ดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่ 3 ของการเดินทางในญี่ปุ่นหน้าร้อนกับผมเฟรมคุงครับ วันนี้เราจะพาทุกท่านมุ่งหน้าจากโอซาก้าสู่โตเกียว การเดินทางครั้งนี้ผมเดินทางด้วยไนท์บัส ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของผมที่ต้องนั่งรถระยะเวลายาวนานแบบนี้เช่นกัน (แม้แต่ในไทยก็ยังไม่มีโอกาสได้นั่งรถนานระดับที่ต้องนอน) แต่พอได้นั่งก็พบว่าสะดวกสบายครับ ใช้เวลาเดินทางเกือบ 9 ชม.จากโอซาก้าไปชินจูกุ โตเกียว สำหรับการจองรถบัสกลางคืนนั้นผมจะเขียนรายละเอียดไว้ในครั้งต่อไปครับ…
ผมออกจากสถานีนัมบะ (Namba) โอซาก้า นั่งรถชัตเติลบัสไปเปลี่ยนรถที่สถานีรถของบริษัท Willer (บริษัทรถบัส) ที่ Umeda Sky Tower เริ่มออกเดินทาง 5 ทุ่มครึ่งครับ มาถึงที่ชินจูกุประมาณ 08.40 น.
ผมมีนัดกับเพื่อนที่โตเกียวครับ วันนี้จะเป็นคราวของเพื่อนผมอีกคน (ที่มีโอกาสได้พูดถึงเมื่อคราวที่แล้ว คนที่โทรมาสั่งอุด้งจากโตเกียวให้ผมทาน) จะเป็นคนนำเที่ยวในวันนี้ครับ เพื่อนผมมีโอกาสได้ไปตะลุยหาร้านอร่อยๆทั่วโตเกียว และครั้งนี้เค้าก็แนะนำผมมาว่า มีร้านซูชิร้านนึงที่ “อร่อยที่สุดเท่าที่เค้าเคยทานมา !” ผมได้ยินคำนี้แล้วก็ทึ่งครับ คนญี่ปุ่นว่าเป็นร้านซูชิที่อร่อย มันก็คงต้องอร่อยมากๆ ได้แต่นับวันรอ เพราะเค้าเล่นจองล่วงหน้าก่อน 2 อาทิตย์ครับ และเค้าก็บอกผมอีกว่า ถ้าไม่ได้จองก็ไม่มีโอกาสได้มา และอีกครู่เดียว ผมก็จะได้เจอกับเค้าแล้ว ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน เราไม่ได้เจอกันอยู่นานพอสมควร ผมรู้จักเค้าตอนที่เค้ามาเรียนภาษาเกาหลีอยู่ที่เกาหลี และตอนนี้เค้าก็เดินทางกลับไปทำงานที่ญี่ปุ่น
รถบัสมาจอดที่สถานีบัสแถวๆสถานีชินจูกุครับ ระหว่างรอเวลาเจอเพื่อนนี้ ผมก็ได้เดินสำรวจบริเวณถนนชินจูกุ แม้ว่าจะทำการบ้านเรื่องเส้นทาง มาจากการอ่านหนังสือบ้าง แต่พอมาเดินเอาเข้าจริงๆ ก็เห็นแต่ตึกรามบ้านช่องที่สูงเด่นระฟ้าพาตัวผมให้ดูเล็กลงไปนั้น แทบมองไม่ออกครับว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ถนนข้างหน้านี้จะมีอะไร ผมก็ได้แต่เดินวนพร้อมกับแบกสัมภาระของผมไปด้วยตลอดเวลา (แม้ว่าจะฝากล็อกเกอร์ที่มีอยู่เต็มไปหมด แต่ค่าฝากก็เป็นค่าข้าวได้มื้อนึงครับ เลยยอมถือ) ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว ผมจึงเข้าไปนั่งพักตากแอร์ในห้างก่อนจะเดินออกมาเจอเพื่อนผมที่สถานีโตเกียวครับ
ผมถึงสถานีโตเกียวก่อนเวลานิดนึงครับ กันหลง ผมก็คิดว่ามาถึงสถานีแล้วจะได้เจอเพื่อนเลย แต่ไม่ครับ ผมแอบรอเพื่อนอยู่นานเลยทีเดียว ก่อนตัดสินใจติดต่อเพื่อนไป ก็พบว่าสถานีโตเกียวนี้มันมีหลายสายมาก และแต่ละสายมันก็ไม่ได้อยู่ติดกันซะด้วย (อันนี้ไม่เหมือนเกาหลี) ทำให้ผมต้องเดินตามหาเพื่อน (เอ๊ะ ตกลงใครควรเดินตามหาใคร !?!?) จนมาเจอกันในที่สุด เรานัดเจอกันและมุ่งหน้าไปยังร้านซูชิที่เราอุตส่าห์จองไว้ลวงหน้านี้ครับ

ร้านซูชินี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีโตเกียว (Tokyo station) ครับ เดินออกมาทางประตูทิศใต้ (South gate) ฝั่ง JR Marunouchi ใครที่สนใจไปตามรอย ก็คลิกลิงก์นี้เพื่อดูวิธีการเดินทางแบบ Step-by-step ได้เลยครับ อ้อ ร้านนี้ชื่อว่า “Mantenzushi” ครับ พบว่าร้านนี้อยู่ในอาคารใหญ่เลย ร้านไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ที่เป็นโต๊ะแยกและเคาน์เตอร์
เข้าไปในร้าน เชฟก็เริ่มต้นด้วยการทักทายลูกค้าก่อนที่จะเริ่มปั้นซูชิให้พวกเราทานครับ มีเครื่องเคียงเป็นขิงดอง และซุปที่รสชาติแอบแปลกมาก แต่มันกลมกล่อมมากๆ เสิร์ฟพร้อมกันครับ
สำหรับเมนูปลาดิบ ผมไม่ถนัดเรื่องชื่อจริงๆ แต่ก็ต้องบอกล่ะครับว่ามันอร่อยสมคำล่ำลือ T_T
กินหมดไปคำนึง เค้าก็จะปั้นชิ้นใหม่ให้เราทานเป็นลำดับๆไปครับ เชฟก็อัธยาศัยดีมาก ปั้นไปด้วย อธิบายชื่อปลาไปด้วย รวมไปถึงอธิบายวัตถุดิบต่างๆที่ใช้ ข้างหน้าเคาน์เตอร์ก็จะเป็นตู้เย็นที่เก็บปลาและวัตถุดิบต่างๆครับ เชฟก็จะเปิดเอามาทำให้ทานสดๆตรงนั้นเลย จุดเด่นของร้าน “Mentenzushi” คงเป็นการเลือกใช้ปลาเฉพาะในฤดูนั้นๆ เพื่อความสด และอร่อยครับ
ในเซ็ตอาหารกลางวัน (Lunch set) นี้อยู่ที่ ¥3,000 รายการอาหารออกมาประมาณ 14 รายการด้วยกัน ดูเหมือนเล็กๆแบบนี้แต่ก็อิ่มชนิดว่ากินอะไรเพิ่มไม่ไหวล่ะครับ ^^
จากเราไปกันต่อครับ เมื่อสักครู่นี้ผมออกมาจากสถานีโตเกียวด้วยความรีบเร่ง จนไม่ได้มีเวลาแม้กระทั่งย้อนมองกลับไป ก่อนที่ผมจะเดินกลับไปอีกครั้ง เป็นภาพที่สวยงามมากครับ ภาพนี้จริงๆที่เกาหลีก็มีให้เห็นกับสถานีโซล (Seoul station) เช่นเดียวกัน กินเสร็จผมเองก็ขอไปเก็บสัมภาระที่โรงแรม ก่อนที่จะลุยต่อครับ

Sakura Ikebukuro Hotel
ที่พักในโตเกียว “แรก” ของผมครั้งนี้ เป็นที่ อิเคบุคุโระ (Ikebukuro) ครับ ผมจองผ่านเว็บขาประจำอย่าง Booking.com ที่ใช้บริการมาตั้งแต่ครั้งที่แล้ว เนื่องจากว่าผมไม่รู้เส้นทางในโตเกียวเลยแม้แต่น้อยครับ ตัวเลือกที่สนใจแรกๆจึงเป็นราคาบวกกับเดินทางในหน้าร้อน ผมจึงอยากพักสบายหน่อยครับ อากาศร้อนๆกลับมานอนในห้องที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศคงทำให้พาลอารมณ์เสียเอาได้ง่ายๆ จึงมองหาโรงแรมระดับกลางๆ ขอนอนสบายสัก 3 คืน แล้วลองเปลี่ยนบรรยากาศนอนแบบ Hostel ที่นอนรวมใน 2 คืนสุดท้าย เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย + อยากลองดูว่าจะสะดวกสบายแค่ไหนด้วย โรงแรมที่ผมค้นหาเจอสำหรับพัก 3 วันแรก เป็นที่ โรงแรมซากุระโฮเต็ล (Sakura Hotel Ikebukuro) ซึ่งราคากลางๆพอใช้ได้สำหรับผมครับ ตกคืนละ ¥7,000 (2,100 บาท) ข้อดีของที่นี่คือ ติดกับย่านเที่ยวในอิเคบุคุโระ (Ikebukuro) ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีอิเคบุคุโระ (Ikebukuro) ที่เดินทางไปยังสถานีอื่นๆได้ค่อนข้างสะดวก สำหรับผมถือว่าสะดวกในเรื่องการเดินทางมากๆครับ


ที่นี่มี Wi-Fi, เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ,ห้องครัวไว้บริการครับ พนักงานสุภาพเรียบร้อยและพูดภาษาอังกฤษได้
Sangen-jaya
วางของเสร็จเรียบร้อยแล้วเราออกไปหาอะไรเย็นๆกินกันครับ เพื่อนผมจะชอบแวะร้านน่ารักๆ เค้าจึงชวนผมไปกินน้ำแข็งใส ไกลจากโรงแรมมาหน่อย ย่านนี้เรียกว่า Sangen-jaya ครับ การเดินทางก็ลงที่สถานี Sangen-jaya เลยครับ แล้วเดินตรงมาเรื่อยๆ เข้าซอยมาตามแผนที่ ก็จะมาเจอกับร้านน้ำแข็งใสแห่งนี้ชื่อว่า “Kanna kitchen” ครับ
คนค่อนข้างเยอะสำหรับวันนี้ ยืนรอคิวประมาณ 10 นาทีได้
เมนูที่สั่งเป็นน้ำแข็งใส (Kakigori) หน้ายอดนิยมอย่างถั่วแดง และอีกอันเป็นที่พวกเราอยากลองทาน คือ เผือกครับ
น้ำแข็งใส ตัวน้ำแข็งไม่ละเอียด (เข้าใจว่าเป็นสไตล์ของน้ำแข็งใสญี่ปุ่น) เป็นปุยวางเป็นชั้นๆ ข้างล่างเข้าใจว่าเป็นนม อร่อยใช้ได้ครับ มันละลายเร็วมาก เนื่องจากอากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวเหลือเกินฮะ ใครที่สนใจมาทานน้ำแข็งใสที่นี่ ก็ไปตามรอยกันได้จากลิงก์นี้ครับ สนนราคาอยู่ที่ถ้วยละ ¥700
ก่อนที่จะร่ำลากับโอโดยังและเราจะมาเจอกันอีกพรุ่งนี้ ในทริปการเดินทางที่คามาคุระ (Kamakura) ครับ ^^
Kamakura
ผมใช้เวลาช่วงเช้าสำรวจแถบอิเคบุคุโระ (Ikebukuro) บริเวณโรงแรมของผมครับ ก็พบว่าย่านนี้เป็นอีกย่านนึงที่แออัดพอสมควร แบ่งออกเป็นหลายส่วน หลายทิศ อย่างบริเวณตู้เกม ร้านหนังสือการ์ตูน แออัดๆหน่อย ก็จะเป็นฝั่งประตูทิศตะวันออกครับ ทางฝั่งตะวันตกจะเป็นฝั่งโรงแรมของผมเอง มีห้าง และสถานบันเทิง เรียกว่าเที่ยวได้เพลินเลยล่ะครับ
ด้วยความไม่เชี่ยวชาญเรื่องเส้นทางอย่างผม จึงต้องแอบไปก่อนเวลานิดนึงครับ ผมนัดกับโอโดยังเพื่อนของผมที่สถานีโยโกฮาม่า (Yokohama) แล้วนั่งรถไฟมาลงที่สถานีคามาคุระ (Kamakura) ครับ

ห่างจากสถานีไปประมาณไม่กี่กิโลเมตรก็เป็นหาดแล้วครับ ไม่แปลกใจที่ผมจะเห็นคนแต่งตัวสบายๆ กางเกงขาสั้น แว่นกันแดด มาเล่นน้ำทะเลกัน และวันนี้ที่พิเศษกว่าทุกวันที่ผมได้เห็นคนใส่ชุดยูกาตะ (Yukata) ชุดลำลองซึ่งนิยมใส่กันในหน้าร้อน มาเดินเล่นกันบริเวณหาดซึ่งเป็นสถานที่จัดงานพลุประจำปี ทำให้วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษครับ

ระหว่างทางเดินไปหาดก็จะเห็นร้านค้าเล็กๆแบบนี้มากมาย บรรยากาศของร้านค้าริมหาด น่ารักๆแบบนี้ล่ะครับ
เรากำลังจะไปหาอะไรทานสำหรับมื้อเที่ยงนี้กันครับ เพื่อนผมก็เปิดเว็บหาร้านอร่อย ซึ่งผมก็ค่อนข้างนับถือในความสามารถในการหาร้านอร่อยของเพื่อนผมคนนี้มาก เค้าหาเสร็จแล้วยังไม่พอ ยังมีการโทรศัพท์เข้าไปเช็คที่นั่งในร้านอีกด้วย ! เรามาแวะจอดกันที่ร้านชื่อว่า “Wave” เพื่อทานมื้อเที่ยงครับ (ร้านอยู่ทางผ่านไปหาด Zaimokuza)


ภายในร้านขนาดไม่ใหญ่มาก มีเก้าอี้ให้นั่งเป็นเคาน์เตอร์ครับ เมนูที่แนะนำของที่ร้านนี้เป็น “Tsukemen” ซึ่งเป็นราเม็ง เสิร์ฟพร้อมกับน้ำซุปไก่เข้มข้น ให้เรานำเส้นเหนียวนุ่มมาจุ่มน้ำซุปนี้ อูมามิ อร่อยกลมกล่อมครับ มีข้าวเสิร์ฟเพิ่มด้วย (เผื่อใครที่ยังเหลือน้ำซุปอยู่ก็เททานกับข้าว) และไอศกรีมครับ สนนราคาตามไซส์ปกติอยู่ที่ ¥880 ครับ
ทานกันเสร็จแล้ว เพื่อนผมกะว่าจะพาไปทานในร้านอีกแห่งนึงซึ่งก็ได้สำรวจเส้นทางไว้แล้ว แต่เนื่องจากวันนี้ที่หาดมีเทศกาล ทำให้ร้านค้าหลายๆร้านปิดเร็วกว่าปกติครับ แต่ใจผมเมื่อมาถึงคามาคุระแล้ว ยังไงก็ต้องขอให้ได้ไปชมพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุด (ผมไม่แน่ใจว่าในญี่ปุ่นหรือเปล่า) แต่เอาเป็นว่า พระพุทธรูปไดบุทสี (Daibutsu) ที่คามาคุระนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการมาญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ครับ ผมจึงตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆ จนหาสถานที่ขึ้นรถเมล์จากแถวๆนั้นไปบริเวณวัดไดบุทสีครับ
บริเวณรอบวัดก็จะได้บรรยากาศอีกแบบนึงแตกต่างจากบริเวณสถานีเมื่อสักครู่นี้ครับ คือได้บรรยากาศเก่าๆหน่อย พื้นที่นี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ จนเพื่อนผมแอบงงเลยว่าไม่มีคนญี่ปุ่นเลยหรือไง ค่าเข้าชมวัดอยู่ที่ ¥200 ครับ

หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว เพื่อนของผมยังคงพยายามที่จะไปร้านคาเฟ่อีกร้านที่ดูไว้ในเน็ต แต่ด้วยเวลาคงไม่สามารถไปถึงนั่นก่อนปิดรับออเดอร์ได้ จึงตัดสินใจหาร้านนั่งแถวๆนี้ครับ ระหว่างทางเดินกลับไปสถานีเราก็ไปเจอร้านน้ำแข็งใส (อีกแล้ว) ความน่ารัก น่านั่งของร้านนี้ก็ทำให้เพื่อนผมสะดุด และแวะจอดที่ร้านนี้จนได้ ครับ เพื่อนผมแพ้ของน่ารักๆ
ร้านนี้ชื่อว่า “Vuori” ครับ บรรยากาศในร้านก็อบอุ่นๆน่านั่ง มีเมนูของหวานตั้งแต่น้ำแข็งใส ยันไอศกรีม และเครื่องดื่ม อะไรที่เป็นของขายดีประจำร้านโอโดยังจะสั่งมาทานครับ ซึ่งพนักงานก็บอกว่าเป็นน้ำแข็งใสเป็นหน้าถั่ว…. อะไรสักอย่างครับ กับไอศกรีมชาเขียว
ก่อนที่เราจะพูดคุยกัน ผมกับโอโดยังเจอกันที่เกาหลีแค่ 3 ครั้งเท่านั้นเองครับ แต่โอโดยังเป็นคนที่นิสัยน่ารัก และบิงโกตรงที่ชอบทานอาหารไทยมาก เคยเข้าไปดูในอินสตาแกรมเค้าช่วงแรกๆ ก็พบว่าเค้าเล่นทานอาหารไทยหลากหลายมาก (ที่ญี่ปุ่น) และจู่ๆเค้ามาเกิดชอบความควีโยมิอะไรของผมไม่ทราบ ทำให้ได้ติดต่อกันมาเรื่อยๆ ก่อนที่เราจะมาเจอกันอีกครั้งที่โตเกียว ซึ่งเป็นความฝันของผมที่จะมีคนมาไกด์เส้นทางในโตเกียว เป็นคนญี่ปุ่น โอโดยังทำงานเป็นแอร์สายการบินนึงในญี่ปุ่นครับ เวลาที่เธอไปลงที่ไหน เธอก็จะไปตระเวนหาร้านอร่อยๆแถวนั้น และร้านทุกร้านก็จะเป็นสไตล์น่ารักๆแบบนี้ ผมบอกกับเค้าว่า ผมอิจฉาเค้ามาก ถ้าผมมีโอกาสได้ทำแบบนั้น ในบล็อกของผมคงเต็มไปด้วยเรื่องของกินแน่เลย ผมถามเค้าต่อไปว่า “รู้สึกยังไงกับสิ่งที่เค้าทำอยู่” เค้าตอบผมว่า “เค้าเองก็รู้สึกชอบสิ่งที่เค้าเป็นอยู่และสิ่งที่เค้าทำอยู่เช่นกัน” ผมที่คาดหวังว่าเค้าจะต้องพูดอะไรมาบ้างว่า “เหนื่อย” หรือ “ยาก” แต่เค้ากลับตอบมาแบบนี้อย่างไม่ฝืนคำพูดและยิ้มตอบผมมาดื้อๆแบบนั้น ก็ทำให้ผมอดยิ้มตามเค้าไม่ได้ ดีใจที่เค้ารู้สึกสนุกกับสิ่งที่เค้าทำอยู่และเรื่องราวของเขาก็ทำให้ผมกลับมาคิดหาความสุขที่อยู่รอบตัวของผมบ้างเช่นกัน
จนเย็นๆแล้วเราเดินกลับกันมาที่สถานีคามาคุระครับ อีกฝั่งนึงของสถานีมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆอยู่เยอะเลย ยิ่งเย็น คนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งชุดยูกะตะมางานพลุที่นี่วันนี้ ผมเกรงว่าเราจะกลับกันยาก เลยขอปลีกไปหาอะไรกินก่อนกลับโตเกียวนิดหน่อย พวกเราที่เพิ่งทานน้ำแข็งใสก็ไปเจอเจลาโต้อีกครับ … แน่นอนว่าโอโดยังไม่พลาด!! ร้านนี้ขายโดยชาวอิตาลีที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ ดูๆแล้วลูกค้าประจำเค้าคงเยอะน่าดูเลยครับ เพราะเห็นมีการพูดคุยกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง แนะนำรสชาติ ทันทีที่ผมนำขึ้นอินสตาแกรมก็พบว่ามีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่อัพรูปภาพเจลาโต้จากร้านนี้ ร้านนี้มีชื่อว่า “Gelateria il brigante” ครับ ใครจะไปตามรอยให้เข้าไปดูแผนที่ได้จากเว็บนี้เลยยย..
รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เอามากๆครับ ผมสั่งเป็นผลไม้ชนิดนึง (ซึ่งผมจำไม่ได้) รสชาติออกเปรี้ยว มีกลิ่นหอม อร่อยมากๆครับ (แต่แอบแพงไปนิด T_T ) ถือเป็นอีกร้านนึงที่มีชื่อเสียงครับ (ผมแอบเช็คเรตติ้งให้แล้ว) ใครที่ชอบทานเจลาโต้ลองหาโอกาสมาทานดูนะครับ
ก่อนทีเราต่างจะเดินทางแยกย้ายกันกลับครับ เช็คเส้นทางแล้วพบว่า เรากลับทางเดียวกัน…. หากแต่ว่า….คนละขบวน !! ซึ่งโอโดยังที่ไม่ได้เช็คว่าผมจะต้องนั่งขบวนไหน โอโดยังก็ได้ทิ้งงานไว้ให้ผมล่ะครับ เพราะเมื่อผมนั่งไปสักพักแล้ว ก็เริ่มรู้สึกไหวตัวทัน รู้สึกเหมือนทำไมมันยังไม่ถึงสักที ทำให้ผมต้องเปลี่ยนสาย ขบวนกลางคัน (แล้วนึกสภาพคนที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น มานั่งไล่หาสายที่จะนั่งกลับไปสถานีอื่น) กลับบ้านดึกกันไปเลยครับวันนั้น โชคดีที่ยังทันขบวนรอบสุดท้าย ถือซะว่าเป็นการซ้อมเที่ยวโตเกียวพรุ่งนี้ละกันครับ
แล้วเจอกันวันถัดไปครับ วันพรุ่งนี้จะเป็นการเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองของผมในโตเกียวแล้ว จะเป็นอย่างไรนั้น อย่าลืมติดตามกันตอนต่อไปนะครับ 🙂
ติดตามกันต่อ? กับตะลุยเรื่องราวในญี่ปุ่น ฉบับให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว !
ตอนที่ 1 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โอซาก้า เกียวโต“
ตอนที่ 2 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โกเบ ซากาอิ“
ตอนที่ 3 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โตเกียว คามากุระ”
ตอนที่ 4 : ตะลุยเดี่ยว เที่ยวเองใน “โตเกียว” ตอนที่ 1 :
>> นั่งบัสจากชินจูกุไปชมภูเขาไฟฟูจิที่คาวากูชิโกะ , อิเคบุคุโระ , อาซากุสะ, อะกิฮะบะระ, อุเอะโนะ, Asahi Superdry Hall
ตอนที่ 5 : ตะลุยเดี่ยว เที่ยวเองใน “โตเกียว”ตอนที่ 2 :
>> เที่ยวเอง 1 วันในโตเกียว ตลาดปลาสึคิจิ (Tsukiji Market), กินซ่า (Ginza), Tokyo Station, Tokyo Imperial Palace (พระราชวังโตเกียว), Tokyo Tower, วัด Zojo (Zojo-ji), Roppongi Hills, Shibuya, Harajuku, Shinjuku, Ueno