สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน และบล็อกตอนนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งตอนของผม ที่จะบันทึกความประทับใจ ความทรงจำ กับประเทศในฝันของผม “ประเทศญี่ปุ่น” ครับ ซึ่งครั้งนี้ขอเลือกท่องเที่ยวแบบเป็นโซนๆ โดยเลือกเที่ยวในแถบคันไซ (Kansai) ซึ่งประกอบไปด้วยเมืองหลักๆคือ โอซาก้า (Osaka), เกียวโต (Kyoto), โกเบ (Kobe) และนารา (Nara) ครับ
การเดินทางในครั้งนี้ ผมเดินทางคนเดียวครับ เป็นความตั้งใจของผมที่อยากจะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศรอบๆเกาหลี ผมเองจึงเริ่มตั้งเป้าหมายว่า ปิดเทอมหน้าหนาวนี้จะไปเที่ยวญี่ปุ่นให้ได้ จึงเริ่มเก็บเงินครับ
วอร์มอัพก่อนไปญี่ปุ่น
- ผมมีเพื่อนญี่ปุ่นอยู่ประมาณ 3 คนที่สนิทๆครับ แต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่เป็น
ผู้หญิงแรงบันดาลใจให้ไป ด้วยนิสัยของ
พวกเค้าที่ใจดี และยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในครั้งนี้อีกด้วย
- ผมอ่านรีวิวในเว็บ Pantip เป็นแรงบันดาลใจในการเก็บเงิน กับหาสถานที่ท่องเที่ยวครับ
- การเดินทาง ผมเลือกเดินทางกับสายการบิน Low-cost สัญชาติญี่ปุ่น “พีช (Peach aviation)“ ซึ่งเป็นสายการบิน ที่บินตรงจากเกาหลี (ทั้งอินชอนและปูซาน) ไป สนามบินนานาชาติโอซาก้า-คันไซ (Osaka-Kansai) และยังมีเที่ยวบิน บินจากสนามบินนานาชาติโอซาก้า-คันไซ ไปทั่วญี่ปุ่นและประเทศใกล้เคียง เพื่อนญี่ปุ่นแนะนำมาเนื่องจากว่าถูก และต้องไม่ลืมว่าผมอยู่ที่เกาหลีครับ ดังนั้นค่าเครื่องจากที่นี่ไม่แพงเลย ผมเริ่มจองประมาณ 1 เดือนก่อนเดินทาง ไป-กลับ อยู่ที่ ₩178,000 วอน (ประมาณ 5,400 บาท) ครับ
- ที่พัก ผมจองห้องพักผ่าน Booking.com ครับ โดยเพื่อนญี่ปุ่นเป็นคนหาที่พักที่ไม่แพง และใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินที่ทำให้เดินทางสะดวกให้ (ต้องบอกก่อนครับว่า ก่อนเดินทางผมไม่มีไอเดียอะไรเลยเกี่ยวกับเส้นทางรถไฟในญี่ปุ่นครับ เลยรู้แต่ว่ามันวุ่นวายมาก) ด้วยความที่เราเดินทางคนเดียว ห้องพักผมจึงไม่ค่อยเกี่ยงครับ ขอแค่ห้องสะอาดก็พอ เพื่อนจึงช่วยหาโรงแรมให้ สุดท้ายมาเจอ โรงแรมไดมอนด์ (Diamond Hotel) ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟสาย Midosuji ข้อดี คือ การเดินทางไปโอซาก้า (Osaka) หรือย่านเที่ยวอย่างนัมบะ (Namba) ห่างเพียงแค่ไม่กี่สถานี การจองใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต Visa, Master Card โดยในรายละเอียดการจอง ก็ต้องระบุชื่อของเรา ที่อยู่ ระยะเวลาที่จะพัก และข้อมูลในส่วนของบัตรเครดิต ซึ่งก็จะเป็นเหมือนกับเป็นค่าประกันในการจอง แต่จริงๆแล้วไม่มีค่าใช้จ่ายในการจองครับ เงินเราจะยังไม่จ่ายตอนนี้ ไปจ่ายสดที่โน่นครับ ค่าห้องที่นี่ถูกมากๆ อยู่ที่คืนละ ¥800 (หรือประมาณ 260 บาท)
- อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เทียบกับเกาหลีแล้ว ที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีสัญญานอินเทอร์เน็ตสาธารณะให้ใช้ฟรีๆเท่าไรครับ แต่เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จริงๆ ในการเดินทางคนเดียว และการค้นหาเส้นทางต่างๆ ก็จำเป็นต้องพึ่งพาพี่กู (เกิ้ล) ตลอดจึงยอมเสียเงินสำหรับอุปกรณ์ปล่อยสัญญานไวไฟ (Pocket Wifi) ซึ่งผมจองจากเว็บนี้ครับ เป็นเว็บให้เช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไปจนถึงโทรศัพท์ เราสามารถทำการจองและชำระเงินผ่านบัตรทันที โดยเวลาจองก็ให้ระบุสถานที่ที่จะรับ ซึ่งสามารถเลือกเป็นที่โรงแรมก็ได้ หรือจะรับที่สนามบินก็สะดวกดีเหมือนกัน (แบบว่าไปถึงเริ่มใช้ได้เลย) เค้าจะส่งเมลมาให้หลังจากที่ส่งพัสดุแล้ว ตอนไปรับก็นำพาสปอร์ตของเราไปรับ พร้อมใช้งานทันทีครับ ขากลับก็เพียงเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างใส่ไว้เหมือนเดิม ลงไปในซองที่มากับตัวเครื่อง (เค้าเขียนจ่าหน้าอะไรไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว) แล้วก็หย่อนลงตู้ไปรษณีย์ก่อนกลับบ้านเป็นอันเสร็จครับ
- อุปกรณ์เสริม อ้อ! อย่าลืมพกสายชาร์จ และอะแดปเตอร์แปลงไฟกันไปด้วยนะครับ เพื่อให้การเดินทางไม่สะดุด ผมขอแนะนำอะแดปเตอร์ที่มีพอร์ต USB ด้วย ทำให้ชาร์จอุปกรณ์หลายๆอย่างได้ในระยะเวลาเดียวกัน อุปกรณ์ช่วยชีวิตของผมอีกอย่าง ที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของผมทำงานได้นานต่อเนื่อง ก็เป็นแบตเตอรี่สำรอง หรือ Power Bank ทำให้การเดินทางนี้ไม่มีสะดุดครับ
- สรุปอุปกรณ์พกพาที่พกเดินทางไปด้วย
– กระเป๋าสะพายใหญ่ๆ 1 ใบ เอาไว้ใส่เสื้อผ้า
– กระเป๋าล้อลากเล็กๆอีก 1 ใบ กะเอามาลากขนม
(ตามกฎของสายการบินพีช (Peach Aviation) เค้าให้พกไปได้แค่ 2 ชิ้น สำหรับ carry on ครับ)
– กล้องรุ่น SONY NEX-5 คู่ใจ (ไม่มีเลนส์เสริมอะไรเพื่อความเร้าใจเพิ่มเติม)
– กล้องคอมแพ็ครุ่น Samsung มีพับจอแล้วถ่ายหน้าได้ด้วย
(แต่ลองเอาไปใช้จริงๆแล้วไม่ค่อยเวิร์ค ถ่ายไม่ค่อยทันใจ)
– iPhone 4S เอาไว้ถ่ายรูปช่วยกล้องหลัก
– iPad mini เปิดแผนที่ ข้อมูลการเดินทาง เขียนไดอารี
– Power Bank 11200 mAh (แบตเตอรี่สำรองที่ช่วยชีวิตไว้หลายรอบมาก) - ค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทาง เขียนเอาไว้ในตอนสุดท้ายของบล็อกครับผม (คลิกไปดูที่นี่)
ทริปโดยภาพรวม
ผมขอพูดการเดินทางทั้งหมดโดยคร่าวก่อนนะครับ
ในทริปนี้ ต้องบอกก่อนครับว่าเป็น “ทริปตามใจตัวเอง” เพราะเนื่องจากเดินทางคนเดียว ข้อมูลก็หาคนเดียว แล้วผมเองก็หาข้อมูลการไปเที่ยวถือว่าค่อนข้างน้อย น้อยจนอาจจะตกใจได้! เพราะผมขอแบบให้ได้แบบไปลุย เดินไปในที่ที่อยากไป หลงทางก็พึ่ง Google Maps พาผมกลับมาที่สถานีรถไฟให้ได้ เพื่อให้ได้มาสัมผัสกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นจริงๆ อย่างที่ต้องการครับ เพราะแอบเชื่อว่า การหาข้อมูลมาโดยละเอียดมากๆ บางทีมันอาจจะทำให้สูญเสียอรรถรสไปซะหน่อย
สำคัญที่สุดผมจึงร่าง สิ่งที่อยากไปดู สิ่งที่อยากทำไว้คร่าวๆก่อน ซึ่งก็หนีไม่พ้นการที่ได้เดินไปในย่านท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโอซาก้า (Osaka) กินอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่อย่างทาโกะยากิหรือโอโคโนมิยากิ, ทานเนื้อโกเบ, ชมความสวยงามของวัดที่เมืองเกียวโต (Kyoto) และปิดท้ายด้วยการไปชมกวางที่เมืองนารา (Nara) ครับ นี่ก็เป็นแผนคร่าวๆ ในการเดินทางของผมครั้งนี้ครับ
ที่พักของผมตลอดทริปนี้อยู่ที่เดียวเลยคือที่โอซาก้าครับ การเดินทางไปยังเมืองต่างๆก็จะขอเริ่มจากที่โอซาก้า ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ครับ (สำหรับมือใหม่เพิ่งเริ่มหาข้อมูลอย่างผมตอนนี้ อย่าเพิ่งจำว่าต้องนั่งรถไฟสายไหนก็ได้นะครับ แค่รู้ว่าจะเดินทางยังไงโดยคร่าวๆก่อนก็พอ)
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในตอนนี้ ยังเป็นช่วงที่ภาษีสินค้ายังไม่เพิ่มเป็น 8% นะครับ ดังนั้นราคาสินค้าและบริการบางอย่าง อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ครับ
จากโอซาก้า (Osaka) ไปเกียวโต Kyoto
เวลาที่ใช้ : ประมาณ 28 นาที
การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย JR แบบ Special Rapid Service จากสถานี Osaka ไปลงสถานี Kyoto
ค่าโดยสาร/รอบ : ¥560
จากโอซาก้า (Osaka) ไปโกเบ (Kobe)
เวลาที่ใช้ : ประมาณ 27 นาที
การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย Hankyu จากสถานีอุเมดะ Umeda
(สถานี Umeda อยู่ใกล้กับ Osaka station ครับ หากไป Kobe แนะนำให้นั่งสาย Hankyu ที่สถานี Umeda จะประหยัดกว่าครับ)
ไปลงที่สถานีโกเบ-ซานโนมิยะ (Kobe-Sannomiya) และนั่งแบบ Limited Express นะครับ จะเร็วกว่า (รายละเอียดการเดินทางติดตามได้ในบล็อกตอนเที่ยวโกเบ Kobe)
ค่าโดยสาร/รอบ :¥320
จากโอซาก้า (Osaka) ไปนารา (Nara)
เวลาที่ใช้ : ประมาณ 50 นาที
การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย JR Yamatoshi แบบ Rapid Service ที่สถานีโอซากา Osaka ไปลงที่สถานีนารา Nara
ค่าโดยสาร/รอบ : ¥800
- จะสังเกตได้ว่า ค่าโดยสารนั้นค่อนข้างแพงเอาการเลยใช่มั้ยครับ จริงๆแล้วมันก็มีบัตรผ่านสำหรับ 2 วันและ 3 วัน ที่ให้เดินทางไปยังเมือง 3 เมืองนี้ไม่อั้น ครอบคลุมไปยังรถไฟฟ้าใต้ดินในและรถบัสโอซาก้าไม่อั้นอีกด้วย เราเรียกบัตรนี้ว่า “Kansai Thru Pass” ครับ สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์จองตั๋วออนไลน์ (รองรับบัตรต่างๆในไทย) ซึ่งเราสามารถซื้อเตรียมตัวไปก่อนแล้วไปขึ้นตั๋วที่สนามบินคันไซได้ หรือหาซื้อได้จากที่สนามบินคันไซได้เช่นกัน แต่ข้อจำกัดของมันคือ มันจะนั่งรถไฟได้บางสายเท่านั้นครับ ต้องดูแผนที่การเดินทางดีๆ (ปล. ผมไม่ได้ซื้อบัตรนี้ เพราะว่ากำหนดการเที่ยวของผมไม่แน่นอน แนะนำให้ศึกษาเส้นทาง วันเวลา ที่อยากไปเที่ยวให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจซื้อครับ)
ราคาบัตร Kansai Thru Pass ตั๋วประเภท 3 วัน : ¥5,200 (ผู้ใหญ่) ¥2,600 (เด็ก 6-12 ปี)
ตั๋วประเภท 2 วัน : ¥4,000 (ผู้ใหญ่) ¥2,000 (เด็ก 6-12 ปี) - แนะนำว่าหากมีอินเทอร์เน็ตอยู่กับตัว ให้ bookmark เว็บนี้ไว้ได้เลยครับ http://www.hyperdia.com/en เป็นเว็บไซต์ที่เอาไว้ตรวจสอบสายรถไฟต่างๆทั่วญี่ปุ่น บอกราคา บอกเวลาเดินทางชัดเจน ทำให้เราไม่พลาดทุกขบวนครับ
พอจะทราบการเดินทางของทริปของผมโดยคร่าวๆแล้ว เรามาเดินทางไปด้วยกันนะครับ ^^
Day 1 : โอซาก้า (Osaka)
ผมถึงโอซาก้าประมาณบ่ายสามโมงครับ ระยะเวลาในการบินจากสนามบินอินชอน เกาหลีใต้ ถึงสนามบินนานาชาติคันไซ-โอซาก้า (Kansai-Osaka) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ครับ เนื่องจากสายการบิน Peach เป็นสายการบิน Low-cost เครื่องบินจึงไป landing อีกอาคาร ซึ่งจะต้องนั่งรถชัตเติลบัสจากอาคาร Terminal 2 มา Terminal 1 เพื่อนั่งรถไฟไปยังตัวเมือง, Peach เป็นสายการบินเดียวที่ landing อาคาร Terminal 2 ครับ
และหากใครสนใจที่จะมาต่อเครื่องที่เกาหลีใต้ หรือว่า มาแวะเที่ยวที่เกาหลีใต้ก่อน แล้วไปต่อที่ญี่ปุ่น ก็สามารถทำได้เช่นกัน แล้วก็ค่อนข้างสะดวกครับ เพราะใช้เวลาเดินทางไม่นานมาก
เมื่อผ่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วก็ให้เดินออกมานอกอาคารเพื่อนั่งชัตเติลบัสมาอีกอาคารได้เลยครับ วันนั้นใช้เวลาไปประมาณ 30 นาที ส่วนตัวไม่คิดว่าเค้าเคร่งครัดมาก อาจจะเป็นเพราะเราเป็นนักเรียนด้วย ก็มีการสนทนากับตม.นิดหน่อยครับ เพราะเค้าก็เห็นว่าเราพาสปอร์ตไทย แต่ทำไมมาจากเกาหลี (แถมอยู่เกาหลีนานซะด้วย !!) แอบกังวลเหมือนกัน ยิ่งเค้าไม่ค่อยถูกกับเกาหลีใต้ซักเท่าไร แต่ไม่เป็นอย่างทีวิตกกังวลไป ลุงที่ตรวจพาสปอร์ตกับอุทานกับผมว่า โอ้วว You มา Study at Korea but travel in Japan อะไรทำนองนั้นครับ ^^
เพื่อนนัดเจอผมที่ สถานีนัมบะ (Namba) ครับ ทันทีที่เพื่อนบอกว่าไม่สามารถมารับผมถึงที่สนามบินได้ ก็เริ่มเสียวๆแล้วครับ ว่าจะต้องเดินทางไปเองอย่างไร แต่พอมาดูการเดินทางก็ไม่ยากเท่าที่ควรครับ เพื่อนบอกให้ผมนั่งรถไฟสายนันไค (Nankai) จากสนามบินไปสุดสาย ผมก็ไปหาที่ขึ้นตั๋วครับ สถานที่ซื้อตั๋วในสนามบินคันไซ อยู่ระหว่างอาคาร Terminal 1 และอาคาร Aero Plaza (โรงแรม) ครับ ท่านผู้อ่านที่เดินทางจากประเทศไทย เมื่อผ่านตม.แล้ว ออกมาจะมาโผล่ที่ชั้น 1F ของอาคาร Terminal 1 ให้ขึ้นมาที่ชั้น 2F ออกมาจะพบทางเชื่อมไปจุดจำหน่ายตั๋ว และจุดขึ้นรถไฟครับ
การเดินทางจากสนามบินคันไซ มีรถไฟทั้งหมด 2 สายครับ คือ สาย Nankai : สายนี้จะเข้าตัวเมือง Osaka สุดสายที่ สถานี Namba ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยว และ สาย JR : สำหรับผู้ที่จะไปจังหวัดอื่นๆ หรือย่านอื่นๆ เช่น เกียวโต
โดยผมนั่งรถไฟสายนันไค (Nankai) จากสถานี Kansai Airport ไปลงที่สถานี Namba (สุดสาย) ใช้เวลาประมาณ 50 นาที (ตั๋วราคาปกติ ¥920 ครับ แต่ลองเช็คดูก่อนครับว่าบนเครื่อง เค้ามีจำหน่ายบัตรโดยสารต่างๆหรือเปล่า เพราะบางทีอาจมีส่วนลดครับ ซึ่งผมซื้อมาจากบนเครื่องเลย ในราคา ¥820)
และแล้วก็เดินทางมาถึงที่ สถานีนัมบะ (Namba) อย่างปลอดภัย ตรงเวลาครับ พอถึงที่สถานีนัมบะ Namba แล้ว เราก็พร้อมเที่ยวได้ทันทีเลย ตรงนั้นก็จะเป็นถนนยาวๆ ตลอดทางมีร้านค้า ร้านเกมตู้ ร้านอาหารต่างๆมากมาย
เพื่อนผมถามผมว่า “มาถึงญี่ปุ่นแล้ว ไหน อยากกินอะไรมากที่สุด?” ผมตอบไปแบบไม่ลังเลเลยว่า “ทาโกะยากิ (Takoyaki)” ที่ผมทราบมาว่ามันเป็นของขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของโอซาก้านี้ครับ หมดค่าเสียหายไป 10 ลูก ¥600 สัมผัสแรกก็ต้องขอบอกว่าร้อน… กรอบนุ่ม เนื้อปลาหมึกใหญ่เต็มคำจริงๆ (โออิชิเดสสสสส สุโก้ยยยยย ….)~
เดินจากนัมบะ (Namba) ทะลุไปเรื่อยๆ ข้ามถนนมา ก็จะมาเจอส่วนนี้ที่เรียกว่า โดทงโบริ (Dotonburi) ครับ บริเวณสะพานตรงนี้ก็จะเป็นแหล่งที่ตั้งของสถานที่แลนด์มาร์คของโอซาก้าอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตกับป้ายกลิโกะนั่นเอง มาถึงโอซาก้าแล้วก็อย่าลืมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อยครับ
เดินข้ามถนนมา ตรงนี้ก็จะเป็นฝั่งของ ชินไซบาชิ (Shin Saibashi) ครับ โซนตรงนี้เป็นโซนที่เต็มไปด้วยร้านค้า สินค้าแบรนด์ต่างๆ ดิสนีย์ช็อป , ร้านเครื่องสำอาง, ร้านขายรองเท้า เสื้อผ้าแบรนด์ ตรงไปเกือบสุดทางก็จะเป็นทางเชื่อมเข้าไปในห้างไดมารุครับ เดินมาสุดทาง แล้วซ้ายออกมาก็จะเป็นส่วนที่เรียกว่า อเมริกามูระ (Americamura) เป็นย่านแฟชั่น เต็มไปด้วยร้านค้าที่ขายเสื้อผ้าแนวๆ และแถวนี้ยังเป็นที่ตั้งของร้านไอศกรีมวานิลลากับขนมปังร้อนๆ อร่อยๆด้วย ลองมาหาทานกันได้ครับ
ก่อนที่ผมจะย้อนกลับมา ขากลับผมมาอีกเส้นทางหนึ่ง ตรงนี้เค้าเรียกว่า เซ็นนิชิมาเอะ (Sennichimae) ครับ กลับเพื่อมากินเครป เพื่อนบอกว่าร้านนี้อร่อยมาก เพราะเป็นเครปฝรั่งเศส? ผมถามเพื่อนไปว่า “นี่เรามาญี่ปุ่นจะขอกินเครปญี่ปุ่นไม่ได้เหรอ?!” เค้าบอกว่า “ร้านอื่นไม่รู้นะ แต่ร้านนี้อร่อยสุดแล้ว” จึงหมดไปกับเครปชาเขียวนี้ ¥450 ครับ
เปิดตัวเพื่อนผมกันหน่อย… ผมสื่อสารกับเพื่อนญี่ปุ่นคนนี้ด้วย “ภาษาเกาหลี“ครับ ! ผมรู้จักกับเค้าตอนที่เรียนภาษาเกาหลี อยู่ที่มหาวิทยาลัยยอนเซ ตอนที่เค้าอยู่ที่เกาหลี ผมออกไปเที่ยวกับเค้าบ่อยๆ เป็นคนที่มีสไตล์การกินคล้ายๆกัน คือ ชอบการกินอาหารประเภทปิ้งย่าง เป็นชีวิตจิตใจ เลยสนิทกันครับ… ไม่มีอะไรมากกว่านั้น 😛
เพื่อนเป็นคนโอซาก้า ก็จะช่ำชองเรื่องเส้นทาง ร้านอร่อย อยู่หลายร้านเลยล่ะครับ แต่ติดที่ว่าบางที่คนเยอะไปหน่อย เลยต้องเลือกๆเอาครับ เดินทางไปไหนด้วยเค้าก็จะคอยช่วยเหลืออธิบายแปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาเกาหลีให้ (จริงๆภาษาอังกฤษก็ได้ครับ แต่ผมฟังเค้าไม่รู้เรื่อง 555) ทำให้ชีวิตดูง่ายขึ้นไปอีกเยอะเลยครับ เสียดายที่เค้ายุ่งๆในช่วงนี้ จึงไม่สามารถชวนให้มาเที่ยวได้ทุกวัน
ระหว่างทางมีศาลเจ้าเล็กๆอยู่ตรงนี้ด้วย ^^ (ทราบภายหลังตรงนี้เค้าเรียกว่า ศาลเจ้าโฮเซ็นจิ Hozen-ji Temple ครับ เผื่อจะมาตามหาพิกัดใน Google กันได้ ส่วนร้านเครปนั้นก็อยู่ใกล้ๆกันครับ)
ก่อนที่จะเดินหาร้านทานมื้อดึก เพื่อนก็แนะนำร้านนึงที่มาทานบ่อย เป็นร้านขายแฮมเบิร์กครับ ตอนนั้นบอกตรงๆว่าอิ่มมากแล้ว แต่ก็จัดแฮมเบิร์กแบบธรรมดา เสิร์ฟพร้อมกับข้าว หมดไป ¥648 ครับ
ออกมาเดินเล่น และนี่คือบรรยากาศของโอซาก้ายามค่ำคืนครับ
ก่อนที่ผมจะเดินทางกลับไปที่พัก ในวันแรกก็ได้เพื่อนเป็นคนแนะนำวิธีการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินให้ครับ ที่พักก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากย่านเที่ยวนี้เลย โดยสามารถเดินทางจากสถานีนัมบะ (Namba) ไปยังสถานีโดบุทสึเอ็นมาเอะ (Dobutsuen-mae) ซึ่งห่างกันเพียงแค่ 2 สถานี ค่าเดินทางก็ ¥200 ครับ การซื้อตั๋วรถไฟก็ไม่ยาก เพียงแค่เช็คว่าจะไปลงสถานีไหน ใช้เงินเท่าไร ก็หยอดตู้ไปเลยครับ หลังจากนั้นจะมีหน้าปัดแสดงตัวเลขราคาออกมา ต้องการเท่าไรก็จิ้มกดไป ก็จะได้ตั๋วออกมาแบบนี้ครับ
มาถึงที่พักที่ โรงแรมไดมอนด์ (Diamond Hotel) ก็ได้เพื่อนที่ช่วยพูดคุยติดต่อรายละเอียดทั้งหมดใหัครับ พอไปถึงที่ที่พักก็พบว่า เป็นอาคารที่ค่อนข้างเก่าพอสมควร ห้องเดี่ยว Single room ก็ค่อนข้างเล็ก ห้องอาบน้ำอยู่ที่ชั้น 1 ซึ่งเป็นห้องอาบน้ำรวม และมีเวลาแยกอาบน้ำสำหรับผู้ชาย-หญิงครับ โรงแรมใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ใกล้กับร้านสะดวกซื้อ Familymart (เผื่อกลางคืนหิวจัดก็เดินไปได้สะดวก)
ผมจึงแนะนำที่พักนี้ สำหรับคนที่ ต้องการประหยัดจริงๆครับ สำหรับผู้หญิง ผมไม่แนะนำที่นี่เท่าไร เนื่องจากอาจจะไม่สะดวกหลายๆอย่างครับ หากจะพัก แนะนำให้มาฤดูอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่หนาวหรือร้อน เพราะห้องแบบถูกที่สุดนี้ไม่มีอุปกรณ์ทำความเย็นหรือร้อนให้ครับ เค้ามีแต่เจ้าเครื่องเล็กๆเสียบปลั๊กนี่ ให้ความร้อน เอาไปนอนกอดแทนซึ่งบอกตรงๆว่า มันหนาวอยู่ดีครับ ! แต่เพราะมันใกล้สถานีรถไฟมากๆ (ถึง 2 สายด้วยกัน) จึงถือว่าสะดวกครับ ผมเดินไปอีกหน่อยแถวๆนี้ก็พบว่า มีห้องพักให้เช่าอยู่ค่อนข้างหลายที่ ราคาก็อาจจะแพงขึ้นมาหน่อยสำหรับห้องเดี่ยว แนะนำให้หาข้อมูลดีๆครับ
ได้เวลาพักผ่อนแล้ว….และพบกันใหม่วันพรุ่งนี้ครับ…
Day 2 : ตะลุยปราสาทโอซาก้า (Osakajo)
วันที่สอง ผมเริ่มเตรียมตัวหาข้อมูล พร้อมจะเดินทางคนเดียวแล้วครับ (เพื่อนญี่ปุ่นคนนั้นติดสอบ) จึงขอเริ่มจากอะไรง่ายๆ ช่วงแรกๆ ขอเที่ยวรอบๆ ในเมืองโอซาก้าก่อน วันนี้จึงวางแผนที่จะไป ปราสาทโอซาก้า หรือ Osakajo ครับ การเดินทางผมก็อาศัยเช็คข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์ Japan-guide ซึ่งเว็บนี้ดีตรงที่จะรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของทุกที่ทั่วญี่ปุ่นพร้อมกับวิธีการเดินทางคร่าวๆให้
ผมนั่งรถไฟจากที่พักมาลงที่สถานีอูเมดะ (Umeda) แล้วเดินต่อมายัง สถานีโอซาก้า (Osaka) (สองสถานีนี้อยู่ใกล้ๆกัน) ซึ่งพบว่าคนเยอะมากๆครับ บริเวณนี้ค่อนข้างแออัดกันเลยทีเดียว เพราะว่าที่สถานีโอซาก้านี้ เป็นเส้นทางผ่านของขบวนรถไฟหลายสาย
ผมเองก็เริ่มหิวๆแล้วครับ เลยพักเติมพลังมื้อเที่ยงด้วยการหาร้านอาหารที่อยู่ในสถานี ซึ่งในสถานีรถไฟสายใหญ่ๆที่ญี่ปุ่นนั้นมักจะมีอาคาร หรือห้างใหญ่ๆ เรียงติดกันเป็นพืดให้เดินเล่นสนุกเลยครับ
หน้าตาของเมนูที่สั่งครับ เป็นราเมงในซุปมิโสะเข้มข้นกันเลยทีเดียว กับหมูแผ่น อร่อยดีครับ มื้อนี้หมดไป ¥700
ผมก็ยังคงคอนเซ็ปต์มั่วๆของผม ด้วยการเดินเล่นมั่วๆไปเรื่อยๆในห้างที่เชื่อมกับสถานีโอซาก้าครับ จนไปพบกับร้านที่เป็นแฟรนไชส์นึงที่ผมเคยอ่านเจอในอินเทอร์เน็ต ร้านนี้มีชื่อว่า โตคิวแฮนด์ (Tokyu Hands) ซึ่งลักษณะร้านจะขายของจิปาถะ มีอะไรหลายอย่าง น่ารักๆดีครับ คล้ายๆกับ Loft แต่ผมให้คะแนนความหลากหลายของสินค้าเยอะกว่าหน่อย มีหลายสาขา ตามห้างใหญ่ๆ เรียกว่าตลอดการเดินทางของผมนี่ ไปไหนก็เจอจริงๆ แต่ก็แนะนำนะครับ สำหรับใครที่ชอบร้านค้าแนวนี้ มีทุกอย่างจริงๆ
หลังจากที่เดินตะลุยรอบห้างเสร็จ ผมก็เตรียมพร้อมที่จะเดินทางต่อแล้วครับ
การเดินทางจากสถานีโอซาก้า (Osaka station) ไปที่ปราสาทโอซาก้า นั้นจะต้องนั่ง Osaka Loop Line ซึ่งเป็นรถไฟสาย วนรอบโอซาก้าครับ ให้นั่งจาก สถานีโอซาก้า (Osaka) ไปลงที่ สถานีโอซาก้าโจ-โคเอ็น (Osakajokoen) (ค่าเดินทางจาก Osaka – Osakajokoen ¥160)
และเนื่องจากสถานีโอซาก้านั้นใหญ่มากๆ และเป็นที่รวมรถไฟของหลายขบวน หลายสาย จะไปเส้นทางไหนบางทีต้องอาศัยอ่านข้อมูลจากป้ายครับ ว่าต้องไปขึ้นที่ชานชาลาไหน แต่สำหรับ Osaka Loop Line เส้นทางที่จะไปปราสาทโอซาก้านั้นให้ขึ้นที่ ชานชาลา 2 ครับ
พอขึ้นไปรอรถไฟแล้ว 2 สิ่งที่อยากให้สังเกตก็คือ ป้ายไฟที่บอกว่ารถไฟขบวนไหนจะมากี่โมง และไปที่ไหน กับ ประเภทและชื่อของขบวนรถไฟ ซึ่งจะเป็นป้ายติดอยู่ที่ตรงตัวขบวนครับ ให้สังเกตเพื่อให้มั่นใจว่านั่งถูกขบวนและไม่นั่งขบวนที่เป็นแบบ rapid หรือแบบด่วนพิเศษ (ซึ่งต้องเสียเงินแพง)
เมื่อถึงสถานีโอซาก้าโจ-โคเอ็น (Osakajokoen) แล้วก็ให้เดินออกจากสถานี แล้วตรงมาเรื่อยๆตามป้ายมาได้เลยครับ ผ่านสวนสาธารณะ ก็จะพบทางเข้า มองไกลๆ ก็จะเห็นความสวยงาม และยิ่งใหญ่ของปราสาทโอซาก้าที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโอซาก้าเลยก็ว่าได้ครับ
นอกจากนี้บริเวณรอบๆปราสาทก็ยังเป็นสวนสาธารณะให้คนมาออกกำลังกายด้วย
ค่าเข้าชมปราสาทโอซาก้า นั้นอยู่ที่ ¥600 ครับ ภายในก็จะเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ และชั้นสุดท้าย ชั้น 7 ก็จะเป็นชั้นที่ให้ได้ชมทิวทัศน์รอบๆปราสาท ที่นี่เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 5 โมงเย็นครับ (ตั๋วเข้าชมปิดขายตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง)
(ความคิดเห็นส่วนตัวผมว่า จริงๆแล้วถ่ายรูปแค่บริเวณรอบปราสาทก็ได้ครับ ไม่ต้องเสียเงินเข้าไปข้างใน ถ้าไม่ห่วงถ่ายรูปข้างบนอาคารจริงๆ อีกอย่างรูปที่ถ่ายได้จากข้างบนไม่ค่อยสวยเท่าไรครับ)
ก่อนกลับไปเที่ยวต่อแถวๆนัมบะ (Namba) ผมก็ไปแวะร้านข้าวหน้าเนื้อโยชิโนยะ “Yoshinoya” ที่สถานีรถไฟทามัตสึคูริ (Tamatsukuri) ก่อนที่จะเปลี่ยนสายซึ่งร้านนี้เป็นเฟรนไชส์ครับ มีเห็นอยู่ทั่วญี่ปุ่นเลย ไม่ว่าจะตามในเมืองใหญ่ๆ หรือแม้แต่กระทั่งในห้าง สถานีรถไฟ ก็มีให้แวะทานในราคาที่ถูกมากๆ และมีขนาดของจานให้เลือกหลากหลาย เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่กินจุเท่าไร หรือทานในเวลาเร่งรีบ ก็สามารถไปนั่งสั่ง จากการจิ้มที่เมนูได้เลย สบายๆครับ
ก่อนที่ผมตัดสินใจ ย้อนกลับไปเที่ยวแถว Namba หลังจากที่เมื่อวาน มีโอกาสได้ไปเดินสำรวจคร่าวๆรอบนึง วันนี้จึงอยากจะขอไปเดินช้าๆ สำรวจหน่อยว่ามีอะไรบ้าง
เดินย้อนกลับมาฝั่งสะพานโดทงโบริ (Dodonburi) เดินเข้ามาซอยร้านปูใหญ่ จะมีร้านซูชิหมุนครับ วันนั้นอยากลองทานซูชิหมุน ซึ่งผมได้ยินมาว่าที่โอซาก้าเป็นที่แรกๆ ที่เริ่มทำซูชิสายพาน จึงลองเข้าไปทานซะหน่อย หน้าร้านจะเป็นป้ายรูปมือปั้นซูชิใหญ่ๆแบบนี้ครับ ร้านนี้มีชื่อว่า Genroku Sushi โดยมีให้สั่งเป็นเซ็ต จะมีเมนูวางไว้อยู่หน้าร้านให้ลองไปดูก่อน หรือจะเข้าไปนั่งเลือกกินบนสายพานหมุนๆก็ได้ ถาดละ ¥120 ครับ (เพื่อนญี่ปุ่นบอกว่าแพง ถ้าจะกินร้านถูกๆจะประมาณ ¥100 แต่ถ้าเป็นระดับดีๆหน่อย เซ็ตนึงจะเกิน ¥1,000 ครับ) รสชาติผมว่าอร่อยสมราคาครับ มีซูชิหลายๆหน้าที่ผมอยากทานแบบออริจินอลที่ญี่ปุ่น เมื่อเราไปนั่งที่โต๊ะก็จะก๊อกเติมชาเขียวได้เรื่อยๆครับ สำหรับคนต่างชาติอย่างเราๆไม่คล่องแคล่วเรื่องภาษา ก็สามารถไปทานได้เองง่ายๆ หยิบไปเท่าไรก็จ่ายเท่านั้นครับ เมื่อทานเสร็จแล้วกดปุ่ม ก็จะมีคนมานับจานและพาไปคิดเงินครับ
ร้านซูชิก็ทำผมอิ่มแบบพอประมาณไปได้ 7 จานครับ ก็ต้องยอมรับในความสด ของการไปกินถึงแหล่งจริงๆ ผมรู้สึกว่าปลานั้นก็รสชาติดี สด อร่อยครับ
ก่อนที่จะสิ้นสุดการเดินทางของผมกับทริปในเมืองโอซาก้านี้ในวันนี้ครับ
สรุปการเดินทางทั้งหมดที่ผ่านมาทั้งสองวันนี้…
ตอนแรกผมเองก็กลัวหลง กลัวเดินทางเองไม่ได้ครับ อาจจะเป็นเพราะว่าวันแรกๆมันตื่นเต้นด้วย และยิ่งได้เพื่อนมาช่วยอำนวยความสะดวกให้ในวันแรกนี้ มันสุดแสนจะวิเศษจริงๆ พอเที่ยวเองก็ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ ผนวกกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ ผมก็ถือว่าใช้มันได้คุ้มค่ามากๆครับ อย่างเช่น Google Maps จะใช้ค่อนข้างบ่อย 555 เพื่อให้มั่นใจว่าไม่หลงทิศ ไปถูกทาง หาสถานีรถไฟใกล้ๆได้ และเช่นเดียวกัน ผมเองก็ต้องพึ่งพาเว็บเช็คเวลารถไฟที่ผมบอกไปข้างต้น เพื่อให้มันคำนวณค่าใช้จ่ายให้ ปกติแล้วถ้าเราไม่ใช่เว็บเช็ค ก็อาจจะต้องไปยืนจ้องสายรถไฟอยู่ที่สถานี ซึ่งมันเยอะมากและเป็นภาษาญี่ปุ่นครับ ภาษาอังกฤษก็จะมีตารางราคาเทียบให้ข้างๆตู้จำหน่ายบัตรรถไฟ ซึ่งผมก็แปลกใจว่า ทำไมไม่ออกแบบให้ตู้สามารถเลือกเส้นทางพร้อมแสดงราคาและชำระเงินได้เลย (เหมือนที่มันควรจะเป็น) แต่เอาเป็นว่า สองวันแรกสนุกมากครับ ผมจะเพิ่มลำดับความยาก การเดินทางในวันต่อๆไป ผมจัดลำดับโดยการดูความซับซ้อนจากน้อยไปมาก อันไหนที่เดินทางยากๆ ผมให้ไว้วันท้ายๆ เพื่อให้ผมคุ้นเคยและชินกับเส้นทางก่อน และนี่ก็เป็นเรื่องเล่า 2 วันแรกจากที่โอซาก้าครับ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะ
คร้าบบบ…
To be continued…!
— สารบัญทริปลุยเดี่ยวเที่ยวญี่ปุ่น —
- [วันที่ 1 & 2] วอร์มอัพก่อนเที่ยวญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายเที่ยวญี่ปุ่น จองที่พักในญี่ปุ่น ที่พักราคาถูกใน
Osaka สายการบิน Peach อินเทอร์เน็ตในประเทศญี่ปุ่น ตะลุยเมือง Osaka, Dotonburi,
Shin Saibashi, Americamura วัด Hozen-ji, ปราสาทโอซาก้า, ร้านข้าวหน้าเนื้อ Yoshinoya,
ร้านซูชิสายพานในโอซาก้า- [วันที่ 3] ตะลุยเที่ยวเมืองโกเบ การเดินทางไปยังโกเบ กินเนื้อโกเบที่ร้าน Steakland, วัด Ikuta
ดูหมู่บ้านชาวต่างชาติ Kitano-cho (Foreigners Residents), พุดดิ้งโกเบ, ทาร์ตไข่โกเบ,
ของฝากจากโกเบ, กินอุด้งต้นตำรับโอซาก้า Kijyoyu Udon ร้าน Hagakure- [วันที่ 4] เที่ยวเมืองเกียวโต พาไปชมวัดในเกียวโต การนั่งรถบัสในเมืองเกียวโต, วัดทอง Kinkakuji
ถนน Shijo, วัดน้ำใส Kiyomizu-dera ลองกินไอติมชาเขียว Häagen-Dazs, วัด Yasaka ทางเข้าวัด
Kiyomizu, ชุดกิโมโนในเกียวโต, ของฝากเมืองเกียวโต, ขนม Yasuhashi, เกียวโตเทาเวอร์,
ห้าง Kyoto-Yodobashi- [วันที่ 5 ] เที่ยวเมืองนารา, การนั่งรถไฟไปเมืองนารา, ดูกวางเมืองนารา, three-story pagoda,
สวนสาธารณะนารา, วัด Todaiji, โอโคโนมิยากิร้านดังในโอซาก้า Chibo Okonomiyaki,
Tsutenkaku (Tsutenkaku Tower)