และแล้วก็มาถึงตอนที่สาม กับวันที่ 4 ของการเดินทางในประเทศญี่ปุ่นในแถบคันไซ (Kansai) กับผม Framekung อีกครั้งนะครับสำหรับวันนี้ ในวันนี้ผมจะพาทุกท่านเดินทางไปกันที่เมือง เกียวโต (Kyoto) กันครับ 😀
ผมจัดลำดับการท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต ให้เป็นลำดับเกือบท้ายๆเลยครับ เนื่องจากว่า เท่าที่ได้หาข้อมูลมานั้น เมืองเกียวโต เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมากกก !! โดยเฉพาะวัดและศาลเจ้าต่างๆ ซึ่งแน่นอนล่ะครับ มือใหม่หัดเที่ยวเมืองนอกคนเดียวแบบผมเนี่ย ก็ไม่ทราบหรอกครับว่า การเดินทางไปวัดแต่ละวัดจะต้องเดินทางอย่างไร หรือแต่ละสถานที่อยู่ห่างกันมากแค่ไหน และยิ่งจากการค้นหาข้อมูลเส้นทางการท่องเที่ยวในเกียวโต พบว่า การเดินทางส่วนใหญ่เป็นรถบัสแล้ว ผมจึงขอทำใจด้วยการเที่ยวไปยังเมืองอื่นที่ลำดับความซับซ้อนน้อยๆก่อน จนชินแล้ว ค่อยเพิ่มลำดับความท้าทายขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆแล้วถ้าใครที่เตรียมตัว หาข้อมูลมาดีหน่อยก็อาจจะไม่มีปัญหาเท่าไรครับ เอาล่ะครับ เราลองมาดูกันว่า สำหรับคนที่เตรียมตัวมาน้อยอย่างผม วันนี้จะได้ไปเห็นอะไรกันบ้าง ตามมาดูกันครับ !!
Day 4 : Kyoto
ผมเริ่มเดินทางออกจากที่พักไปยัง สถานีโอซาก้า (Osaka) เพื่อที่จะนั่งรถไฟสาย JR Special Rapid Service ไปลงที่ สถานีเกียวโต (Kyoto) ครับ ซึ่งพอมาถึงสถานีโอซาก้า ก็เหมือนเดิม ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น เนื่องจากว่า จะมีป้ายให้ต้องสังเกตเต็มไปหมด ซึ่งรอบนี้ ผมเองก็ได้ค้นหาเวลาของรถไฟขบวนที่จะไปที่เกียวโต มาเป็นอย่างดีก่อนล่วงหน้าจากเว็บ Hyperdia.com ซึ่งผมได้แนะนำไปในตอนแรก เว็บนี้จะบอกเวลาที่รถไฟมาถึงกี่โมง ทำให้เรามั่นใจอีกทีครับว่า เป็นขบวนที่เราต้องไปจริงๆ
ผมเจอชานชาลาที่ไปเกียวโตแล้วครับ แต่ว่าทำไมพอสังเกตที่ป้าย ตรงปลายทาง (Destination) ไม่เห็นมีสายไหนที่ไปเกียวโตเลย !! ทำให้ผมหยุดงงและตั้งสติอยู่สักพัก
สรุปก็คือว่า !! สายเหล่านี้ มันผ่านสถานีเกียวโตหมดครับ !! สิ่งที่สังเกตก็มีเพียงแค่ ขบวนของรถไฟเท่านั้นเอง ซึ่งอย่างที่บอกไปว่า มันมีหลายขบวนตามความเร็ว อย่าง Rapid ก็จะเป็นแบบเร็วพิเศษ ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ส่วนใครจะนั่งแบบไปลงทุกสถานี ก็ต้องนั่งแบบ Local แต่ในทริปนี้ ให้นั่งแบบ Special Rapid Service ครับ (ตัวย่ออย่างที่เห็นบนป้ายก็คือ S.Rapid) !! จะทำให้ไปถึงสถานีเกียวโต (Kyoto station) ภายในเวลา 28 นาที (¥560/เที่ยว)
เมื่อมาถึงสถานีเกียวโต (Kyoto) แล้ว ก็จะเห็นบรรยากาศแบบนี้ครับ คนค่อนข้างเยอะมากเลยทีเดียว มาถึงแล้วก็ให้หาป้าย Tourist Information Center ไว้ก่อนครับ เพราะเราจะไปซื้อตั๋วชมเมืองเกียวโตและขอข้อมูลแผนที่กันจากที่นั่นครับ
ผมเดินเข้าไปการเดินทางไปวัดที่ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวครับ โดยวัดที่ผมอยากไปมากที่สุดเลย คือ วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji : Golden Pavilion) เป็นวัดที่มีสีทอง เป็นวัดที่เป็นต้นแบบของการ์ตูนเรื่องอิคิวซังที่เราคุ้นเคยกันด้วย ผมเห็นคนถ่ายภาพมุมต่างๆของวัดนี้ออกมาได้สวยงามมาก ทำให้วัดนี้เป็นวัดที่ผมจะต้องไม่พลาด ในการเดินทางมาเกียวโตครั้งนี้ครับ และด้วยความที่ผมเดินทางมาถึงนี่ค่อนข้างช้า ผมจึงมีเวลาไม่มากกับการเดินทางครับ จึงต้องเลือกเที่ยวเพียงบางแห่งเท่านั้น และวัดที่สองที่ผมอยากไปดู คือวัดที่คนไทยพูดถึงกันมากเหมือนกัน สำหรับวัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) หรือ วัดน้ำใส ในชื่อไทย สำหรับผม ผมเรียกวัดนี้ว่า วัดควีโยมิ ครับ อิอิ >< (ก็เล่นออกเสียงคล้ายกันซะขนาดนี้)
เมื่อเป้าหมายชัดเจนแล้ว ผมก็ตกลงซื้อเป็นบัตรท่องเที่ยวภายในตัวเมืองเกียวโตเรียกว่า บัตร Kyoto Sightseeing Pass ครับ ซึ่งเป็นบัตรที่สามารถใช้นั่งรถไฟใต้ดินและรถบัสฟรีตลอดวันครับ ราคาอยู่ที่ ¥1,500 ในการเดินทางจากที่สถานีเกียวโต ไปยัง วัดทอง คินคะคุจิ (Kinkakuji) นั้น ถ้าหาข้อมูลมาจากอินเทอร์เน็ต การเดินทางเค้าก็จะพาเริ่มต้นจากที่สถานีเกียวโต ซึ่งไม่ยากอยู่แล้วครับ แต่ประเด็นคือ ! จากวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji) ไปยังวัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) เนี่ยสิ…จะต้องเดินทางยังไง ไปถามข้อมูลที่ศูนย์บริการฯนี้ เค้าก็จะกางแผนที่ใหญ่ๆให้ดู แล้วอธิบายให้ฟังชัดเจนเลยครับว่า วัดอะไรอยู่ตรงไหน ใช้เวลาเท่าไร เดินทางยังไง แถมก็ยังมีแผนที่การเดินทางด้วยบัสอีกด้วย ว่ารถบัสสายไหนผ่านตรงไหนบ้าง .. โหย !! ถ้ารู้อย่างงี้ วางแผนมาดีๆ ก็ได้เที่ยวเยอะแล้ว ! นั่นเป็นความคิดของผมครับ แต่อย่างไรก็ดี วัดแต่ละวัดมีค่าเข้าชมด้วย ดังนั้นผมก็ต้องเลือกที่เป็น highlight ก่อนครับ
การเดินทางไปยังวัดทองนั้น ทำได้หลายวิธีครับ หากนั่งรถบัสไป ก็จะใช้เวลามากหน่อย (ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะ 45 นาที) แต่ก็มีคนเขียนในเน็ตไว้ว่า ถ้านั่งรถไฟใต้ดิน ก็จะใช้เวลาน้อยลง ไม่ต้องไปห่วงรถติดด้วย ผมจึงตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินแทน
สรุปข้อมูลการเดินทางที่ได้มาจากศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว
- สถานที่ ที่ผมจะไปมีอยู่สองที่ใหญ่ๆ คือ วัดทอง คินคะคุจิ (Kinkakuji) และวัดน้ำใส คิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) ตอนแรก ผมก็ได้สอบถามถึงความเป็นไปได้ที่ผมดูสองวัดนี้เสร็จแล้วจะไปดูวัดอื่นต่อ.. แต่พนักงานบอกว่า ตรงวัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) จะมีวัดเล็กๆ และมีอะไรให้ดูอีกเยอะ ไปแค่นี้ก็คุ้มแล้ว (เพราะเล่นมาถึงซะบ่ายแก่ๆขนาดนี้)
- จากสถานีเกียวโต ไปวัดทอง คินคะคุจิ (Kinkakuji) (แบบเร็วที่สุด)- นั่งรถไฟใต้ดินจากที่สถานีเกียวโต (Kyoto) ไปลงที่สถานี Kitaoji และนั่งรถบัสสาย 101 หรือ 205 จากสถานี Kitaoji ไปลงที่สถานี Kinkakuji-michi (จอดตรงข้ามวัด)
(การเดินทางจริงๆแล้วสามารถนั่งรถบัสสาย 101 ตรงจากหน้าสถานีเกียวโต (Kyoto) ไปยังวัดได้ทันทีเลยครับ แต่ว่ารถค่อนข้างติดและคนเดินทางมาท่องเที่ยวเยอะเป็นบางวัน อาจจะไม่มีที่นั่งและต้องใช้เวลาเดินทางนานครับ)- การเดินทางจากวัดทอง คินคะคุจิ (Kinkakuji ) ไปยังวัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera)- ออกมานั่งรถบัส สาย 12 หรือ 59 จากสถานี Kinkakuji-mae ไปลงที่สถานี Shijo Kawaramachi หรือ Shijo Keihan-mae หรือ Gion ก่อนที่จะเดินเข้าไปทางศาลเจ้า Yasaka ทะลุไปยังวัดต่างๆ จนถึงวัด Kiyomizu-dera
จากศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว ออกมาก็เลี้ยวซ้ายเลยครับ จะเจอบันไดเลื่อน ให้ลงไปในห้างที่ชื่อ porta สังเกตตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นสถานีรถไฟใต้ดินครับ ตั้งแต่วินาทีนี้เราก็เริ่มใช้บัตร Sightseeing ที่เราเพิ่งซื้อมาไปลุยกันได้เลย !!
พอไปถึงสถานี Kitaoji ซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อกับ Bus Terminal แล้ว เราก็จะต้องนั่งรถบัสต่อไปอีกสักหน่อยครับ ซึ่งพอเราเดินออกมาจากรถไฟ ก็จะเห็นป้ายบอกชัดเจนเลยว่า จะนั่งรถบัสไปลงที่ไหน… ผมจะนั่งไปลงวัด Kinkakuji ก็เดินตามป้ายไปเลยครับ สำหรับรถบัสที่ผ่านจากที่นี่ไปยังที่วัด Kinkakuji นั้น มีด้วยกันสองสายคือสาย 101 และ 205 (อ้อ เดี๋ยวจะตกใจกันว่า คนไม่รู้เรื่องเส้นทางอย่างผม รู้หมายเลขรถบัสได้ยังไง ก็ต้องบอกก่อนครับว่า ข้อมูลนี้ได้มาจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเมื่อสักครู่นี้ครับ 555)
จากนั้น ก็นั่งรถบัสต่อไปอีกประมาณ 10 นาที จนถึงสถานี Kinkakuji-michi ครับ ลงที่สถานีนี้ เวลาลงเราจะลงประตูหน้าของรถบัสครับ ก็ให้แสดงบัตร Sightseeing ที่เราซื้อมาโชว์ให้กับคนขับรถ แล้วก็เดินออกมาครับ เมื่อถึงสถานี Kinkakuji-michi แล้ว ก็เดินข้ามทางม้าลาย ตรงไปเรื่อยๆเลยยย… ก็จะเห็นทางเข้าวัดคินคะคุจิ Kinkakuji !!
วัดทอง คินคะคุจิ (Kinkakuji)
ค่าเข้าชมวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji) อยู่ที่ ¥400 ครับ เมื่อซื้อตั๋วเดินเข้ามาเรื่อยๆแล้ว สิ่งที่ทุกท่านจะได้เห็นทันทีที่มองตรงไปข้างหน้าก็คือ …. แสงสีทองของวัดที่ส่องมากระทบน้ำ ทำให้เห็นเป็นสีทอง อร่าม ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของวัดนี้เลยล่ะครับ
เป็นภาพความสวยงามที่จะไม่มีวันลืมเลยจริงๆครับ…
และเราก็เดินต่อไปยังบริเวณรอบๆวัด ก็ยังมีส่วนที่น่าสนใจอื่นๆอีกครับ
ถนนชิโจ (Shijo)
ก่อนที่ผมจะเดินทางต่อ ไปยังสถานที่ต่อไปคือวัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) ! ซึ่งผมก็จะต้องนั่งรถบัสจากสถานี Kinkakuji-mae ไปลงตามที่เขียนสรุปไว้ข้างบนครับ ซึ่งสถานีนี้ จะเป็นคนละสถานีกับตอนที่มาลงนั่นเอง โดยสถานีนี้จะอยู่ขวามือ ทันทีที่ออกมาจากวัดครับ ไม่ชัวร์ก็อย่าลืมเช็คป้ายสถานีเท่านั้นเองครับ จากนั้นผมก็รอรถสาย 2 ที่จะไปลงสถานีแถวๆนั้น
ด้วยความที่รถติดแถวๆในช่วงสถานี Shijo Kawaramachi/ Shijo Keihan-mae และ Gion (กิอง) มากครับ ตอนแรกกะว่าจะไปลงที่กิอง (Gion) จึงตัดสินใจ เปลี่ยนไปลงที่ Shijo Keihan-mae แล้วเดินต่อไป ทันทีที่ผมลงจากรถบัส ภาพที่เห็นก็เป็นถนน กับร้านค้า ยาวเรียงรายเต็มไปหมดเลยครับ … ผมพอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมพนักงานที่ศูนย์บริการข้อมูลฯ เค้าให้ผมเลือกลงที่ไหนก็ได้
สิ่งนึงที่ผมเริ่มสังเกตเห็นก็คือ….การแต่งชุดยูกาตะของคนในเกียวโต ครับ ก่อนหน้านี้ที่ไปเที่ยวมา ไม่ว่าจะเป็นโอซาก้า หรือโกเบ ก็ไม่เห็นใครแต่งชุดยูกาตะ มาเดินกลางถนนแบบนี้ และไม่ใช่แค่กลุ่มนี้กลุ่มเดียว ยังมีให้เห็นเต็มไปหมดเลยครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็ได้ถามเพื่อนญี่ปุ่น เค้าก็บอกว่า ที่เมืองเกียวโต นี้ หากใครที่แต่งชุดยูกาตะ ก็จะสามารถนั่งรถไฟใต้ดินฟรีครับ !! โหย….เป็นนโยบายที่จับต้องได้ ที่ผมได้ยินแล้ว อึ้ง ทึ่ง ในความคิดของคนญี่ปุ่น ที่ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์จริงๆ และแน่นอน ทำให้บรรยากาศทุกเส้นทางในการเดินทางเที่ยวเกียวโตครั้งนี้ ดูแล้วเป็นบรรยากาศของญี่ปุ่นจริงๆ…
ส่วนใครอยากลองสวมชุดแบบนี้ไปถ่ายรูป เดี๋ยวนี้มีเว็บให้เราจองไปล่วงหน้า แล้วก็ไปที่ร้านเลือกชุดได้ทันทีเช่นกันครับ มีทั้งของชายและหญิง เป็นแบบเช่าทั้งวันเลย ตกคนละประมาณ 850 บาท ลองเข้าไปดูในเว็บ Klook นี้ได้ครับ
ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka shrine)
บรรยากาศภายในนี้ต้องขอบอกว่า ร่มรื่น และมีวิวสวยๆที่เหมาะกับการถ่ายรูปอยู่หลายจุดเลยครับ ก่อนที่หลังจากนี้ ผมจะเริ่มตามเส้นทางจาก Google Maps เป็นส่วนใหญ่ ในการเดินเชื่อมไปยังวัดต่างๆ ซึ่งยังไงก็ดี ให้ลองสังเกตป้ายไว้ก่อนครับ ซึ่งเมื่อเดินทะลุผ่านไปยังวัดต่างๆ สิ่งที่จะได้เห็นต่อเนื่องเรื่อยๆเลย ก็คงเป็นบ้านเรือนที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นๆ ได้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นตลอดเส้นทางเลยครับ
และแล้ว เราก็เดินมาถึงวัดคิโยะมิซุ Kiyomizu-dera ครับ….
วัดน้ำใส คิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera)
เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะเห็นจุดจำหน่ายบัตรครับ ค่าเข้าชมวัดคิโยะมิซุอยู่ที่ ¥300 ครับ วัดนี้เปิดให้เข้าชมจนถึง 6 โมงเย็น จึงเป็นวัดอีกวัดนึง ที่เหมาะสำหรับเที่ยวปิดท้ายการเดินทางครับ และเนื่องจากการเดินทางจากศาลเจ้ายาซากะ เมื่อสักครู่ มาถึงบริเวณนี้ค่อนข้างซับซ้อน แนะนำให้เผื่อเวลาด้วยนะครับ…
เดินต่อมาเรื่อยๆ ก็จะเป็นทางลงมาชั้นล่าง ซึ่งเป็นบริเวณของน้ำตกโอโตวะ (Otowa-no-taki) ซึ่งนี่อาจจะเป็นที่มาของคำว่า วัดน้ำใส นี่ก็ได้ เพราะทุกคนก็จะนำกระบวยมาตักน้ำ มาล้างมือ มาดื่มบ้าง ทั้งนี้ก็เพราะความเชื่อที่ทำจะทำให้สุขภาพดี และโชคดีนั่นเองครับ
ก่อนที่จะกลับไปยังเส้นทางเดิม ก็พบร้านค้าอยู่มากมาย มีอยู่ร้านนึงที่ผมมีโอกาสไปชิมขนมชิ้นนึง ซึ่งเจ้าขนมนี้ เค้าเรียกว่า “ยาซูฮาชิ (Yasuhashi)” ครับ เป็นแผ่นแป้งบางๆข้างในสอดใส้ต่างๆ ไปหาลองชิมในร้านได้เลยครับ และด้วยความที่แป้ง มีกลิ่นของอบเชย (ชินนาม่อน)นิดๆด้วย คนญี่ปุ่นบางคนไม่ค่อยชอบครับ ฮ่าๆ แต่ผมชอบ จึงได้ซื้อติดกลับมากินที่เกาหลีด้วย
ก่อนที่ผมจะเดินเล่นไปรอบๆ ถนนชิโจ (Shijo) สักพัก หลังจากที่ตามรอยเส้นทางจาก Google Maps กลับมาที่สถานีเกียวโตจากการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับมาแล้ว ผมก็หาอะไรทานหลังจากที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันครับ โดยวางแผนว่าจะไปกินบนห้าง เพราะหวังว่าเค้าจะมีเมนูที่เป็นภาพให้ชี้จิ้มกินได้ง่ายๆหน่อย
เมื่อเดินมาเรื่อยๆ ก็จะเห็นห้างเกียวโต-โยโดบาชิ (Kyoto-Yodobashi) นี้ครับ ชั้น 7 เห็นว่ามีศูนย์อาหาร
สุดท้ายผมก็ไปเลือกร้านนึงที่มีเมนูที่มันน่าทานเสียยิ่งกะไร …. มันเป็นร้านที่ขายลิ้นหมูย่างเกลือครับ 555!! ผมนำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อน เพื่อนบอกว่า นี่แกกินเหมือนลุงแก่ๆเค้ากินกันเลยนะ แต่มันก็อร่อยจริงๆแหละ
หลังจากกินอิ่มแล้ว ก็มาเดินเล่นในห้างย่อยครับ มาเจอแผนกของเล่น ที่ผมเชื่อว่า ใครที่ชอบการ์ตูนญี่ปุ่น โมเดล อะไรต่างๆ จะเสียเงินเอาง่ายๆก็เพราะแบบนี้นี่ล่ะครับ.. (โชคดีที่เราไม่บ้าการ์ตูนญี่ปุ่นมาก….)
ก่อนที่ผมจะกลับมาพักผ่อนที่โรงแรมในโอซาก้า อันเป็นที่สิ้นสุดการเดินทางของทั้งวันนี้ครับ
บทสรุปการเดินทางของวันนี้
เกียวโต เป็นอีกเมืองนึงที่น่าหลงไหลจริงๆครับ ผมชอบในความที่เค้ารักษาความเป็นเอกลักษณ์ ของความเป็นญี่ปุ่นไว้ได้อย่างดี จากการที่ผมได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศที่คนญี่ปุ่นแต่งชุดกิโมโน เดินเต็มทั่วท้องถนน ผนวกกับอาคารต่างๆ ร้านค้าต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นแบบเอกลักษณ์เฉพาะตัวของญี่ปุ่น มันกลืนกันอย่างลงตัวจริงๆ ทำผมแอบคิดไปด้วยว่า หากประเทศไทยจะมีย่านที่คนไทยแต่งชุดไทย เดินอยู่ในตามวัด หรือตลาดน้ำ ก็คงอาจจะให้ความรู้สึกเดียวกันกับที่ผมมาเกียวโต และก็คงจะดูดีไม่น้อยเลย… นี่ล่ะครับ เสน่ห์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่รู้สึกได้
และแม้ว่าวัดจะมีอีกหลายแห่งด้วยกันในเกียวโตที่ผมไม่ได้ไป แต่ในบริเวณวัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) นี้ ก็เป็นอีกวัดนึงที่ผมแนะนำให้มาให้ได้ครับ เพราะข้างในมีความน่ารักๆ อะไรให้เห็นอยู่อีกเยอะเลยครับ และแน่นอน ผมอยากให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาตัวเอง มันยังมีอีกหลายๆความรู้สึกที่ถ่ายทอดผ่านบล็อกนี้ไม่ได้จริงๆ
การเดินทางที่ผมประเมินให้วันนี้ว่ายากสุด ก็กลับไม่ยากอย่างที่คิดครับ ย้ำว่าให้ไปขอแผนที่และเพื่อความชัวร์คือให้เค้าแนะนำการเดินทางให้เราโดยคร่าวๆ ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการเที่ยวคนเดียวครับ
คืนนี้มีความสุขมากครับ การเดินทางผม อีกไม่นานก็จะเข้าสู่วันที่ 5 ของการเดินทางแล้ว
ยังไงก็อย่าลืมติดตามตอนต่อไปกับ Kansai Trip by Framekung ต่อไปให้ได้นะคร้าบบ ^^
To be continued….
— สารบัญทริปลุยเดี่ยวเที่ยวญี่ปุ่น —
- [วันที่ 1 & 2] วอร์มอัพก่อนเที่ยวญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายเที่ยวญี่ปุ่น จองที่พักในญี่ปุ่น ที่พักราคาถูกในOsaka สายการบิน Peach อินเทอร์เน็ตในประเทศญี่ปุ่น ตะลุยเมือง Osaka, Dotonburi, Shin Saibashi, Americamura วัด Hozen-ji, ปราสาทโอซาก้า, ร้านข้าวหน้าเนื้อ Yoshinoya, ร้านซูชิสายพานในโอซาก้า
- [วันที่ 3] ตะลุยเที่ยวเมืองโกเบ การเดินทางไปยังโกเบ กินเนื้อโกเบที่ร้าน Steakland, วัด Ikutaดูหมู่บ้านชาวต่างชาติ Kitano-cho (Foreigners Residents), พุดดิ้งโกเบ, ทาร์ตไข่โกเบ, ของฝากจากโกเบ, กินอุด้งต้นตำรับโอซาก้า Kijyoyu Udon ร้าน Hagakure
- [วันที่ 4] เที่ยวเมืองเกียวโต พาไปชมวัดในเกียวโต การนั่งรถบัสในเมืองเกียวโต, วัดทอง Kinkakujiถนน Shijo, วัดน้ำใส Kiyomizu-dera ลองกินไอติมชาเขียว Häagen-Dazs, วัด Yasaka ทางเข้าวัด Kiyomizu, ชุดกิโมโนในเกียวโต, ของฝากเมืองเกียวโต, ขนม Yasuhashi, เกียวโตเทาเวอร์, ห้าง Kyoto-Yodobashi
- [วันที่ 5 ] เที่ยวเมืองนารา, การนั่งรถไฟไปเมืองนารา, ดูกวางเมืองนารา, three-story pagoda, สวนสาธารณะนารา, วัด Todaiji, โอโคโนมิยากิร้านดังในโอซาก้า Chibo Okonomiyaki, Tsutenkaku (Tsutenkaku Tower)