Kawaguchiko) เป็นสถานีปลายทางที่จะไปชมทะเลสาบคาวากูชิโกะและภูเขาไฟฟูจิกันครับ
ถึงแล้วคร้าบบ~…. สถานีคาวากูชิโกะ
ภายในสถานีมีคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก มีแผนที่แสดงตำแหน่งสำคัญๆบริเวณย่านนี้ครับ สถานีดูเก่าแต่คงเอกลักษณ์ไว้สวยงาม
มาถึงเที่ยงๆพอดี เลยตั้งใจว่าจะหาอะไรทานก่อน ก่อนที่จะเดินทางครับ ผมใช้แอพ Trip Advisor ช่วยนำผมไปยังร้านอร่อยๆแถวๆนั้น ซึ่งเอาเข้าจริงๆก็แอบไกล ผมเดินตามเส้นทางที่แอพแนะนำไว้…
เดินกินลมไปเรื่อยๆ ก็ได้เห็นลักษณะของบ้านเมืองที่นี่ ที่ดูสงบๆครับ มีแปลงเกษตรอยู่หลายที่ ไม่ค่อยมีตึกสูงใหญ่มากมาย ไม่มีที่ร่มให้เดินหลบแดด เดินไปอากาศก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆครับ แถวนั้นมีเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิขณะนั้น ก็พบว่ามันสูงถึง 38 องศา!! เรียกว่าเดินไปเช็ดเหงื่อไป
เดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาพบกับร้าน “Kosaku” ครับ ร้านนี้เป็นที่กล่าวขานกันในแอพ TripAdvisor ถึงเมนูเมนูนึง ที่เมื่อมาในย่าน Yamanashi แล้ว เมนูที่ต้องทานให้ได้เลยก็คือ “โฮโตะ (Houtou/Hoto)”
ผมเดินเข้ามาในร้านก็พบว่าร้านใหญ่พอสมควรครับ ร้านมีเมนูภาษาอังกฤษให้เราได้สั่งกันอย่างสบายใจ เล่าต่อกันถึงเมนูนี้ โฮโตะเป็นบะหมี่ที่เสิร์ฟมาในถ้วยใหญ่ กับน้ำซุปที่ค่อนข้างเข้มข้นเพราะมีผักและฟักทองอยู่ด้วย ส่วนหน้าก็มีให้เลือกหมดเลยครับ หมูเห็ดเป็ดไก่ มีไปจนถึง หมี !! อะไรจะขนาดนั้น ผมขอจบที่หมูแล้วกันครับ มื้อนี้หมดไป ¥ 1,400

ก่อนที่จะมาผจญกับแดดข้างนอก เป้าหมายต่อไป มุ่งหน้าสู่ทะเลสาบคาวากูชิโกะครับ ระยะทางที่ต้องเดินต่อก็เป็นกิโลๆเลยทีเดียว และผมก็ได้เห็นกับทะเลสาบที่กว้างสุดลูกหูลูกตานี้ครับ
เดินออกไปอีกหน่อย ผมเห็นสะพานข้ามไปอีกฝั่งนึง จากมุมที่ผมถ่ายรูปถ้าจะถ่ายทะเลสาบให้เห็นภูเขาไฟด้วย ผมจำเป็นต้องข้ามไปอีกฝั่งครับ เลยตัดสินใจเดินต่อไปเรื่อยๆ…. (แดดก็ยังคงแรงอยู่เหมือนเดิม)

เดินไปเดินมาก็หวังเพื่อจะเล็งมุมสวยๆของภูเขาไฟฟูจิครับ เท่าที่อ่านดูจากในเน็ตก็ว่ากันว่าให้มาแต่เช้าบ้าง ควรจะมาหน้าหนาวบ้าง ซึ่งไม่เข้าคุณสมบัติอะไรของการที่จะได้ถ่ายสวยๆเลย ผมจึงถือว่าได้มาเห็นเป็นบุญตาก็พอใจแล้วครับ เดินไปเรื่อยๆ ก็พบว่า “อ่าววว… นี่มันวนรอบทะเลสาบแล้วนี่หว่า”

ก่อนจะได้เดินกินลมชมไม้ กลับมาที่สถานีและนั่งบัสกลับไปที่สถานีชินจูกุครับ ขากลับเราสามารถนั่งรถได้จากที่หน้าสถานีเช่นเคย (ชานชาลาที่ 3 เขียนว่า Highway bus for Shinjuku) และควรจะดูเวลาออกแต่เนิ่นๆ ป้องกันการตกรถครับ
มุ่งหน้าสู่โตเกียวก็พบว่ารถติดมากๆครับ ฝนก็ตกหนักมากๆด้วย อันนี้เป็นอะไรที่ไม่มีบอกในพยากรณ์อากาศเลย สิ่งที่ผมพยายามทำการบ้านมากอยู่อย่างนึง คือเรื่องสภาพอากาศครับ เพราะไปเที่ยวแต่ติดฝนก็คงไม่สนุกแน่ๆ แต่ที่เช็คมาก็ไม่ได้ตกตามวันเลย แถมเสียงฟ้าร้องแอบดังกว่าทุกที่ที่ผมเคยไปมาเสียอีก !! (ประสบการณ์จริงจากคนกลัวเสียงฟ้าร้อง)
ทันทีที่ถึงชินจูกุก็มุ่งหน้าสู่ที่พัก ไปแวะหาอะไรทานในห้างแถวนั้นครับ ในห้างญี่ปุ่น ชั้นใต้ดินมักจะเป็นแหล่งขายอาหารทั้งคาวหวาน มีให้เลือกกันอย่างหลากหลายจุใจ จะกินเลยห่อกลับก็มีทุกรูปแบบครับ
ช่วงนั้นเป็นเทศกาลกินปลาไหลพอดี จึงซื้อมากินที่ที่พัก และอยากทานของหวานด้วย จึงไปหาเลือกเค้กหน้าตาดีๆ (อยากจะลองว่ามันจะอร่อยสมหน้าตาหรือเปล่า) ก็ได้มาดังนี้ครับ


รสชาติของข้าวหน้าปลาไหลก็ต้องบอกว่ามันอร่อยใช้ได้เลยล่ะครับ แต่ไม่จุใจเท่าไร ราคาแอบสมเหตุสมผล โชคดีที่มาช่วงโปรโมชั่นพอดี ส่วนขนมเค้กนี้ก็อร่อยไม่แพ้กันครับ ข้างในเป็นวิปครีมนุ่มๆอร่อยใช้ได้ ข้างนอกเป็นเหมือนเป็นครีมถั่วเขียว ซึ่งคนไม่ชอบทานถั่วก็อาจจะไม่ชอบครับ กินไปเรื่อยๆ ผมเหมือนเจอถั่วเพิ่มอีกเป็นก้อนๆ อันนี้ทำให้รู้สึกเริ่มเลี่ยนๆขึ้นมาหน่อย เอาเป็นว่าภาพรวมขนมเค้กเอาไป 8/10
ทั้งวันนี้จึงยกให้กับการท่องเที่ยวในเมืองคาวากูชิโกะ (Kawaguchiko) นี้ครับ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะพักใน Sakura Ikebukuro นี้ ก่อนที่จะเปลี่ยนบรรยากาศ+เซฟค่าใช้จ่าย ไปนอนที่โฮสเทลในย่านอาซากุสะ (Asakusa) ครับ
อิเคะบุคุโระ (Ikebukuro)
เช้าก่อนย้ายโรงแรม ก็ขอมาสำรวจย่านนี้อีกครั้งครับ อย่างที่บอกไปในบล็อกตอนที่แล้ว อิเคะบุคุโระเป็นอีกย่านใหญ่ย่านนึงที่มีหลายฝั่ง หลายทิศด้วยกันครับ ทิศตะวันออกจะเป็นร้านตู้เกม ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้าซะเยอะ วิธีการเดินทางก็เดินมาตามทางประตูในสถานีก็ไม่หลงดีครับ
แถวๆนี้มีร้านโตคิว แฮนดส์ (Tokyu Hands) ที่ให้ผมเดินยังไงก็ไม่เบื่อ ร้านนี้มีทุกอย่าง ราคาอาจจะแพงกว่าข้างนอกนิดหน่อย แต่ก็มีอะไรให้เดินดูเล่นเพลินดีครับ
ตึกข้างๆกันเป็นห้างที่ใหญ่อีกแห่งนึงในย่านนี้ครับชื่อว่า Sunshine City ข้างในมี อควาเรียม และจุดชมวิวอยู่ แต่เนื่องจากเวลาไม่ค่อยพอ วันนี้จึงจบการเดินทางในอิเคบุคุโระไว้เพียงเท่านี้ครับ
อาซากุสะ (Asakusa)
แบกกระเป๋าและสัมภาระมาที่อาซากุสะครับ ย่านนี้ให้ความรู้สึกเก่าแก่ดีครับ (พอๆกับตอนไปเกียวโต) ที่พักอยู่ในซอยเข้ามาให้ผมงงเล่นเยอะหน่อย เช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อย เข้าไปในห้องก็พบว่ามีแขกที่พักอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว นั่งนอนเล่นกันอยู่ อัธยาศัยดีอย่างผมก็ได้แต่มุ่งหน้าเข้าหาเตียง เก็บของแล้วเดินทางต่อครับ 555
ขอ รีวิวซากุระโฮสเทล อาซากุสะ นี้กันนิดนึงครับ ที่นี่เหมาะมากสำหรับผู้ที่เดินทางแบ็คแพ็คและต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ที่นี่ใกล้กับย่านท่องเที่ยวอย่าง Asakusa มีพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ให้บริการตลอด 24 ชม. ราคาตกอยู่ที่คืนละ ¥3,325 (~1,000 บาท) ราคานี้มีอาหารเช้าบริการง่ายๆอย่างขนมปัง กาแฟ ซุป ชั้นล่างล็อบบี้มีอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ให้บริการครับ มีเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า ห้องอาบน้ำสะอาดครับ มีผ้าเช็ดตัวให้เช่า ที่หัวเตียงจะมีโคมไฟส่วนตัวให้ไว้แบบในรูปครับ ตรงใต้โคมไฟจะมีปลั๊กให้เสียบอยู่ช่องนึง (ตอนแรกหาปลั๊กไม่เจอ)
เอาล่ะครับ ได้เวลาออกมาเดินเล่นกันต่อแล้ว~
ขอเริ่มจากที่ใกล้ๆนี้ก่อนเลยครับ อาซากุสะ (Asakusa) !! บริเวณนี้ก็จะมีร้านค้าที่ดูย้อนยุคอยู่หลายร้าน ให้บรรยากาศดีมากเลยครับ ผมเดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงทางเข้าของวัดเซ็นโซ (Senso-ji) ก็จะเห็นประตูที่เป็นสัญลักษณ์เรียกว่าประตูคามินาริ (Kaminari-mon) ที่มีโคมใหญ่ๆนี้ เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม…
ผ่านประตูเข้ามาก็จะเห็นร้านค้าอยู่มากมายเรียบถนนนาคามิเซะ (Nakamise-dori) ก็มีทั้งของที่ระลึก ไม้แกะสลักชื่อ ขนมขบเคี้ยว เซมเบ้ ไอศกรีมชาเขียว ฯลฯ ให้ได้ไปลิ้มลองกัน ก่อนที่จะเดินเข้าไปชมวิหารข้างในครับ


ได้อ่านเรื่องราวการฟื้นฟูของวัดนี้แล้วก็รู้สึกว่าวัดนี้เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของคนญี่ปุ่นอีกครั้งนึงเลยก็ว่าได้ครับ บรรยากาศที่วัดช่วงนี้ก็คึกคักเป็นพิเศษ เพราะว่าใกล้กับช่วงเทศกาลชมพลุในฤดูร้อนนี้ครับ ซึ่งสถานที่ชมพลุก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้เอง
อะกิฮะบะระ (Akihabara) สวรรค์ของเหล่าโอตาคุ
ผมออกตัวก่อนครับว่าเป็นคนที่ไม่ดูหรืออ่านการ์ตูนเลยครับ จะว่าโชคดีหรือโชคร้าย ในเมื่อมาถึงแหล่งที่ญี่ปุ่นกับย่านนี้แล้ว แต่กลับไม่รู้สึกฟินอะไรเลย T_T เอาล่ะครับ จะว่าไปนอกจากเรื่องราวของการ์ตูนแล้ว ผมก็พบว่าแถวนี้ก็เป็นอีกย่านนึงที่ขายอุปกรณ์อิเล็กทรอกนิกส์ใหญ่เป็นอันดับต้นๆอีกแห่งนึงเช่นกัน
รวมไปถึงเมดคาเฟ่ (ร้านค้าที่เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มโดยพนักงานแต่งตัวน่ารักๆ) และวงไอดอลญี่ปุ่นอย่าง AKB48 ที่มีจุดกำเนิดที่นี่ (จริงๆก็ได้มารู้จักกับสาวๆ AKB48 ก็หลังจากได้มาสัมผัสอะกิฮะบะระครั้งนี้ล่ะครับ :P)

อุเอะโนะ (Ueno)
จากนั้นผมจึงนั่งรถไฟจากอะกิฮะบะระ (Akihabara) มาต่อที่อุเอะโนะ (Ueno) ซึ่งอยู่ห่างเพียงไม่กี่สถานี ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของสวนสาธารณะที่ใหญ่ร่มรื่นแห่งนึงล่ะครับ แต่เพราะมาถึงที่นี่ค่ำได้ที่แล้ว ผมจึงเลือกเดินไปฝั่งนึงของถนน เพื่อไปตามหาอนุสาวรีย์ของ Saigi Takamori ซึ่งเป็นซามูไร วีรบุรุษ ที่มีบทบาทในสงครามสมัยก่อนของญี่ปุ่น กว่าจะหาเจอก็ทำผมวนไปหลายสิบตลบครับ อนุสาวรีย์อยู่ตรงประตูทิศใต้ของสถานี Ueno ครับ จะมีบันไดขึ้นไปสูงๆ ขึ้นไปก็จะเห็นอนุสาวรีย์ของซามูไร Saigi Takamori เด่นให้เห็นอยู่ไกล มีทางรถไฟคู่ขนานอยู่ใจกลาง Ueno นี้ครับ

Asahi Superdry Hall
จะว่าเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งของการได้มาโตเกียวก็ว่าได้ครับ นั่นคือสำนักงานใหญ่ของบริษัทเบียร์ยักษ์ใหญ่อย่าง Asahi ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีอะซะกุสะ (Asakusa)
ก่อนจะสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวทั้งวันในวันนี้ครับ กลับสู่ที่พักด้วยความเหน็ดเหนื่อย ก่อนที่เป้าหมายพรุ่งนี้จะเป็นการเก็บสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปในโตเกียวอีกหลายๆที่ ซึ่งคืนนี้ก็ได้เพื่อนคนไทยที่เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นช่วยวางแผนการเดินทางสำหรับวันพรุ่งนี้ให้ครับ เอาเป็นว่า อย่าลืมติดตามตอนต่อไปกับลุยเดียวเที่ยวโตเกียวกับผมเฟรมคุงในตอนหน้านะครับ
สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ 😀
ติดตามกันต่อ? กับตะลุยเรื่องราวในญี่ปุ่น ฉบับให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว !
ตอนที่ 1 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โอซาก้า เกียวโต“
ตอนที่ 2 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โกเบ ซากาอิ“
ตอนที่ 3 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โตเกียว คามากุระ”
ตอนที่ 4 : ตะลุยเดี่ยว เที่ยวเองใน “โตเกียว” ตอนที่ 1 :
>> นั่งบัสจากชินจูกุไปชมภูเขาไฟฟูจิที่คาวากูชิโกะ , อิเคบุคุโระ , อาซากุสะ, อะกิฮะบะระ, อุเอะโนะ, Asahi Superdry Hall
ตอนที่ 5 : ตะลุยเดี่ยว เที่ยวเองใน “โตเกียว”ตอนที่ 2 :
>> เที่ยวเอง 1 วันในโตเกียว ตลาดปลาสึคิจิ (Tsukiji Market), กินซ่า (Ginza), Tokyo Station, Tokyo Imperial Palace (พระราชวังโตเกียว), Tokyo Tower, วัด Zojo (Zojo-ji), Roppongi Hills, Shibuya, Harajuku, Shinjuku, Ueno