ดำเนินเรื่องมาต่อเนื่องกันถึงตอนที่ 3 ครับ สำหรับการเดินทางในเกาะฮอกไกโด !~ … เช้านี้เราอยู่กับที่เมือง ฮาโกดาเตะ (Hakodate) ครับ
ตลาดเช้าฮาโกดาเตะ
วันนี้เป็นวันแรกที่ต้องตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษ เพราะว่า เรามีนัดกับ ตลาดเช้าฮาโกดาเตะ (Hakodate asaishi) ครับ ตลาดเช้าแห่งนี้ ตอนที่ทำการบ้านเที่ยวนี่ ผมค่อนข้างตื่นเต้นกับที่นี่มากๆครับ เพราะว่าตลาดเช้าแห่งนี้จะเป็นที่ที่ทำให้ผมได้ลองชิมอาหารทะเลสดๆ และขึ้นชื่อว่าต้องตื่นมากินกันแต่เช้าด้วยแล้วเนี่ย ผมเชื่อครับว่า ที่นี่ต้องมีของดีแน่ๆ !
ตลาดเช้าแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ JR Hakodate เลยครับ เดินเข้ามาก็จะเห็นร้านค้าเล็กๆ เรียงรายอยู่มากมาย ขายอาหารทะเล ตลอดทางผมได้เห็นกุ้งยักษ์ๆ ดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากมาย รวมไปถึงร้านอาหาร ซึ่งผมกำลังเล็งหาร้านอาหารที่ดูเข้าตาสำหรับเช้านี้ครับ เดินไปเดินมาไปเจอร้านขายข้าวหน้าปลาดิบ (Kaisendon) อยู่หลายร้านเลย แม้ว่าตอนที่แล้ว จะหาร้านเด็ดและได้ไปลองในตลาดที่เมืองโอทารุแล้ว แต่ก็ขอมาลองอีกครั้งในแหล่งที่เรียกว่าเป็นตลาดเช้าของคนที่นี่ดูล่ะครับ เดินผ่านร้านหนึ่ง เห็นป้าเรียกเข้าร้านแถมบอกว่าจะให้ service ด้วย ก็เลยลองแวะกันดูสักหน่อยครับ ร้านนี้เป็นร้านเต๊นท์เล็กๆ ดูบรรยากาศ local ดีครับ ผมสั่งข้าวหน้าปลาดิบ กับแซลมอนซาชิมิมาทานคู่ด้วย มื้อนี้หมดไป (¥1,500)
และก็ไม่ผิดหวังจริงๆครับ อร่อยทั้งสองอย่างเลย ข้าวหน้าปลาดิบ ที่มากับไข่แซลมอน (Ikura) และเนื้อปู หอมๆนุ่มๆนี้ เข้ากันครับ เครื่องน้อยไปหน่อยตามราคาครับ ส่วนแซลมอนซาชิมินี่สดมาก นุ่ม ชุ่มลิ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่าที่จะบอกว่า เป็นหนึ่งในแซลมอนที่อร่อยตั้งแต่เคยกินมาเลยครับ จะบอกพิกัดร้านก็บอกไม่ถูก ฝากบรรยากาศในร้านเอาไว้ เผื่อใครมีโอกาสได้แวะเข้าไปครับ ^^
บรรยากาศเช้าวันนี้แอบครึ้มไปด้วยเมฆครับ ลมก็แรงเหลือเกิน อากาศจึงเย็นมากๆครับ เดินเล่นออกมาจากตลาดก็จะเห็นอ่าวฮาโกดาเตะ กับเรือที่จอดอยู่เทียบท่าครับ มองไปก็จะเห็นเขาอีกฝั่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเขา Hakodate ที่เราจะสามารถชมเมืองฮาโกดาเตะนี้ได้ทั่วทั้งเมือง
อากาศดียามเช้าแบบนี้เก็บกลับไปบ้านก็ไม่ได้ฮะ ได้แต่ยืนรับลมหนาวนี้ (ได้อยู่สักแปป) ก่อนจะเตรียมไปสำรวจเมืองฮาโกดาเตะกันครับ
มานั่งรถแทรมตะลุยเมืองกัน ~!
การเดินทางหลักๆในวันนี้คงเป็น การเดิน และ รถแทรม (รถราง) ! นี่อาจจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองนี้ครับ ผมจึงไปซื้อตั๋วเป็น One day pass ของรถแทรมนี้ ซึ่งจะสามารถนั่งรถแทรมได้ไม่จำกัดในหนึ่งวัน ราคาอยู่ที่ (¥600) ครับ ซึ่งสามารถซื้อได้ที่จุดบริการนักท่องเที่ยวในสถานีรถไฟ JR Hakodate นอกจากนี้ยังมีบัตร Pass ประเภทอื่นๆที่ครอบคลุมการเดินทางด้วยรถบัส ซึ่งตรงนี้จากเส้นทางแล้วของผมไม่ต้องใช้ครับ เลยคิดว่าเฉพาะแทรมน่าจะเพียงพอ และในจุดบริการนักท่องเที่ยวนี้คุณผู้อ่านยังสามารถมาหยิบใบโบชัวร์แนะนำการท่องเที่ยวเวอร์ชันภาษาไทย ในเมืองฮาโกดาเตะได้อีกด้วยครับ ! ไม่คิดว่าจะมีเวอร์ชันภาษาไทย อ่านง่าย เข้าใจง่ายครับ
จุดเริ่มต้นของการเดินทางสำรวจเมืองวันนี้ เริ่มต้นจากสถานีที่อยู่ตรงสี่แยกของสถานีรถไฟ JR Hakodate ครับ สถานีมีนี้ชื่อว่า Hakodate Ekimae (DY17) การเดินทาง แนะนำให้ศึกษาเส้นทางว่าจะไปลงสถานีไหน แล้วก็ดูเลขของป้ายสถานีเอาไว้ครับ
รถแทรมนี้จะมีสองฝั่งด้วยกันครับ มี เลข 2 และเลข 5 หากเราต้องการไปสถานี ที่มีตัวเลขเยอะกว่าที่สถานีเรานั่งอยู่ เช่น จาก DY17 จะไป DY20 ก็ให้นั่งรถหมายเลข 5 หรือ หากต้องการนั่งไปสถานีที่น้อยกว่าก็นั่งเลข 2 อย่างนี้เป็นต้นครับ
(จำไว้ว่า 5 มากกว่า 2 ดังนั้น นั่ง 5 เลขก็จะเพิ่มมากขึ้น…)
เมื่อเรารู้วิธีการเดินทางแล้ว การจ่ายค่าโดยสารก็เป็นสิ่งถัดไปที่ควรทราบครับ เนื่องจากผมใช้บัตร pass ดังนั้นเวลาลงรถก็เพียงแค่โชว์เล่ม pass ของเราให้คนขับรถดูครับ แต่หากเดินทางปกติ เวลาขึ้นรถก็ให้ดึงตั๋วออกมาจะมีเลขกำกับไว้หลังบัตรครับ ตอนลงก็เตรียมค่าโดยสารให้เพียงพอกับตัวเลขที่ขึ้นอยู่บนจอเท่านั้นครับ ไม่ยุ่งยากเท่าไร ค่าโดยสาร เริ่มต้นอยู่ที่ ¥210
ปราสาทโกเรียวคาคุ
สถานที่แรกที่เราจะเดินทางไปคือ ปราสาทโกเรียวคาคุ ทาวเวอร์ (Goryokaku Tower) ครับ ซึ่งปราสาทจะอยู่ใกล้กับ สถานี Goryokaku-koen-mae (DY09) ให้ลงที่นี่และเดินต่อไปอีกประมาณ 15 นาทีครับ
ทบทวนเกี่ยวกับการนั่งรถแทรม เมื่อสักครู่เรานั่งมาจากสถานี DY19 จะมายัง DY09 (ตัวเลขลดลง) อย่างนี้ก็ให้นั่งรถขบวนหมายเลข 2 ครับ ^^
ปราสาทนี้ตอนที่ทำการบ้านก่อนเดินทางมา ก็พบว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ คือ มองจากมุมบนมาจะเห็นปราสาทเป็นรูปดาวครับ และดาวจริงๆ มองบน Google Maps ก็เห็นเป็นรูปดาวด้วย ! เดินมาเรื่อยๆตามป้าย ก็จะเห็นป้อมใหญ่ๆนี้ครับ เดินเข้ามาเลย ~
ตอนแรกผมเองก็ไม่ค่อยชอบไปเที่ยวแนวขึ้นไปดูหอคอยครับ ขนาดอยู่เกาหลี หอคอยเอ็นโซลเทาทาวเวอร์ก็ยังไม่คิดจะไปดูข้างบนสักครั้งนึงเลย มีความรู้สึกว่า ภาพที่ถ่ายออกมาจากข้างบนนั่นก็ต้องไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆที่มากันแน่ๆ จึงงกไม่ค่อยอยากขึ้นไปฮะ แต่รอบนี้ สำคัญมากจริงๆ เพราะว่าแม้จะเป็นภาพเดียวเหมือนกับชาวบ้าน แต่ก็จะได้เห็นในสิ่งที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของเค้า สงสัยเหมือนกันว่ามันจะเป็นรูปดาวยังไง จึงยอมเสียเงินขึ้นไป ¥840 เพื่อพิสูจน์ครับ และด้วยนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวเยอะหรืออย่างไรก็ไม่ทราบครับ ที่นี่มีแผ่นพับที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของปราสาทเรียวคาคุนี้ไว้ด้วย
บริเวณของส่วนจัดแสดงชั้นบนครับ ระหว่างขึ้นลิฟต์ขึ้นมายังบริเวณนี้ ก็แอบประทับใจตรงที่พนักงานลิฟต์ก็มีการอธิบายเกี่ยวกับปราสาท แม้ว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็มีแสง สี มีเอฟเฟกต์แม้แต่กระทั่งอยู่บนลิฟต์กันเลยทีเดียว
เดินออกมาจากอาคาร เข้ามาทางปราสาทรูปดาวนี้ก็จะเป็นที่ตั้งของสำนักงานการปกครองแห่งฮาโกดาเตะ ล้อมรอบไปด้วยสวนร่มรื่นนี่ครับ แต่ด้วยอากาศที่ครึ้มๆ ก็เห็นคนเดินออกมากันซะส่วนใหญ่ ผมเองขอเดินเข้ามาถ่ายรูปสักนิด ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อื่นต่อครับ
ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดีครับ มื้อเที่ยงสำหรับวันนี้ไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาเป็นพิเศษ แต่จำได้ว่าตอนทำการบ้านเรื่องของกิน แถวนี้จะมีร้านเบอร์เกอร์เฟรนไชส์ ที่รู้สึกว่าจะเหมือนเฉพาะที่ฮาโกดาเตะเท่านั้น ร้านนี้มีชื่อว่า Lucky Pierrot ครับ
สถานที่ตั้งของร้านอยู่ตรงกันข้ามกับหอคอยดูปราสาทโกเรียวคาคุเลยครับ ออกมาก็จะเห็นป้ายตัวตลกแบบนี้เลย
เมนูยอดฮิตที่ทำการบ้านมาก็เป็น แฮมเบอร์เกอร์ไก่ชีส ครับ เห็นมีน้ำซอฟต์ดริ้งค์เป็นของทางร้านเลย ผมก็พยายามจะถามเค้าว่ามันเป็นน้ำอะไร มีแอลกอฮอล์หรือเปล่า ก็ดูเหมือนจะยาก เค้าก็บอกว่ามันไม่ใช่แอลกอฮอล์ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะบอกว่ารสชาติเหมือนอะไรเหมือนกัน ผมก็นะ พูดอย่างงี้มันน่าสงสัย เลยซื้อมาด้วยครับ เบอร์เกอร์ไก่ชีสนี้หมดไป ¥400
ดูจากปริมาณแล้วคุ้มค่าจริงๆครับ ไก่อันนี้จะออกหวานๆ ให้อารมณ์เหมือนไก่คังจองของเกาหลีที่เป็นซอสหวานเลยครับ มันอร่อยมาก ปกติผมไม่ทานแฮมเบอร์เกอร์ครับ ส่วนซอฟต์ดริ้งค์ที่ผมสงสัยมานาน ลองดื่มแล้วไม่ได้เหมือนโค้กหรือสไปรท์บ้านเราอะไรเลยครับ เทียบยาก แต่มันก็อร่อยอยู่ดี แนะนำให้สั่งมาทานตัดกับแฮมเบอร์เกอร์ครับ… เอาล่ะ อิ่มอร่อย แถมได้ที่หลบฝนไปพลางๆด้วย ใช้เวลาอยู่ที่นี่สักครู่วางแผนเส้นทางต่อไปครับ
ออกมาแล้วฝนก็ยังคงตกอยู่เลยครับ ผมเองก็ไม่ได้เตรียมร่มมา กะไปหาเอาข้างหน้า ก็เลยเกิดไอเดียว่าควรจะไปหาซื้อตามร้าน 100 เยนใช้ชั่วคราวครับ จึงลองเริ่มค้นหาว่าแถวนี้มีร้าน 100 เยนหรือเปล่า… ข้อมูลก็บอกกับผมว่า มีห้างอยู่แถวสถานี Goryokaku-koen-mae (DY09) ที่เรามาลงกันเมื่อสักครู่นี้ครับ มาถึงก็เห็นว่ามีห้างครับ แต่ไม่ได้มีร้านร้อยเยนที่ว่า จึงตามหากันต่อไป จนสุดท้าย ผมก็ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นจาก Google Translate เพื่อที่จะหาร้าน 100 เยนใน Google Maps ปรากฏว่าเจอครับ ! Google Maps ในการใช้งานกับที่ญี่ปุ่นจริงๆ ถ้าไม่เป็นภาษาญี่ปุ่นบางรายการก็แอบหาเจอยากอยู่ เอาล่ะครับ เค้าบอกให้ผมนั่งรถแทรม ไปลงที่สถานี Kachiwagi-cho (DY07) ครับ
พอถึงสถานีลงรถก็ไม่เห็นวีแววของอาคารหรือตึกใหญ่ๆที่จะบ่งบอกว่าเป็นห้างได้เลย ฝนก็ตกปรอยๆลงมาเรื่อยๆ ก็อาศัยลองเดินเสี่ยงดวงไปเรื่อยๆ กะว่าจะเจอสัญญานของร้านช็อป 100 เยนหน่อยล่ะครับ และในที่สุด…
ตอนแรกจะใส่เป็นเสื้อกันฝนครับ แต่เปลี่ยนเป็นร่มแทนเพราะว่าเสื้อกันฝนแอบบางมากสมราคา ปกติแล้วเสื้อกันฝนที่เห็นขายตามมินิมาร์ทที่นี่จะอยู่ราวๆ ¥800 ครับ แอบไม่คุ้มเท่าไร ไหนๆมีสิทธิ์ใช้บัตร pass ของรถแทรมแล้วก็ขอมาสำรวจเมืองนอกเส้นทางกันหน่อยครับ
ช่วงบ่ายนี้มีนัดกับสถานี JR Hakodate ครับ เพราะว่าตั้งใจจะไปจองตั๋วขากลับแบบ Reserved seat เพราะเกรงว่าจะไม่มีที่นั่งขากลับไปสนามบินที่ New Chitose ซึ่งจะใช้เวลานาน อยากมีที่นั่งให้ได้วางกระเป๋าสบายใจแบบ safeๆ ครับ ไปถึงที่จองตั๋วบอกเวลาการเดินทาง (ที่วางแผนมาแล้วจากที่บ้าน เค้าก็ทำท่าค้นหาอะไรแบบดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ… “ตั๋วจอง (Reserved seat) หมดแล้วครับ” ผมก็ได้แต่ เห้ยยย! จะทำยังไง แล้วเวลาอื่น เป็นยังไงบ้าง ก็พบว่า เวลาใกล้เคียงก็หมดเช่นกัน ผมก็เลยให้เค้า จองตัวแบบธรรมดาๆให้แทนครับ
ออกมาพร้อมกับตั๋วครับ จองเอาไว้สำหรับขากลับที่จะไปลงที่ Minami-chitose หมดไปเที่ยวละ ¥7,450 ครับ เอาล่ะครับ ไปเดินทางกันต่อ !
เที่ยวรอบๆ Jujigai
ผมนั่งรถแทรมต่อมาลงที่ Jujigai (DY20) ครับ ตรงนี้เป็นเหมือนใจกลางของสถานที่ท่องเที่ยวของเย็นวันนี้เลย ถึง Jujigai เดินเข้ามาตามป้ายฝั่งโกดัง (Bay Area-mae) ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ตรงนี้จะมีโกดังขายสินค้า ของที่ระลึก ของกิน น่ารัก น่าซื้อเต็มไปหมดเลยครับ
ของฝากที่น่าซื้อของที่นี่ สำหรับผมคงยกให้ช็อคโกแลตที่มีให้เลือกซื้อเยอะไม่แพ้ที่อื่น รวมไปถึงขนมแปลกๆอย่างคาราเมลรสเนื้อย่างเจงกีซข่าน, รสเบียร์, รสนม ฯลฯ (คาราเมลรสเนื้อย่างนี่ผมลองทานแล้วก็รสชาติเหมือนเนื้อย่างจริงๆครับ พิลึกพิลือ ซื้อไปลองทานเล่นกันได้) หรือจะของที่ระลึกของเมืองฮาโกดาเตะก็มีให้เลือกช็อปปิ้งบริเวณหลายๆโกดังที่เชื่อมต่อกันในบริเวณนี้ครับ
แถวนี้ยังคงมีวิวสวยๆติดทะเล และร้านอาหารอยู่เต็มไปหมดเลยครับ หากจะหยุดพัก หาอะไรทานมื้อเที่ยงแถวนี้เป็นตัวเลือกที่โอเคเลยทีเดียว
ผมยังคงตามแผนที่ใน Google Maps มาเรื่อยๆ เพื่อจะเดินมาอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของโบสถ์สวยๆ และอาคารสำคัญๆของเมืองฮาโกดาเตะครับ เดินกันไปสักครู่นึงเลยเพราะว่าทางค่อนข้างชัน ทริปนี้เดินเยอะหน่อยครับ แต่ระหว่างทางก็ได้เจอกับร้านค้าสวยๆ อาคารเก๋ๆแบบนี้ เลยถ่ายเก็บมาฝากคุณผู้อ่านด้วยครับ ^^
การดีไซน์อาคารของที่นี่มีหลายแห่งที่รู้สึกแปลกๆตา ไม่ได้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นๆจ๋าๆ อย่างที่เกียวโต สักเท่าไรครับ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเหมือนที่ไหนสักแห่งในญี่ปุ่นที่ผมเคยไปมา ~ ใช่แล้วครับ !! ที่นี่แอบคล้าย โกเบ (Kobe) อยู่นิดๆ ผมก็แอบได้ข้อสรุปว่าเหตุที่สองเมืองนี้คล้ายๆกัน ก็เพราะว่าทั้งฮาโกดาเตะและโกเบ เป็นเมืองท่านั่นเอง วัฒนธรรมที่ได้รับมาจากต่างประเทศก็คงส่งผลกับสถาปัตยกรรมอาคารต่างๆที่นี่ รวมไปถึงขนม ของหวานต่างๆ ที่แทบจะมีคล้ายกันเหมือนกับที่โกเบ
โบสถ์ในฮาโกดาเตะ
ใช้เวลาเดินตามหาโบสถ์อยู่สักครู่ครับ เพราะว่าฝนตกด้วย การจะเอาแผนที่ออกมากางหรือว่าเปิดมือถือดูทำได้ไม่นานมากครับ และในที่สุดผมก็เจอกับโบสถ์แห่งแรก “โบสถ์โรมันคาธอลิคโมโตมาจิ (Motomachi Roman Catholic Church)” และอยู่ถัดกันนิดๆ ก็จะพบกับ “โบสถ์อีพิสโคพัลฮาโกดาเตะ (Hakodate Episcopal Church of Japan)”
เอาตรงๆเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับโบสถ์ผมไม่ได้เป๊ะอะไรหรอกครับ (ฮา) เพราะที่นี่มีโบสถ์อยู่เยอะมาก แผนที่ท่องเที่ยวจากศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวนี่ช่วยไว้ได้เยอะ บางโบสถ์เท่าที่ทราบก็มีกิจกรรมข้างในให้เข้าไปดูด้วย อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ผมก็อาศัยเดินชมความสวยงามรอบๆอาคารครับ
โมโตมาจิ (Motomachi)
เนินโมโตะมาจิ (Motomachi slope) อีกหนึ่งทางลาดยาวทอดลงไป มองลงไปแล้วจะได้เห็นท่าเรือ อีกหนึ่งจุดที่สวยงาม บรรยากาศที่เรียกว่า โรแมนติคสุดๆ
เดินต่อมาก็จะเป็นส่วนของ “ศาลาประชาคมฮาโกดาเตะเก่า (Old Public Hall of Hakodate Ward )” ครับ หากทำการบ้านเรื่องเที่ยวในฮาโกดาเตะ อาจจะได้เห็นรูปนี้บ่อยหน่อย เพราะอาคารตรงนี้เป็นเหมือนหนึ่งในอาคารที่เป็นตัวแทนของฮาโกดาเตะล่ะครับ
ขึ้นกระเช้าชมวิวเมืองฮาโกดาเตะ
ผมกะเวลาเดินทางไปชมวิวเมืองฮาโกดาเตะ ให้อยู่ในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินครับ เพื่อเลี่ยงคนเยอะด้วย จึงดูเวลาที่พระอาทิตย์ตกแล้วก็เดินจากตรงนั้นไปตรงจุดขึ้นกระเช้า ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที
กระเช้าขึ้นภูเขาฮาโกดาเตะอยู่ที่ ¥1,200 ครับ ตอนซื้อพนักงานก็ยกป้ายเป็นข้อภาษาอังกฤษเขียนว่า “เนื่องจากสภาพอากาศวันนี้หมอกลง อาจจะทำให้ท่านไม่สามารถชมทัศนียภาพได้ ต้องการจะซื้อตั๋วหรือเปล่า” ผมเองก็เข้าใจว่า คงเป็นมารยาท อาจจะไม่เห็นนิดๆหน่อยๆก็ไม่เป็นไรครับแหม… มาถึงที่นี่แล้ว กับจุดชมวิวเมืองที่เขาว่ากันว่า “เป็นจุดชมวิวที่สวยเป็นอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น !” จะพลาดกันได้อย่างไร ต่อแถวไม่นานก็ได้ขึ้นไปแล้วครับ
ขึ้นมาผมก็ได้เดินสำรวจแต่ละชั้นครับ มีหลายชั้นที่สามารถจะชมวิวเมืองได้ แต่พอขึ้นไปดาดฟ้าก็พบว่า…
หมอกครับ !!! หมอกจริงๆด้วย คุณผู้ชมเห็นหรือเปล่าครับหมอก !! ภาพนี้ถ่ายตอน 4 โมงครึ่งครับ
ผมเห็นลางท่าจะไม่ดี ไม่มีโอกาสได้เห็นวิวสวยๆแล้วแน่นอน ก็ได้แต่เฝ้ารอจังหวะที่หมอกพัดหายไปบ้าง แล้วก็หวังไปอีกว่า พอค่ำลงแล้วก็จะเห็นแสงไฟจากอาคารบ้านเรือน สะท้อนให้เราได้เห็นเป็นหย่อมๆถ่ายรูปได้สวยบ้าง แต่ก็ไม่มีวี่แววเลยครับ หมอกเป็นทะเลหมอกมาเลย จะว่าฟินก็ฟินไปอีกแบบ สุดท้ายก็มีจังหวะดีที่สุดที่พอจะได้รูปดีๆ มาอวดเพื่อนๆกันบ้างล่ะครับ แต่ขอบอกว่าถ่ายได้ไม่นานเลยจริงๆ
ก็เรียกว่าเป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ สำหรับผู้ที่จะเดินทางขึ้นกระเช้าไปชมความสวยงามของวิวเมืองที่นี่นะครับ ว่า… เช็คสภาพอากาศกันนิดนึงครับ ! แต่ของผมก็ตามแผนอยู่ฮาโกดาเตะถึงวันนี้วันสุดท้าย จึงไม่ได้มีโอกาสมาใหม่อยู่แล้ว ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากตอนที่แล้วที่ไปดูฟูจิแล้วโดนเมฆบังเลย 555 เอาล่ะครับ ผมหิวได้ที่แล้ว เราไปหาอะไรกินกันดีกว่าครับ !
กว่าจะตัดสินใจลงมา ผมก็รอให้มืดอย่างเต็มที่แล้วครับ แต่เกรงว่าคนจะเยอะเรื่อยๆ เลยตัดสินใจลงมาก่อน ก่อนที่จะไปหาอะไรทาน ผมเดินกลับมาฝั่งอาคารที่ว่าการที่เรามาสักครู่นี้ เพื่อจะไปถ่ายรูป เก็บแสงสี ซึ่งช่วงที่เดินทางเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีการจัดแสดงไฟ ลูมิเนชัน อยู่ทั่วเมืองเลยครับ และนี่คืออาคารพิพิธภัณฑ์ภาพภ่ายทางประวัติศาสตร์ฮาโกดาเตะ (Hakodate City Museum of Photographic History) ครับ กลางคืนไฟสวยมาก ของจริงสวยจริงๆครับ ตรงนี้เวลานี้คนไม่เยอะด้วย บรรยากาศจึงดีมากๆครับ แต่เสียดายที่ผมไม่สามารถถ่ายออกมาให้ดูสวยได้เลย T_T
เอาล่ะครับ ไม่เป็นไร ผมเดินจากทางลาดลงมาเรื่อยๆ ระหว่างนี้ก็เห็นแสงไฟประดับระยิบระยับสวยงามครับ ตอนนี้ท้องไส้หิวไปหมดแล้ว เดินลงทางลาดมาเรื่อยๆจะเจอสถานี Suehiro-cho (D21) ครับ ให้นั่งสาย 2 ย้อนกลับไป 1 สถานีเพื่อมาลงที่ Jujigai (DY20) ครับ เพราะวันนี้ผมทำการบ้านเรื่องร้านอาหารมาสำหรับคืนนี้ครับ ร้านอยู่ใกล้ๆสถานีเลย แล้วก็ได้รับเรตติ้งดีในเว็บไซต์รีวิวร้านอาหารของญี่ปุ่น
ร้านอยู่ข้างๆตึกใหญ่ๆหน้าสถานี Jujigai ครับ ลงมาเดินเลียบตึกไปเรื่อยๆ จะเห็นร้านหน้าตาแบบนี้ครับ เข้าไปได้เลย ที่นี่มีราเม็งอร่อยๆรออยู่
มื้อนี้ผมสั่งเป็น โชยุราเม็งครับ (Shoyu ramen) ก็เรียกว่าตลอดการเดินทางเที่ยวเกาะฮอกไกโดนี้ ผมได้ตะลุยกินราเม็งหลากหลายรสชาติเลยครับ มื้อนี้ ¥680 และก็สั่งเกี๊ยวซ่ากับเบียร์ซัปโปโรมาทานเพิ่มความฟินครับ 55
เรียกว่าอิ่มพอดีๆ เดินทางกลับที่พักมีความสุขครับ วันนี้เรียกว่าค่อนข้างเดินเยอะเป็นพิเศษ กับอุปสรรคในการเดินทางคือสภาพอากาศ ทำให้ค่อนข้างเหนื่อยหน่อยครับ แต่ว่าได้เบียร์สักแก้ว ได้พักสักหน่อยก็หายเหนื่อยแล้วครับ แฮ่ๆ… คืนนี้เตรียมเก็บกระเป๋าแล้วเราจะเดินทาง กลับไปเที่ยวที่โอซาก้าต่อแล้วล่ะครับ
เช้าที่ฮาโกดาเตะ
วันนี้บอกกับอาจารย์ที่ร่วมทริปมากับผมด้วยว่า เราจะต้องตื่นเช้ามากๆครับอาจารย์ เพื่อที่เราจะได้วิ่งเข้าไปจับจองที่นั่ง เราจะต้องทนหนาวหน่อย เพื่อที่จะได้ที่นั่งใน Non-reserved seat เท่านั้น !! (ไม่เช่นนั้น ผมก็จินตนาการสภาพพวกเราถือกระเป๋า ยืนบนรถไฟเป็นสองสามชั่วโมงไม่ถูกจริงๆ) รถที่เราจองเป็นรถไฟขบวน Super Hokuto 3 ครับ โดยจะไปลงที่ Minami-Chitose เพื่อจะเดินทางต่อไปสนามบิน New Chitose รถไฟออก 8.13 น. ครับ แต่เราก็ตื่นมาเก็บความหนาวเย็นกันตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง !
บรรยากาศรอบๆสถานี ที่วันนั้นแอบมีหิมะตกแต่เช้าด้วยล่ะครับ ลมก็ค่อนข้างแรงใช้ได้เลยทีเดียว
เอาล่ะครับ จนใกล้เวลา ผมเองก็ยื่นตัวเข้าไปในชานชาลา ซึ่งจะต้องไปขึ้นที่ชานชาลาไหน จะมีขึ้นเป็นป้ายเอาไว้ให้ครับ ว่ารถไฟ Super Hokuto 3 อยู่เทียบตรงไหน ผมก็รีบเข้าไปเนิ่นๆ พอเห็นว่ารถไฟมาเทียบแล้ว ก็รีบวิ่งสิครับ ! หาตำแหน่งของ Non-reserved seat ของขบวน Super Hokuto 3 ก็พบว่า มันอยู่แทบท้ายขบวนเลยครับ ให้เดินไปให้สุดๆขบวนเลย เจอแน่นอนครับ ใครที่ไม่ได้จอง ผมเตือนคุณแล้วนะครับ ! ให้ตื่นแต่เช้าครับผม !!
ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว ใกล้เวลาผู้โดยสารก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆครับ จากสถานี Hakodate ถ้าจำไม่ผิดที่นั่งส่วนของ Non-reserved seat ก็เริ่มเต็มบ้างแล้วครับ แต่ไม่เร็วเท่าไร แต่ก็จะเห็นผู้โดยสารจากสถานีอื่นๆ ทยอยขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ใครที่มีสัมภาระเยอะๆ จึงควรจองอย่างยิ่งครับ ใครที่กระเป๋าใบใหญ่มากๆ เกินกว่า 20 นิ้ว ตรงทางออกของแต่ละตู้รถ ก็จะมีที่ไว้สำหรับวางกระเป๋าใบใหญ่ๆอยู่ครับ ก่อนลงก็ต้องไม่ลืมมาหยิบไปเท่านั้นเอง ระหว่างนี้ก็ได้แต่นั่งชมหิมะขาวโพลนตลอดข้างทาง กับบ้านเรือนความเป็นอยู่ของคนที่นี่ อากาศแม้ว่าจะหนาวเย็น แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ :3
Rera Chitose Outlet Mall
ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.ก็ถึงสถานี Minami-chitose แล้วครับ สภาพในขบวนตอนนั้น แน่นเต็มไปด้วยคนครับ มีคนลงที่สถานีนี้บ้าง ก็เตรียมความพร้อมก่อนลงนะครับ ลงมาชั้นล่างของสถานีก็จะเห็น Rera Chitose Outlet Mall เป็น outlet ขนาดย่อม มากแบรนด์ ให้ได้มาช็อปปิ้งกันก่อนไปที่สนามบิน หรือจะแวะทานข้าวที่นี่ ก็สะดวกมากครับ ทานที่สนามบินอาจจะหาทานยากหรือแพง เราต้องกินดักไว้ก่อน
ผมมาหาทานข้าวที่นี่ครับ ที่นี่คนไม่ค่อยเยอะมาก แต่มีร้านค้าขายเสื้อผ้าแบรนด์ ขายของฝาก มีให้เลือกเยอะพอสมควรเลยครับ แนะนำให้มาลงที่นี่กันก่อน แล้วนั่งรถฟรีชัตเติลบัสจากที่นี่ไปลงที่สนามบิน New Chitose ได้ โดยรถออกทุกๆ 35 นาทีครับ จากที่นี่ไปสนามบินใช้เวลา 10 นาที
ถึงสนามบิน New Chitose แล้ว… ผมเองมีแผนเที่ยวที่โอซาก้าและเกียวโตต่อครับ จึงนั่งสายการบินในประเทศไปลงที่สนามบินคันไซ (KIX) ก็เรียกว่าสิ้นสุดกับการเดินทางที่เกาะฮอกไกโดแต่เพียงเท่านี้ครับ…
ฮาโกดาเตะ สำหรับผมก่อนที่จะได้เดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเอง คงเป็นอีกหนึ่งเมืองที่คิดว่าคงยุ่งๆพอๆกันกับซัปโปโร เนื่องจากเป็นเมืองท่าและยังเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ คิดว่าคงมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่มาที่นี่ แต่มันแอบกลับกัน ที่นี่แอบไม่วุ่นวายเท่าที่ควรครับ ร้านค้า ห้างต่างๆนี่มีน้อยมาก แต่เมืองนี้มีมนต์เสน่ห์อะไรหลายอย่างที่ผมคิดว่าหากมีโอกาสได้มาเที่ยวที่ฮอกไกโด ฮาโกดาเตะ เป็นอีกหนึ่งจุดปลายทางที่ไม่ควรพลาดครับ ระยะเวลา 1 วันเต็มๆกับที่นี่ น่าจะเพียงพอกับการท่องเที่ยวรอบเมือง
ประสบการณ์ที่ฮอกไกโด เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งความประทับใจของการเดินทางในประเทศญี่ปุ่นครับ เต็มไปด้วยธรรมชาติที่น่าหลงไหล ภูเขา ทะเล กับอากาศเย็นๆในฤดูหนาว รายล้อมไปด้วยหิมะแบบนี้ อาหารก็สดและอร่อย เรียกว่าเป็นสวรรค์ของนักกิน(อย่างผม)เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบอาหารทะเล และราเม็งครับ
พบกันใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ 😀
สารบัญท่องเที่ยวเกาะฮอกไกโดกับเฟรมคุง ~
- [ตอนที่ 1] แบ็คแพ็คตะลุยฮอกไกโด : Sapporo-Otaru #1เทศกาลน้ำแข็งซัปโปโร / หอนาฬิกา / สวนสาธารณะโอโดริ / Susukino / ตรอกราเม็ง / คลองโอทารุ
- [ตอนที่ 2] แบ็คแพ็คตะลุยฮอกไกโด : Sapporo-Otaru #2คลองโอทารุ / พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร / เนื้อย่างเจงกีซข่าน / มุ่งหน้าสู่เมือง Hakodate
- [ตอนที่ 3 ] แบ็คแพ็คตะลุยฮอกไกโด : Hakodate #3รถแทรมในฮาโกดาเตะ / ปราสาทโรเกียวคาคุ / Bay area / โบสถ์ฝรั่ง / ชมวิวเมืองฮาโกดาเตะ