สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน เรื่องราวในการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นของผมเดินทางมาไกลพอสมควรครับ ระยะเวลาเดินทางกว่า 10 วันของผมทั้งสองเมืองใหญ่ โอซาก้า และ โตเกียว มีอะไรให้ผมค้นหาอีกเยอะแยะมากมาย เป้าหมายของผมในการเดินทางครั้งนี้ นอกเหนือจากการได้เดินทางมาตามรอยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆแล้ว ก็ยังคงมีเรื่องราวที่น่าประทับใจของคนญี่ปุ่นอยู่ในตอนนี้ด้วย จะเป็นอย่างไรนั้น ไปเดินทางกันต่อครับ !!
เมื่อคืนผมได้เพื่อนคนไทยที่ได้ทุนมาศึกษาที่ญี่ปุ่นช่วยดูเส้นทางการเดินทางครั้งนี้ให้ครับ การเดินทางคร่าวๆทั้งวันนี้ เป็นตามนี้เลยครับ สีผมแยกตามสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กัน และเดินไปได้ครับ และตัวเลขคือลำดับที่ผมไปเที่ยว
1. ตลาดปลาสึคิจิ (Tsukiji Market)
ผมตื่นแต่เช้าเพื่อที่ให้จะทันชมบรรยากาศตลาดตอนเช้า ของ “ตลาดปลาสึคิจิ (Tsukiji Market)” ครับ ที่ตลาดแห่งนึ้ยังเป็นสถานที่ประมูลปลาที่ใหญ่ในโตเกียวอีกแห่งหนึ่งเลยด้วย ใครที่จะมาดูการประมูลนี้ ต้องเดินทางมาแต่เช้าหน่อยล่ะครับ เห็นว่าเริ่มประมูลประมาณ ตีห้าครึ่ง แต่เห็นว่ามีการไปตั้งแถวรอตั้งแต่ตีห้าเลยทีเดียว แม้ว่าบุคคลภายนอกจะไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมประมูล แต่ก็ถือเป็นกิจกรรมสนุกๆให้ดูกันเพลินๆครับ (การประมูลปลานี่ผมขอบายนะครับ ขอมาเพียงแค่ชมบรรยากาศตอนเช้าก็พอ)
การเดินทางไปตลาดปลาสึคิจิ นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Tsukiji (Hibiya Subway Line) ออกประตู 1 หรือ สถานี Tsukiji shijo (Oedo subway Line) ออกประตู A1
ทันทีที่ลงจากสถานี ผมรู้สึกว่าผมได้กลิ่นปลาลอยมาแต่ไกลเลยครับ เป็นกลิ่นตลาดสดยามเช้ามาก มีนักท่องเที่ยวพยายามวิ่งเพื่อให้ไปทันก่อนตลาดปิดไม่ให้คนนอกเข้า 9 โมงเช้า (ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น)

บรรยากาศไม่แตกต่างอะไรจากตลาดสด สิ่งที่ดูเหมือนจะทำให้ผมตื่นตาตื่นใจ คือการได้เห็นปลาตัวใหญ่ๆ ใหญ่แบบใหญ่จริงๆ กับอุปกรณ์ในการแล่ปลา รวมไปถึงรถที่ใช้ในการขนส่งปลา ก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของการได้มาที่ตลาดปลาสิคิจิแห่งนี้ และบริเวณตลาดปลาแห่งนี้ยังเป็นแหล่งรวมของร้านซูชิชื่อดังมากมาย ซึ่งก็บางร้านก็เห็นว่าต้องมาแต่เช้าต่อแถวรอกันยาวเหยียดเลยทีเดียว สำหรับใครที่จะมากินร้านซูชิอร่อยใกล้ตลาดปลาแห่งนี้ แนะนำให้ทำการบ้านกันมาดีๆกันก่อนนะครับ 😀
ข้อสำคัญของการมาที่ตลาดปลา
1) ตลาดปลาเปิดให้คนภายนอกชมได้จนถึง 9 โมงเช้า
2) ห้ามใส่รองเท้าแตะครับ ควรใส่รองเท้าหุ้มส้นเพราะค่อนข้างแฉะ หากใส่แตะไป ยามอาจจะไม่ให้เข้าตลาดได้ครับ
ผมเปิดแผนที่ดูใน Google Maps ก็พบว่า ย่านตลาดปลาสึคิจินั้น อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับย่าน กินซ่า (Ginza) และจากกินซ่า ผมก็ยังสามารถเดินไปที่สถานีโตเกียว (Tokyo station) เพื่อที่จะข้ามไปอีกฝั่งเพื่อไปดู พระราชวังโตเกียวได้อีก การเดินทางไกลครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่ามากครับ เลยตัดสินใจเริ่มเดินทาง
2. กินซ่า (Ginza)

และแล้วผมก็มาเดินในย่านที่มีหอนาฬิกาเป็นสัญลักษณ์ครับ ที่นี่คือ “กินซ่า (Ginza)” เป็นแหล่งรวมสินค้าแบรนด์ๆ หลายแห่งไว้ด้วยกัน มีร้านค้าเยอะมากๆ แต่เนื่องจากอากาศค่อนข้างร้อน และผมก็ไม่ได้เตรียมเงินมาเพื่อการช็อปนี้เลย จึงจะตามหาอาคารให้ได้เข้าไปตากแอร์เย็นๆครับ เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอ Apple Store สาขาที่เรียกว่า ทุกครั้งที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ สาขาที่เป็นเสมือนตัวแทนของประเทศญี่ปุ่น เห็นว่าจะเป็น Apple Store สาขา Ginza นี่ล่ะครับ

เข้าไปข้างในอาคารก็พบว่าแอร์ไม่ได้เย็นมาก มีผลิตภัณฑ์หลายๆอย่างให้ได้ลอง เหมือนร้าน Authorized shop ทั่วไปในบ้านเราครับ เพียงแต่ชั้นสอง ชั้นสาม จะมีพื้นที่สำหรับอบรม Workshop เป็นลักษณะห้องประชุม ชั้นสี่ ? ถ้าจำไม่ผิด ก็จะมีเป็นพวกหูฟัง Accessory ต่างๆ ที่มีให้เลือกเยอะอยู่ครับ
เดินตรงมาเรื่อยๆคุณถึงจะเห็นห้างที่มีแอร์เย็นๆ ให้เราได้เดินเล่นเย็นๆบ้าง อย่างเช่น ห้างมารุอิ (Marui) นี้ ที่ผมเรียกมันว่าห้าง 0 1 0 1 ตอนแรก

3. Tokyo Station
ผมเปิดปฏิทิน มุ่งหน้าเดินมาต่อกันที่ Tokyo station ครับ ผมยังติดใจกับภาพความอลังการของสถานีโตเกียว ที่โดดเด่นนี้ เห็นว่าไม่ใกล้ไม่ไกลมาก จึงตัดสินใจเดินจากตรงนี้ไปซึ่งใช้เวลาไม่นานมากครับ
ด้านหน้าของสถานีก็จะเป็นที่ตั้งของ พระราชวังโตเกียว (Tokyo Imperial Palace) ครับ
4. Tokyo Imperial Palace (พระราชวังโตเกียว)
เดินเข้ามาก็พบว่ากว้างมากๆครับ เป็นลานกว้างๆ ที่เต็มไปด้วยหินเต็มถนน เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการท่องเที่ยวในทุกฤดู ยกเว้นฤดูร้อน !!! ผมก็ยอมเดินตรงเข้ามาเรื่อยๆ

จนถึงจุดถ่ายรูปที่สำคัญอย่างเช่น สะพาน Nijubashi แห่งนี้ … ตรงนี้คงเป็นมุมยอดฮิตของนักท่องเที่ยว
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเห็นสวนสาธารณะใกล้ๆ ย่อมๆครับ ผมขอไปหลบแดดก่อนแล้วกัน !
5. Tokyo Tower
เอาล่ะครับ เดินทางกันต่อ วันนี้เราจะพยายามมุ่งหน้าไปเก็บแลนด์มาร์คของโตเกียวกันครับ ที่ไม่ควรพลาด และพลาดไม่ได้ก็คงเป็นโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) ครับ ก็คงเป็นเพราะว่าตามชื่อ
แต่ถามส่วนตัวผม ว่าอยากขึ้นไปมั้ย… หึ
การเดินทางจากพระราชวังโตเกียวไปที่โตเกียวทาวเวอร์นี้ ผมเลือก…. ที่จะหาสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดไปครับ (คงเดาๆเหตุผลกันออก) ดูในแผนที่ไปเจอสถานี Hibiya นั่งไปเปลี่ยนสายที่ Roppongi ไปลงที่สถานี Akabanebashi ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้โตเกียวทาวเวอร์ครับ


6. วัด Zojo (Zojo-ji)
เดินต่อมาอีกนิด ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็จะมีวัดใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางโตเกียว อย่างวัด Zojo (Zojo-ji) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัดที่ได้รับความนิยมที่คนจะมาฉลองเทศกาลปีใหม่ในญีปุ่น เนื่องจากมีทัศนียภาพที่สวยงาม ข้างหลังเห็นโตเกียวทาวเวอร์ชัดเจน…
แต่ทว่าเรื่องความปลอดภัยทำให้ทางวัดยกเลิกการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่ปี 2555 ที่ผ่านมาครับ
ผมกางไอแพดเปิดแผนที่ลุยต่อไปเรื่อยๆ ท่ามกลางอากาศร้อนที่สุดแสนมาคุนี้ …. ผมก็ไปเจอร้านสะดวกซื้อตรงทางไป Roppongi ครับ เข้าไปกะว่าจะหาเครื่องดื่มอะไรเย็นๆซะหน่อย ก็ไปเจอไอ้นี่ครับ…
การได้แรนด้อมเครื่องดื่มหรือของกินในร้านสะดวกซื้อ
กับภาษาที่อ่านไม่ออก
เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากครับ
และผมก็หยิบมา สรรพคุณที่ผมอ่านออกแค่ -196 C นี้ คงเป็นการบอกอย่างดีว่ามันจะต้องเย็นสดชื่นมากๆแน่ๆ ….
แต่เปล่าเลย…. ผมเริ่มรู้สึกเมา และเวียนหัวเอามากๆ !
ผมรู้เลยครับว่า ไอ่ 8% นี่ (ที่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร) มันคือ “แอลกอฮอล์” และผมก็ไม่คิดว่ามันจะแรงขนาดนี้ฮะ บวกกับเราไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยด้วย ผมจึงรีบวิ่งหาร้านข้าวหน้าเนื้อแถวนั้น มานั่งกินอย่างรวดเร็ว เผื่อให้มันไม่เมาไปมากกว่านี้
ไอ่ข้าวหน้าเนื้อนี่ก็โคตรอร่อยเลยครับ แต่ผมก็โคตรเมา นั่งเอามือกุมขมับ เท้าคางอยู่ในร้านได้สักพักใหญ่ๆ จนคิดว่าหายเมาแล้ว… จึงออกมา
แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเลยฮะ…
ผมทนเดินจนมาถึง Roppongi hills ครับ มองกลับไปก็ยังคงเห็นโตเกียวทาวเวอร์ ที่เป็นการพิสูจน์ว่ามันไม่ได้ไกลกันมาก (แต่เพราะอากาศมันร้อนนน)
7. Roppongi Hills
ที่ผมต้องพยายามมาถึงนี่ก็เพราะ นี่เป็นอีกแลนด์มาร์คนึงที่ต้องมา และ ช่วงนี้มีโปรโมทการ์ตูน Doraemon : Stand by me ที่ญี่ปุ่นครับ โดยการนำหุ่นโดเรมอน เข้าใจว่าน่าจะขนาดตัวจริง กว่าร้อยกว่าตัวมาจัดแสดงที่นี่ฮะ

ผมจึงหาที่สงบสติอยู่แถวนั้น ด้วยการนั่งหลับไปเกือบครึ่งชม.ได้ฮะ 5555… เป็นประสบการณ์ที่เซ็งมาก และเสียเวลามาก ก่อนที่จะเดินหน้าถ่ายรูปกับโดเรมอน…
ตรง Ropponhi hills นี้ก็เป็นสถานที่ตั้งของสถานี Asahi ด้วยครับ แถวนั้นครึกครื้นไปด้วยการจัดกิจกรรมของสถานีและมีส่วนหนึ่งของอาคารที่โปรโมทภาพยนตร์โดเรมอน เดอะ มูฟวี่นี้ ทำให้มีสินค้าอะไรเกี่ยวกับโดเรมอนเต็มไปหมดเลยครับ ใครที่ชอบโดเรมอนเหมือนผมนี่ฟินไปตามๆกันฮะ
8. Shibuya
จาก Roppongi hills ไปชิบูย่า (Shibuya) ผมนั่งจากสถานี Roppongi (สาย Toei-Oedo) ไปเปลี่ยนสถานีที่ Aoyama-itchome และนั่งไปลงที่สถานี Shibuya (สาย Tokyo metro Hanzomon)
พูดถึงชิบูย่าแล้ว ผมนึกถึง ชิบูย่าโทสต์ ที่เคยไปกินที่ After you เมื่อนานมากๆแล้วครับ มันแทบจะไม่เกี่ยวอะไรกันเท่าไร แต่เป็นครั้งแรกๆที่ทำให้คุ้นกับคำนี้ แล้วก็มีอีกเรื่องที่ทำให้รู้สึกคุ้นๆ คือเรื่องราวของเจ้าหมาฮาชิโกะ… ที่ผมเคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับหมาตัวนี้ที่มาเฝ้ารอคุณหมอที่เป็นเจ้าของอยู่หน้าสถานี ทั้งๆที่คุณหมออยู่มาวันนึงได้ตายไปแล้ว… เรื่องดีมากๆครับ ออกมาจากสถานี Shibuya ประตู 8 ก็จะเห็นรูปปั้นเจ้าสุนัขตัวนี้ ที่มีคนมายืนถ่ายรูปกันอย่างต่อเนื่องเลยครับ
และนี่ก็คือสีสันยามเย็นของชิบูย่าครับ กับถนนที่เรียกว่า ยุ่งที่สุดในโลก !!

ผมไม่มีเวลามากครับ เพราะว่าวันนี้ผมมีนัดกับคนญี่ปุ่น !! ซึ่งคนที่ผมจะไปพบท่านนี้ ท่านเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่โรงเรียนม.ปลายของผมเองครับ… แผนของผมที่ว่าจะเดินทะลุจากชิบูย่า (Shibuya) ไป ฮาราจูกุ (Hatajuku) และจบที่ชินจูกุ (Shinjuku) รวดเดียวนี้ เกรงว่าจะไม่ทันนัดครับผม
ผมเดินมาตามแผนที่ ที่จะขอได้เที่ยวฮาราจุกุสักแปป ก็มาหยุดๆ เพราะคุ้นกับเสียง เหมือนได้ยินเสียงคนไทยครับ
ใช่แล้วครับ ผมมาเจอกับนักร้องเสียงดี(ที่ผมไม่รู้จัก) เธอชื่อ ยิ้ม สุทธิดา กับแม่ยกแฟนคลับอยู่หน้าเวทีพอสมควรครับ บริเวณลานตรงนี้เต็มไปด้วยพื้นที่ขายอาหารไทย และสินค้าจากประเทศไทย ทำผมตกใจเหมือนกัน อะไรจะมาบังเอิญมาจัดวันที่ผมมาเที่ยวญี่ปุ่นพอดี มีเวลาเดินดูอยู่แปปเดียวครับ
9. Harajuku
เดินมาจนถึงฮาราจุกุ (Harajuku) ครับ อีกย่านท่องเที่ยวนึงเลย และเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเมจิที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งวันนี้ด้วยเวลาที่จำกัด ทำให้ผมต้องเปลี่ยนแผนไปก่อน ผมจึงต้องนั่งรถไฟจากที่ Harajuku ไปลงที่ Shinjuku (แม้ว่าจะห่างกันแค่สถานีเดียว)
10. Shinjuku
และแล้วผมก็มาถึงชินจูกุครับ ระหว่างที่รออาจารย์ก็มีการแสดงดนตรีให้ดูแถวๆนี้ บรรยากาศดูครึกครื้นดีครับ ยามเย็นแบบนี้ มีแฟนคลับ? และผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้น มาหยุดชมการแสดงดนตรีสดๆนี้ด้วยฮะ มาขอลายเซ็นต์ก็มี เป็นถนนชิวๆอีกแห่งก็ว่าได้ครับ
และแล้วก็ถึงเวลาครับ ผมมาพบกับ อาจารย์ยูริ ซึ่งเป็นอาจารย์อาสาสมัครเข้ามาสอนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียนมัธยมของผมเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ผมได้รู้จักกับอาจารย์ ตอนที่เข้าไปขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับทุนรัฐบาลญี่ปุ่น แม้ว่าอาจารย์จะไม่เคยได้สอนผม แต่อาจารย์ก็หาข้อมูลมาให้อย่างดี แถมเอาปากกาไฮไลท์ ขีดส่วนสำคัญๆไว้ให้ผมอีก ผมจำวันนั้นได้ดีเลย คงเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความจริงใจของคนญี่ปุ่น แม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้เจออาจารย์ยูริ แต่วันนี้อาจารย์ก็น่ารักๆมาก และเสียสละเวลามาร่วมทานข้าวกับผมวันนี้ครับ ~ วันนี้ผมและอาจารย์มาเจอกันที่ชินจูกุครับ อาจารย์พามาทาน เทมปูระ ที่เรียกว่า อร่อยเหาะอย่าบอกใคร!

อาจารย์เล่าให้ผมฟังถึงความทรงจำดีๆเกี่ยวกับประเทศไทย ในช่วงสมัยที่อาจารย์มีโอกาสมาสอนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียนผมครับ อาจารย์เล่าว่า อาจารย์มีโอกาสได้สอนนักเรียนที่มีความพิการทางสายตา ซึ่งอาจารย์บอกว่านับว่าเป็นครั้งแรกและเป็นความท้าทายมากๆ อาจารย์เขียนอีเมลส่งไปขอความช่วยเหลือจากทางญี่ปุ่นให้ส่งแบบเรียนสำหรับผู้พิการทางสายตาที่เป็นอักษรเบลล์มาให้ และสานต่อจนมาเป็นงานวิจัยที่อาจารย์กำลังเรียนอยู่ขณะนี้ด้วย
ทึ่งมั้ยล่ะครับ? ผมได้ฟังเรื่องราวที่สุดแสนอบอุ่นนี้ ก็ทำผมอดยิ้มไม่ได้จริงๆเลยครับ อาจารย์ยูริ เป็นอาจารย์ที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูจริงๆ คุยไปกินไป อาจารย์ก็โชว์ส่วนหนึ่งของงานนำเสนอของอาจารย์เกี่ยวกับการสอนภาษาญี่ปุ่นให้ผู้พิการทางสายตาให้ผมดูด้วย…. ผมเองก็เซอร์ไพรส์อาจารย์กลับด้วยเรื่องราวดีๆเช่นกันครับ ผมหยิบชีตภาษาญี่ปุ่นที่อาจารย์เคยให้กับผมไว้ตั้งแต่สมัยผมเรียนอยู่ที่มัธยมขึ้นมา
เมื่อครั้งที่แล้วที่ผมกลับไทย ผมไปค้นเจอชีตนี้โดยบังเอิญในตู้หนังสือ และผมก็หยิบมันมาด้วยที่เกาหลี ด้วยความหวังว่าสักวันผมจะมีโอกาสได้หยิบมันมาศึกษาด้วยตัวเอง .. สุดท้ายเจ้าชีตที่ไม่ได้ผ่านการขีดเขียนใดๆของผมเลยนี้ ก็กลับมาหาอาจารย์ยูริที่ร้านเทมปุระร้านนึงในชินจูกุแห่งนี้… อาจารย์ยูริที่เห็นชีตนี้ครั้งแรก อาจารย์บอกกับผมว่า “อ้าว เธอเรียนชีตนี้ด้วยเหรอ ใช้เล่มเดียวกันเลย” ก่อนที่ผมจะบอกว่า “จริงๆแล้วอาจารย์เป็นคนให้ชีตผมนี้มาเองครับ 🙂 อาจารย์จำได้หรือเปล่า นี่ผมเขียนวันที่ที่ได้รับไว้ข้างชีตด้วย” อาจารย์ยูริตกใจ และยิ้มไม่หุบเช่นเดียวกันกับผมเลย อาจารย์ดีใจมาก และบอกผมว่า “โอ้ อาจารย์จำไม่ได้จริงๆ นี่มันนานมากแล้วนี่” ผมบอกกับอาจารย์ว่า “ไม่มีอะไรนอกจากที่ผมจะบอกว่าขอบพระคุณอาจารย์จริงๆ” บทสนทนาของผมกับอาจารย์จึงเป็นอะไรที่วิเศษสำหรับการเดินทางในญี่ปุ่นครั้งนี้มากๆครับ
กลับมาที่เรื่องอาหารที่ผมจะไม่พูดก็ไม่ได้ครับ 55 (เปลี่ยนบรรยากาศเร็วเหลือเกิน) เพราะร้านนี้อาจารย์ยูริแนะนำมา ว่าเป็นอีกร้านอร่อยในย่านชินจูกุเลยครับ ใครที่มองหาร้านอร่อยในชินจูกุ ทุกท่านไม่ควรจะพลาดกับร้านนี้ครับ Shinjuku Tsunahachi So-honten ร้านนี้หน้าร้านเขียนไว้ด้วยภาษาญี่ปุ่นครับ บรรยากาศก็เต็มไปด้วยลูกค้าต่อแถวกันยาวพอสมควร กฏของร้านมีห้ามถ่ายรูป ผมจึงไม่สามารถถ่ายมาได้เยอะตามมารยาทครับ
ร้านนี้ได้รับการรีวิวจากนักท่องเที่ยวมากมายครับ เทมปุระที่ทอดมาใหม่ๆ นำออกมาจากกระทะ ซับมัน แล้วมาเสิร์ฟให้ถึงที่โต๊ะ หากใครที่อยากทานเทมปุระเมพๆ ในโตเกียวนี้ ห้ามพลาดร้านนี้เป็นอันขาดเลยครับ !! [แผนที่] [รีวิวใน Trip Advisor]
เรื่องราวในค่ำคืนสุดท้ายในโตเกียวก็ต้องจบไว้เพียงเท่านี้ครับ ในวันพรุ่งนี้เย็นผมก็จะต้องเดินทางเตรียมตัวกลับไปที่โอซาก้าแล้วครับ
Ueno
ผมใช้เวลาวันใหม่ในวันใหม่ที่โตเกียวนี้ ทั้งเช้าไปกับการเจอกับเพื่อนคนไทย “บอมบ์” นักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ที่แนะนำร้านทาน อูนางิ (Unagi) หรือ ปลาไหลญี่ปุ่น อร่อยๆแถวๆย่าน Ueno ให้ได้ทานครับ ปลายเดือนกรกฎาคม ของทุกปีเป็นเทศกาลทานอุนางิ หรือปลาไหลของที่ญี่ปุ่นด้วยครับ แต่เพื่อนๆที่ญี่ปุ่นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ช่วงนี้อูนางิจะเริ่มหายากและไม่ค่อยให้มีการให้ล่ามากเท่าไรแล้วครับ หากราคาของอูนางิถูกมากก็จะเป็นอูนางิที่นำเข้ามาจากประเทศอื่นครับ
ร้านที่บอมบ์พามา เป็นร้านนึงในซอยเล็กๆทางไปสถานีอุเอะโนะ (Ueno) ครับ ซึ่งหน้าร้านเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย ราคาของปลาไหลก็มีให้เลือกตามไซส์ตั้งแต่ 500 ถึง 2,000

ก่อนเดินทางกลับ ผมนำสัมภาระไปใส่ล็อกเกอร์ที่อู่รถบัส Willer Express ครับ และมีโอกาสได้เดินเที่ยวเก็บบรรยากาศสวยๆของเมืองโตเกียวที่จุดชมวิว (Observation desk) ใน ศาลาว่าการกรุงโตเกียว หรือ Tokyo Metropolitan Government Building ครับ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่ท่านสามารถชมวิวได้ทั่วเมือง และที่สำคัญคือ ฟรี ครับ ! [แผนที่ทางไปศาลาว่าการกรุงโตเกียว]
เวลาในช่วงบ่ายยังพอเหลืออยู่บ้างครับ ผมตัดสินใจเดินจากชินจูกุ (Shinjuku) ไปยังฮาราจุกุ (Harajuku) ซึ่งใช้เวลาเดินกันพอสมควรเลย เพื่อที่จะไปขอพรที่ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji jingu) ซึ่งเป็นอีกศาลเจ้าที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในญี่ปุ่นครับ แต่ฝนก็ตั้งเค้า และแน่นอนครับ มีฝน มีเสียงฟ้าร้อง เป็นอะไรที่ผมไม่สามารถจะอดทนได้นานจริงๆครับ (กลัวเสียงฟ้าร้อง) จึงรีบๆวิ่งมาที่ศาลเจ้าเมจิและหลบฝนอยู่ที่นี่สักพักได้ล่ะครับ

จนถึงกระทั่งมั่นใจว่าฟ้าจะไม่ร้องแล้วนั่นล่ะครับ ผมจึงออกมาและเที่ยวในฮาราจุกุต่อสักแปปครับ ก็ได้ขนมจากที่ฮาราจุกุมาเป็นของฝาก และกลับไปขึ้นรถที่ชินจุกุครับ การเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้า ด้วยรถบัสกลางคืน ผมเขียนไว้ในบล็อก ตอนนี้ แล้วครับ !
กลับมาที่โอซาก้า
ผมใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการนอน การเดินทางในโตเกียวในหน้าร้อนนี่ไม่อึด ไม่ถึกนี่ ลำบากเลยล่ะครับ… ชาร์จพลังเต็มที่แล้วตัดสินใจไปหาอะไรทานกับเพื่อนในโดทงโบริ (Dotonburi) ครับ

ก่อนที่ครอบครัวของเพื่อนผมจะพาไปทานมื้อพิเศษส่งท้ายค่ำคืนที่นี่ครับ ระหว่างเดินทางคุณแม่ของเพื่อนก็แซวว่า แอบดำขึ้นเยอะเลย หลังจากที่ไปเที่ยวโตเกียวมา ก็ได้แต่บอก(เพื่อนให้แปลให้แม่ฟังเพื่อนฟังอีกที)ว่า แดดโตเกียวร้อนมว้ากกกฮะ

ผมขออภัยสำหรับท่านที่ไม่ทานเนื้อด้วยครับ…. สำหรับผู้ที่ทาน นี่มันคือเจ๋งมากๆ ครับ ดูจากชื่อเสียงของร้านนี้จากภาพที่เจ้าของร้านถ่ายกับดารามากมาย ผมเองไม่เห็นเมนู และไม่มีโอกาสได้เห็นราคา จึงไม่ทราบว่าเท่าไร แต่ก็แอบถามเพื่อน เพื่อนผมก็ได้แต่บอกว่า “หึหึ มันพิเศษมากเลย บอกแกไม่ได้หรอก !” ทำผมใจไม่ดีเลยครับ ว่าจะเลี้ยงอะไรเค้าเมื่อตอนเค้าจะไปเที่ยวที่ไทย… ตำแหน่งที่ร้าน สำหรับคนต้องการจะไปโดน ยากินิกุ ที่อร่อยๆเด็ดๆโดนๆ ในโอซาก้า ผมไปหาตำแหน่งมาให้แล้วครับ ! [แผนที่]
สิ่งที่ผมต้องการนำเสนอจากบล็อกทุกตอนในการเดินทางที่ญี่ปุ่นนี้ หลักๆคงเป็นการนำเสนอแผนการเดินทางของผม และรวบรวมข้อมูลที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่นครับ และอีกมุมมองหนึ่ง ที่ผมอยากนำเสนอ คือ เรื่องราวของคนญี่ปุ่นด้วย ผมรู้สึกถึง “ความอบอุ่น ความจริงใจ ของคนญี่ปุ่น” จากบล็อกหลายๆตอน ก็อาจจะทำให้คุณผู้อ่านหลายๆท่านรู้สึกร่วมไปกับผมด้วยเช่นกัน
การเดินทางตลอดระยะเวลาเกือบสองอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นในหน้าร้อนนี้ จึงเต็มไปด้วยประสบการณ์ดีๆที่เพื่อนผมหลายๆคนที่ญึ่ปุ่นได้มอบให้ เป็นบล็อกที่เรียกว่าเขียนกันข้ามปีเลยทีเดียว เรื่องราวที่นี่มันยาวจนผมแทบอยากจะตัดจบไปในบางตอนเสียด้วยซ้ำไป แต่ประสบการณ์ดีๆแบบนี้ ผมตัดสินใจขอใช้เวลาเล่ามันจนจบ และนี่ก็เป็นตอนสุดท้ายของการเดินทางในญี่ปุ่นครับ

แล้วกันใหม่ในตอนหน้าครับ ~
สวัสดีปีใหม่ 2558 ครับผม !!
ติดตามกันต่อ? กับตะลุยเรื่องราวในญี่ปุ่น ฉบับให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว !
ตอนที่ 1 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โอซาก้า เกียวโต“
ตอนที่ 2 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โกเบ ซากาอิ“
ตอนที่ 3 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โตเกียว คามากุระ”
ตอนที่ 4 : ตะลุยเดี่ยว เที่ยวเองใน “โตเกียว” ตอนที่ 1 :
>> นั่งบัสจากชินจูกุไปชมภูเขาไฟฟูจิที่คาวากูชิโกะ , อิเคบุคุโระ , อาซากุสะ, อะกิฮะบะระ, อุเอะโนะ, Asahi Superdry Hall
ตอนที่ 5 : ตะลุยเดี่ยว เที่ยวเองใน “โตเกียว”ตอนที่ 2 :
>> เที่ยวเอง 1 วันในโตเกียว ตลาดปลาสึคิจิ (Tsukiji Market), กินซ่า (Ginza), Tokyo Station, Tokyo Imperial Palace (พระราชวังโตเกียว), Tokyo Tower, วัด Zojo (Zojo-ji), Roppongi Hills, Shibuya, Harajuku, Shinjuku, Ueno