ผ่านพ้นไปไม่กี่เดือนก็ถึงคราวที่ผมกลับมาท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นนี้อีกครั้งครับ ครั้งที่แล้วเป็นการเดินทางคนเดียวของผมที่ญี่ปุ่นจริงๆ ใครที่สนใจอยากจะไป backpack ตะลุยเที่ยว ตามรอยวัดและสถานที่สำคัญต่างๆในย่านคันไซ (โอซาก้า เกียวโต โกเบ นารา) ผมภูมิใจนำเสนอบล็อกบันทึกการท่องเที่ยวของผมตอนที่แล้วเลยครับ…
ครั้งนี้อาจจะเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างแปลกไปจากครั้งที่แล้วสักหน่อย ด้วยระยะเวลาท่องเที่ยวที่ยาวขึ้นเกือบ 2 อาทิตย์ (12 วัน) กับการท่องเที่ยวของผม ซึ่งรอบนี้เน้นเก็บรายละเอียด เพื่อที่จะนำประสบการณ์ดีๆมาฝากคุณผู้อ่านครับ ทำให้การเตรียมตัวจึงต้องมากกว่าเดิม และรอบนี้จะพิเศษกว่ารอบที่แล้วตรงที่ว่า ผมจะได้ไปเที่ยวกับคนในพื้นที่ ! คือ เพื่อนๆชาวญี่ปุ่นครับ จึงทำให้ตอนนี้มีอะไรที่มากกว่าคำว่า “ไปเที่ยว” อยู่พอสมควร เรื่องราวการเดินทางในครั้งนี้ เรียกว่าจะมาเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆให้กับครั้งที่แล้วที่ญี่ปุ่น ที่ผมนำมาฝากทุกคนในครั้งนี้ อยากให้ทุกคนลองติดตามอ่านกันดูนะครับ เอาล่ะ เรามาลองดูทริปของผมภาพรวมในครั้งนี้กัน

วันที่ 1-3 : เดินทางถึงโอซาก้าตอนบ่าย ท่องเที่ยวในย่านคันไซ (Kansai) (เกียวโต (Kyoto) และโกเบ (Kobe))
วันที่ 4-10 : โตเกียว (Tokyo)
วันที่ 11-12 : กลับโอซาก้า พักผ่อน+ซื้อของฝาก
และนี่ก็เป็นแผนคร่าวๆครับ เหตุผลที่ผมต้องกลับมาที่โอซาก้าก็เพราะว่า สายการบินพีช (Peach aviation) ต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินนานาชาติคันไซ (KIX) ครับ
วางแผนการเดินทาง
รอบนี้ผมทราบมาว่าที่ญี่ปุ่นภาษีเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 8% ครับ ก็คิดว่าค่าใช้จ่ายต่างๆอาจจะเพิ่มขึ้น การเดินทางครั้งนี้ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือ ใช้เงินเก็บส่วนตัวในการเดินทางเองทั้งหมดครับ แต่ด้วยระยะเวลาเดินทางที่นานหน่อย ก็คิดว่าค่าใช้จ่ายก็อาจจะสูงขึ้นตามมาด้วย ก่อนเดินทางผมจึงมีรับจ็อบพิเศษบ้าง รวมไปถึงวางแผนการใช้เงินค่อนข้างรัดกุมหน่อยล่ะครับ
การจองที่พัก ก็เช่นเดิม ผมใช้บริการจากเว็บไซต์ Booking.com ในการหาสถานที่พักในโตเกียวครับ ในโอซาก้า
นั้นอย่างที่บอก รอบนี้ไปพักที่บ้านเพื่อน ผลสรุปก็คือ ผมอยากจะนอนสบายๆใน 3 คืนแรกที่โตเกียวครับ จึงตัดสินใจหาโรงแรมที่มีเตียงเดี่ยว ในย่านที่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยว หรือเดินทางสะดวกหน่อย ก็ไปพบกับโรงแรมซากุระ อิเคบุคุโระ (Sakura Ikebukuro hotel) ครับ ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานี Ikebukuro ย่านท่องเที่ยวดีๆเลย ส่วนอีก 2 คืน ต้องการประหยัดงบ และอยากลองที่พักแบบนอนรวม ผมจึงได้ห้องแบบ Mixed dormitory (6 เตียง) ที่โรงแรม Sakura Asakusa Hostel ครับ เป็นโรงแรมในเครือเดียวกันกับสามคืนแรก ก็ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงมาหน่อย แลกกับความไม่สะดวกเล็กๆน้อยๆครับ
ในการเดินทางจากโอซาก้า (Osaka) ไปโตเกียว (Tokyo) นั้น จริงๆมีด้วยกันหลายวิธีครับ นั่งรถไฟอาจจะเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด รถไฟความเร็วสูงอย่างชินกังเซ็น ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ชม. แต่ค่าใช้จ่ายต่อรอบก็ค่อนข้างสูง (เกือบพอๆกับค่าตั๋วเครื่องบินของผมเลยทีเดียว) อีกวิธีคือการนั่งรถบัสกลางคืนครับ ซึ่งผมเองก็มีโอกาสได้อ่านรีวิวจาก Pantip อยู่ ซึ่งมีข้อดีคือประหยัดค่าโรงแรมได้ เนื่องจากสามารถไปนอนบนรถบัสได้ครับ การเดินทางใช้เวลาประมาณ 8 ชม. จากโอซาก้าไปโตเกียวครับ
การวางแผนการเดินทาง การเก็บเงิน และการจองโรงแรม คิดว่าเป็นสิ่งที่ควรจะทำเนิ่นๆ ก่อนการเดินทางครับ
ไฟลท์ของผมครั้งนี้เดินทางถึงโอซาก้าเช้าครับ ก็เพื่อจะให้เวลาในการท่องเที่ยวมากหน่อย ทันทีที่ผ่านตม. ก็มาเจอตรงด่านตรวจค้นสัมภาระครับ ก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะโดนค้นกระเป๋า! ผมเองก็สงสัยว่าผมเองพกพาอะไรน่าสงสัยมา มีแต่เครื่องใช้ส่วนตัวกับของฝากเล็กน้อยๆเท่านั้น ปรากฏว่าเป็นเพราะ “มาม่าเกาหลี” ที่ผมแบกมาฝากเพื่อนที่ญี่ปุ่น โดนนำเอาไปตรวจครับ ก็ได้แต่แอบสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพื่อนก็มาเล่าให้ฟังทีหลังว่า ช่วงนี้แอบมีข่าวเกี่ยวกับการลักลอบขนยาเสพติดมาทางผงซุปที่อยู่ในมาม่านี้ล่ะครับ ทำให้ผม อ๋อ…..!! ก่อนจะหยุดสงสัยไป
ผมเดินทางมาที่สถานี Tengachaya ด้วยสาย Nankai ซึ่งนั่งตรงมาจากสนามบินเพียง 40 นาที ก่อนที่เพื่อนจะนำผมไปที่บ้านครับ
เพื่อนผมคนนี้คือคนเดียวกันกับที่แนะนำไปตอนที่แล้ว เค้าเป็นคนโอซาก้า และเนื่องจากครั้งที่แล้วเค้าไม่มีเวลาไปเดินเที่ยวกับผมมากนัก คราวนี้เค้าเคลียร์ตารางงานเพื่อให้มาเที่ยวกับผมให้ได้ แล้วก็พร้อมให้ผมไปพักที่บ้านของเค้าด้วย จึงทำให้การเดินทางในโอซาก้าครั้งนี้ สะดวกกว่าครั้งที่แล้วมากครับ
Osaka โอซาก้า มากี่ทีไม่มีเบื่อ …
เอากระเป๋ามาเก็บไว้ที่บ้านเพื่อนเสร็จ ก็เดินทางออกไปที่ Namba (นัมบะ) ครับ ย่านช็อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในโอซาก้า เต็มไปด้วยบรรดาร้านค้า แบรนด์ต่างๆมากมาย เพื่อนผมพาไปทานทาโกะยากิ อีกร้านหนึ่งที่อร่อย ซึ่งอยู่ตรงบริเวณสะพานป้ายกลิโกะครับ เป็นร้านที่อยู่ติดบันไดเดินลงมาเลยครับ
ก่อนที่เราจะเดินมาหาอะไรกินดับร้อนแถวๆ Americamura (อเมริกามูระ) ย่านเด็กแนว เต็มไปด้วยแฟชันแห่งนี้ ครั้งที่แล้วมาเดินแถวนี้ตอนค่ำ จึงทำให้ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดไม่ค่อยเห็นอะไรมากครับ แต่มาครั้งนี้ก็พบว่า มีร้านขายเสื้อผ้าแนวๆ ร้านขายของเล่นแปลกๆอยู่ฝั่งนี้เยอะเลย
มื้อเย็นนี้ ผมเลือกที่จะทานราเม็งครับ เป็นเมนูที่ผมตกหล่นจากทริปครั้งที่แล้ว เพื่อนพาผมมาทานที่ร้าน Kamakura ร้านนี้เป็นร้านราเม็งอีกร้านที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว รวมไปถึงคนญี่ปุ่นเองด้วย ด้วยรสชาติ และความสะดวกสบายในการสั่ง มีเมนูให้ดูอยู่หน้าร้าน ทั้งภาษาญี่ปุ่น อังกฤษ และภาษาเกาหลี วิธีการสั่งก็สุดแสนง่ายดาย ใส่เงินเข้าไป เลือกเมนูที่อยากทาน เข้าไปในร้านหาที่นั่ง จากนั้นก็ยื่นใบเสร็จให้พนักงานเท่านั้นครับ ก็จะได้ทานราเม็งอร่อยๆแล้ว


และเราก็ไปปิดท้ายกันด้วยของหวานครับ เพื่อนผมพามาทานชาเขียวที่ร้าน nana’s green tea เป็นอีกหนึ่งร้านเฟรนไชส์ที่มีเครื่องดื่มตั้งแต่กาแฟ ไปจนถึงชาเขียว และมีขนมหวานอย่างโมจิ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้ทาน “warabi mochi (วาราบิโมจิ)” เป็นโมจิชนิดหนึ่งที่โรยด้วยผง kinako (คินาโกะ) และราดด้วยซอสที่ทำจากน้ำตาลแดงครับ มีโอกาสลองไปหาทานดูครับ เค้าบอกว่าเป็นที่นิยมมากในย่านคันไซนี้ครับ
ร้านค้าอีกร้านหนึ่งที่ผมชอบมาก จากตอนที่แล้วผมแนะนำแหล่งสำหรับซื้อของฝาก วันนี้เย็นๆกลับมาเดินเล่นกันอีกรอบครับ สำหรับร้านนี้ “Don quixote (ดงกิโฮเตะ)” ร้านนี้มีสินค้ามากมายหลายอย่างเลย ตั้งแต่ของกิน ของใช้ ของเล่นแปลกๆ ในราคาที่ย่อมเยาครับ บอกเลยว่าร้านนี้สามารถมาเดินเล่นกันได้เป็นชม.ๆ อีกทั้งยังเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และรับบัตรเครดิตอีกด้วย ใครที่มองหาของฝากก็สามารถมาเลือกซื้อที่นี่ได้ครับ
ก่อนที่เราจะกลับบ้านไปพักผ่อนสำหรับคืนนี้ครับ คืนนี้ผมนอนที่บ้านเพื่อน ที่บ้านเพื่อนมีห้องว่างให้ผมอยู่ห้องนึงครับ เป็นบ้านสองชั้น ข้างล่างเป็นโรงรถ เค้าไม่ยอมให้ผมถ่ายรูปบ้านมาเพราะแอบรก เค้าบอกว่าเก็บบ้านกันทั้งวัน ทันทีที่รู้ว่าเราจะมา บ้านแอบเป็นสไตล์สมัยใหม่หน่อย ไม่ใช่แบบญี่ปุ่นจ๋าๆ แต่ความทันสมัยก็ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่นครับ อย่างเรื่องห้องน้ำ ชักโครกอัตโนมัตินี่เหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติไป(นาน)แล้ว
เอาล่ะครับได้เวลาพักผ่อน ก่อนเดินทางไปเที่ยวพรุ่งนี้กันต่อครับ
เกียวโต (Kyoto)
เกียวโตมีวัดหลายๆวัดที่ใช้เวลาในการท่องเที่ยวเยอะมากครับ รอบที่แล้วผมนั่งรถไฟสาย JR ไปลงเกียวโต แล้วเดินทางไปวัดด้วยรถบัสครับ แต่รอบนี้การเดินทางจะเป็นรถไฟหมดเลย มีรถไฟสายนึงที่ผ่านเส้นทางวัดสำคัญๆที่ผมอยากไป นั่นก็คือสาย Keihan ครับ รอบนี้ซื้อเป็นบัตร 1 วัน (1 Day pass) ของรถไฟสาย Keihan ซึ่งซื้อได้จาก Tourist Information Center ของสถานีที่สาย Keihan ผ่าน (ตอนนั้นซื้อที่สถานี Yodoyabashi) ราคาอยู่ที่ ¥1,200

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi-inari Shrine)
เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Fushimi-inari ครับ ทันทีที่ถึงสถานี ก็จะเห็นความสวยงามของสถานีที่ถูกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศศาลเจ้า เดินเข้าไปอีกนิดหน่อย ก็จะได้ชมความสวยงามของประตูศาลเจ้าที่วางทอดเรียงกันสวยงามให้ได้ถ่ายรูปกัน เป็นอีกหนึ่งมุมยอดฮิตของนักท่องเที่ยว…
อ้อ !! ที่นี่ไม่เก็บค่าเข้าชมครับ
ประตูศาลเจ้าที่วางทอดเรียงกัน จะสังเกตว่ามีข้อความที่อยู่ตรงบริเวณเสาทุกต้นครับ ซึ่งแสดงชื่อหรือบริษัทที่จัดสร้าง และลงวันเดือนปีที่สร้างไว้ครับ ความยาวหากเดินต่อไปเรื่อยๆก็จะใช้เวลาร่วมชม.เลยทีเดียว
สะพานอูจิ (Uji bridge) และ วัดเบียวโดอิน (Byodoin temple)
พวกเรานั่งรถไฟเตลิดไปลงที่ศาลเจ้าฟูอิชิมินาริก่อนครับ จริงๆแล้วเราว่าจะมากันที่นี่ก่อน มาชมวัดที่ปรากฏอยู่ใน “เหรียญ 10 เยน” นั่นก็คือวัดเบียวโดอิน (Byodoin temple) ครับ นั่งรถไฟสาย Keihan มาลงที่สถานีอูจิ (Uji station) ทันทีที่เดินออกมา ก็จะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ ชื่อตามนี้เลยครับ “อูจิ” เป็นสะพานที่มีประวัติการก่อสร้างมาอย่างยาวนาน บรรยากาศสายน้ำที่ไหลผ่านสะพานแห่งนี้ ให้ความรู้สึกสบาย สดชื่นมากๆเลย ~

เดินข้ามสะพานมาจะเป็นถนนมุ่งหน้าไปสู่วัดเบียวโดอิน (Byodoin temple) ครับ ข้างสะพานเราจะเห็นรูปปั้นผู้หญิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องเล่าตำนานเก็นจิ (The Tale of Genji) หนึ่งในวรรณคดีที่ว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก และเขียนด้วยอักษรฮิระงะนะเป็นเรื่องแรกๆ หลังจากที่ช่วงนั้นญี่ปุ่นยังคงยืมตัวอักษรจากภาษาจีนอยู่
เดินเข้ามาจะเห็นร้านค้าที่ขายสินค้าอันเลื่องชื่อของเมืองอูจิมากมาย นั่นก็คือ “ชาเขียว” ครับ จะมีร้านขนมต่างๆมากมาย เอาไว้ผมพาทุกท่านไปชมวัดเบียวโดอินก่อน แล้วจะพามาแวะทานขนมกันครับ 🙂
วัดเบียวโดอิน (Byodoin temple)
ไปยังไง : ลงที่สถานี Uji เดินข้ามสะพาน Uji มาเลี้ยวซ้ายมาตามซอย (สังเกตป้าย)
วัดนี้ มีค่าเข้าชม ¥600 ครับ บริเวณอาคารบางส่วนยังปิดให้เข้าชม เพราะกำลังปรับปรุงอยู่ อาคารหลักจะต้องเสียเงินค่าเข้าชมเพิ่มอีกเล็กน้อย และต้องต่อแถวรอกันหน่อยครับ แต่ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวในวันนั้น ผมขอบายและเลือกชมบางส่วนเท่านั้นครับ เมื่อเดินเข้ามา ก็จะเห็นมุมเดียวกันกับที่ปรากฏในเหรียญ 10 เยนเลย ภายในมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับความเป็นมาของวัดที่มีการซ่อมแซม ปรับปรุงมาอย่างยาวนาน เรื่องราวการเข้ามาของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นก็เริ่มต้นจากที่นี่เลยครับ
Nakamura Tokichi Hoten สุดยอดชาเขียวแห่งเมือง Uji
เข้าไปชมความสวยงามของวัดกันเรียบร้อยแล้ว ต้องไม่ลืมสองข้างทางที่เราเดินผ่านเข้ามาครับ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องของชาเขียว จึงมีร้านขนม ร้านของฝากที่เป็นเกี่ยวกับชาเขียวอยู่มากมาย มีร้านนึงที่อร่อยขึ้นชื่อ เปิดมานานตั้งแต่ปี 1850 ร้านนี้มีชื่อว่า “Nakamura Tokichi Honten (中村藤吉 平等院店)” ครับ ร้านนี้สังเกตไม่ยากเท่าไร เพราะมีสัญลักษณ์ของร้านที่เห็นเด่นชัดแต่ไกล อาจจะต้องรอคิวกันสักหน่อยนะครับ

ได้ที่นั่งแล้ว ก็มาดูเมนูกัน ร้านนี้มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษด้วยครับ เมนูหลักๆที่แนะนำก็ไม่พ้นชาเขียว และนอกจากนี้ก็ยังมีไอศกรีมให้เลือกทานอีกด้วย ^^
ผมสั่งเป็นชามัชฉะ (matcha)ไป เสิร์ฟพร้อมกับวากาชิ (wagashi) หรือขนมหวาน ที่ทานกับชาครับ รสชาติของชามัชฉะที่นี่ ไม่เหมือนกับที่เคยกินมาเลย รสชาติดี ไม่เข้ม ไม่อ่อน จนเกินไป หอมมันนิดๆ ส่วนขนมที่มาด้วยค่อนข้างหวาน รสชาติจึงตัดกับชาพอดีครับ


มาญี่ปุ่นเพื่อนก็ได้สอนมารยาทในการดื่มชากันสักนิดครับ เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่า เวลาดื่มชา “ให้ยกแก้วแล้วหมุนสองครั้งก่อนยกดื่ม” ทั้งนี้ก็เพราะว่า สมัยก่อน การดื่มชานั้นดื่มด้วยกันบนถ้วยขนาดใหญ่พร้อมกันหลายๆคนครับ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ริมฝีปากไปชนรอยกัน จึงต้องหมุนสองครั้งนั่นเอง ก็เป็นเกร็ดวัฒนธรรมเล็กๆน้อยๆที่เมื่อดื่มชาควรรู้ครับ ^^
ร้านนี้ผมการันตีด้วยคุณภาพของชา และชื่อเสียงอันยาวนาน เป็นอีกหนึ่งร้านที่หากใครเดินทางมาชมวัด และมายังเมืองอูจิ (Uji) นี้แล้ว ห้ามพลาดเลยนะครับ !!
วัดซันจูซันเก็นโด (Sanjusangendo) มหัศจรรย์องค์เจ้าแม่กวนอิม 1,001 องค์
สถานีต่อไป เราจะไปชมความยิ่งใหญ่อลังการ ของวัดซันจูซันเก็นโด (Sanjusangendo) เป็นวัดที่เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิม 1,001 องค์ อีกหนึ่งสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากครับ ค่าเข้าชม ¥600 เข้าไปในอาคารมีชั้นวางรองเท้า เดินเข้าไปภายในอาคารแล้วจะไม่สามารถถ่ายรูปได้ ภาพที่เห็นเมื่อเข้าไปแล้วขอบอกว่า ทำผมอึ้งไปอยู่สักพักเลยครับ เพราะว่าภาพที่เห็นเป็นภาพองค์เจ้าแม่กวนอิมวางยาวเป็นแถวเรียงสวยงาม ใครไปก็อย่าลืมไปไหว้พระ ขอพรจากสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ครับ
ตลาดนิชิกิ (Nishiki market)
ด้วยเส้นทางรถไฟสาย Keihan ยังสามารถพาเราไปในย่านช็อปปิ้งดังในเมืองเกียวโต (Kyoto) ได้อีกครับ อย่างย่านกิออน (Gion) เราไปลงที่สถานี Gion Shijo ซึ่งออกมาก็จะพบกับร้านค้าเต็มละแวกนี้ไปหมดเลยครับ เส้นทางนี้หากเราเดินตรงไปเรื่อยๆ (สักที่?) ก็จะมาถึงตลาดใหญ่ใจกลางย่านนี้ เราเรียกว่า ตลาดนิชิกิ (Nishiki market) ครับ
ลักษณะคือเป็นตลาดสดครับ เต็มไปด้วยร้านค้าขายอาหาร ส่วนมากก็จะเป็นพวกปลาดิบ ผักสด (ที่นี่เค้าขึ้นชื่อเรื่องผักมากๆเลยครับ) หรือจะผักดอง ที่ก็ทำให้ผมเพิ่งรู้ว่าคนญี่ปุ่นก็นิยมกินผักดองกับข้าวเหมือนกับคนเกาหลี


แวะพักกินอาหารเที่ยงที่ร้านนี้ครับ เพื่อนผมบอกว่าผักที่นี่อร่อย เค้าเลยจะชวนให้ผมไปทานผัก เมนูผัก ผมก็ยอมเพื่อที่จะได้รู้สักทีว่า เกียวโต นอกจากจะมีดีที่ชาเขียวแล้ว ผักยังอร่อยด้วยจริงหรือเปล่า ผมไปนั่งกันอยู่ที่ร้านๆหนึ่ง ร้านนี้หน้าร้านขายผักด้วยข้างในเป็นร้านอาหารครับ ลักษณะก็คือหยิบผักที่อยากกิน เลือกแล้วไปนั่งรอเลยครับ พนักงานจะเดินมาเสิร์ฟพร้อมข้าวและน้ำชา
พวกผักดองที่เค้ากินกับข้าว ภาษาญี่ปุ่นเค้าเรียกว่า สึเกะโมะโนะ (Tsukemono) ครับผม
รสชาติต้องบอกว่า มีผักอะไรแปลกๆ ที่บ้านเราไม่มี บ้านเค้ามีครับ มันจึงมีบางอันที่ผมแอบไม่ชินกับรสชาติของมัน จะไม่ถูกใจเลยสำหรับผู้ที่ปกติไม่ทานผัก สำหรับผมที่เลือกเนื้อมาก่อนผักอยู่นั้น เมนูนี้จึงขอบายครับ

เป็นอะไรที่เพลินมากๆตลอดเส้นทางตลาดของกินนี้ครับ เรียกว่าผมกินไม่หยุดเลย
หลังจากนั้นคุณแม่ของเพื่อนผมก็นัดให้ผมและเพื่อนไปทานข้าวด้วยกันครับ ร้านอาหารเป็นร้านที่อยู่บริเวณย่านกิออน ร้านเป็นร้านไม่ใหญ่มาก แต่บรรยากาศของญี่ปุ่นได้ไปเต็มๆ พวกเราขึ้นบันไดเล็กๆ ขึ้นมาตรงชั้นสองของร้าน ทันทีที่กางเมนูออกมาจะสั่งอาหารก็พบว่า ไม่มีอะไรที่ผมอ่านออกจริงๆครับ บรรยากาศของร้านทำผมเองก็เดาไม่ถูกจริงๆว่าอาหารเป็นอาหารประเภทไหน
เมนูแรกที่มาเป็นเต้าหู้โรยด้วยต้นหอมญี่ปุ่นครับ ข้างๆยังมีเป็นรีฟิลให้เติมได้ไม่อั้น มาในกล่องไม้สวยงาม ใครที่ชอบทานต้นหอมแบบผมนี้ก็จะเพลินกับการทานอาหารจานต่อๆไปที่ผมจะนำเสนอมากเลยครับ
และที่เด็ดๆก็คงเป็นลิ้นวัวโรยมากับต้นหอมและหัวหอมซอย ที่สุดแสนเหนียวนุ่ม และ ซาชิมิ เสิร์ฟเป็นจานแบบนี้เลยครับ รสชาติต้องบอกว่า อร่อยมากๆ รู้สึกได้ถึงความสด วาซาบิที่ไม่เผ็ดมาก (เพื่อนบอกว่าวาซาบิแท้ๆ จะต้องไม่เผ็ดนะครับ)

ทานไปแต่ละเมนู คุณแม่ของเพื่อนก็ใจดีมากเลยครับ ที่อธิบายแต่ละเมนูๆให้ฟัง แม้ว่าผมจะจำได้ไม่หมด แต่ก็พอสรุปคร่าวๆได้ว่า ส่วนใหญ่เมนูจะเป็นผัก หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเต้าหู้ครับ เห็นแล้วก็ทึ่งเหมือนกัน ดูตอนแรกนึกว่าเป็นเนื้อ อารมณ์คล้ายๆอาหารเจที่มีอะไรแปรรูปมาจากเต้าหู แต่ความสดของผักที่นี่ รับประกันได้เลยว่าอร่อยจริงๆครับ อ้อ ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะเป็นเหมือนกับแกล้มทานกับเหล้าครับผม
วันนี้ทั้งวันในเกียวโตนี้จึงมีความสุขมากครับ เพราะได้ไปชมวัดเก็บตกจากครั้งที่แล้วที่อยากมา แต่ไม่ได้มา รวมไปถึงดื่มด่ำบรรยากาศของตลาดสด ย่านกิออน ซึ่งใครที่อยากจะมาสัมผัสบรรยากาศญี่ปุ่นแบบแท้ๆ เกียวโตจะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวังเลยครับ
แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไป ผมจะพาทุกคนเดินทางไปที่โกเบ (Kobe) เก็บตกจากรอบที่แล้วอีกเช่นกัน จะมีอะไรที่น่าสนใจและตื่นเต้นอีกบ้าง อย่าลืมติดตามกันตอนต่อไปครับผม 😀
ติดตามกันต่อ? กับตะลุยเรื่องราวในญี่ปุ่น ฉบับให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว !
ตอนที่ 1 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โอซาก้า เกียวโต“
ตอนที่ 2 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โกเบ ซากาอิ“
ตอนที่ 3 : ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยว “โตเกียว คามากุระ”
ตอนที่ 4 : ตะลุยเดี่ยว เที่ยวเองใน “โตเกียว” ตอนที่ 1 :
>> นั่งบัสจากชินจูกุไปชมภูเขาไฟฟูจิที่คาวากูชิโกะ , อิเคบุคุโระ , อาซากุสะ, อะกิฮะบะระ, อุเอะโนะ, Asahi Superdry Hall
ตอนที่ 5 : ตะลุยเดี่ยว เที่ยวเองใน “โตเกียว”ตอนที่ 2 :
>> เที่ยวเอง 1 วันในโตเกียว ตลาดปลาสึคิจิ (Tsukiji Market), กินซ่า (Ginza), Tokyo Station, Tokyo Imperial Palace (พระราชวังโตเกียว), Tokyo Tower, วัด Zojo (Zojo-ji), Roppongi Hills, Shibuya, Harajuku, Shinjuku, Ueno